หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 378-2 ความจริงของเจาหมิง (1)
ตอนที่ 378-2 ความจริงของเจาหมิง (1)
ผู้อื่นรับปากว่าจะจัดการ เฉียวเวยก็นับว่าได้ระบายโทสะนี้แล้ว นางจึงไม่เอ่ยอะไรอีก นางถือกริชเดินออกจากวังไป
เหตุการณ์เล็กๆ ที่เข้ามาคั่นกลางนี้ไม่ได้ส่งผลต่ออารมณ์ของเฉียวเวย เฉียวเวยขึ้นไปบนรถม้าอย่างนิ่งสงบ แต่เรื่องหลังจากนี้ทำให้เฉียวเวยหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอยู่เล็กน้อย
เรื่องมีอยู่ว่าหลังจากจีหมิงซิวประกาศชัดว่าจะไม่ปล่อยฟู่เสวี่ยเยียนไป คู่หมั้นในนามของฟู่เสวี่ยเยียนก็ถือดาบเล่มโตบุกมาหาถึงจวน เขาพาองครักษ์ข้างกายสิบแปดคนของตนเองมาด้วย ท่าทางเหมือนจะมาหาเรื่องตระกูลจีตรงๆ
ใต้เท้าเจ้าสำนักจับจ้องคนอย่างเกลียดชังอยู่ในโถงบุปผา ศัตรูความรักพบหน้ากัน บรรยากาศจึงคล้ายร่ำๆ จะชักกระบี่เข้าห้ำหั่น
ตอนที่เฉียวเวยรีบเร่งมาถึงโถงบุปผาก็ได้ยินเจ้าซื่อบื้อบ้านตนเองชี้หน้าผรุสวาทใส่อีกฝ่ายอยู่ “…เจ้ามีสิทธิอะไรมาหานาง พวกเจ้าสองคนหมั้นหมายกันแล้วหรือ หนังสือหมั้นเล่า สินสอดเล่า ไม่มีอะไรสักอย่างยังจะกล้าบุกมาขอตัวคน! แล้วพี่ชายสารเลวคนนั้นของเจ้าอีก พยายามจะฆ่านางตั้งหลายครั้งหลายหน! เจ้าก็ยังจะช่วยเจ้าลูกแกะสารเลวคนนั้นกลับไป! เจ้าจะไปมีเจตนาดีได้หรือ!”
องค์ชายสามไม่เคยพบบุรุษที่วิวาทะเก่งเช่นนี้มาก่อน เขาตกใจจนอึ้งงัน
ใต้เท้าเจ้าสำนักฉวยโอกาสตีเหล็กตอนร้อน “อายุของเจ้าสองคนก็ไม่เหมาะสมกัน! ดูสภาพขนยังขึ้นไม่ครบของเจ้าสิ หย่านมแล้วหรือยัง! ถึงกล้าบุกมาเอาตัวผู้หญิงที่บ้านคนอื่น! ถุย!”
องค์ชายสามยกมือปิดเป้ากางเกงอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม
บุรุษสวมหน้ากากผู้นี้ดุร้ายนัก ด่าไปก็ดูถูกองค์ชายน้อยของเขาไปด้วย!
แรงกดดันอันแข็งแกร่งจากใต้เท้าเจ้าสำนักห้อมล้อมรอบตัวเขาในพริบตา เขานั่งนิ่งอึ้งอยู่บนเก้าอี้ ใต้เท้าเจ้าสำนักยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบเก้าอี้ ส่วนแขนวางพาดไว้บนต้นขา มองเขาอย่างวางอำนาจ “ตอนที่พี่ชายออกท่องยุทธภพ เจ้ายังเป็นก้อนเนื้อในท้องมารดาอยู่เลย! คิดจะมาแย่งผู้หญิงกับพี่ชาย ไม่ต้องการชีวิตแล้วใช่หรือไม่ ไม่ต้องการแล้วใช่หรือไม่!”
องค์ชายสามมองเขาเหมือนคนถูกรังแก ขอบตาแดงระเรื่อ
ใต้เท้าเจ้าสำนักฟาดฝ่ามือใส่กะโหลกของเขา “ไม่ต้องมาแกล้งทำท่าทางเหมือนถูกรังแกใส่ข้า อยากจะให้นางยักษ์เห็นแล้วสงสารเจ้าอย่างนั้นสิ ฝันไปเถิด!”
“อะไร ไม่พูดไม่จาแล้วหรือ ไม่พูดแล้วสินะ”
“จะมาแย่งคนกับข้า ข้าจะตีเจ้าให้ตาย!”
องค์ชายสามท่าทางน่าเวทนาอย่างยิ่ง ทันใดนั้นปากน้อยๆ สีแดงสดก็เบะออกแล้วร้องไห้โฮ!
ใต้เท้าเจ้าสำนักทำหน้างุนงง นี่มันสถานการณ์อะไรกัน!
องค์ชายสามร้องไห้จนหายใจไม่ทัน ดวงตาหวานอันงดงามคู่นั้นบวมแดงอย่างรวดเร็ว น้ำตาร่วงผล็อยลงมาราวกับแจกให้เปล่า
ใต้เท้าเจ้าสำนักสาบานว่า แม้แต่เจ้าถุงน้ำตาน้อยหลิวเกอร์ก็ยังไม่เคยร้องไห้อย่างน่าเวทนาขนาดนี้มาก่อน!
มารดา แล้วทีนี้จะปลอบอย่างไรดีเล่า!
“อาต๋าเอ่อร์!”
อาต๋าเอ่อร์ ผู้พิทักษ์คนนี้ไม่อยู่
“อาจารย์ตาฮั่ว!”
อาจารย์ตาฮั่ว อาจารย์ตาคนนี้ก็ไม่อยู่เหมือนกัน
องค์ชายสามร้องไห้โหยหวน ร้องจนใต้เท้าเจ้าสำนักจะรู้สึกสิ้นหวังแล้ว!
เจ้าหมอนี่เป็นน้องชายเขาจริงหรือ ตบให้ตายในฝ่ามือเดียวเลยได้หรือไม่!
…
ตอนที่ได้ยินว่าองค์ชายสามจะมาเอาตัวคน เฉียวเวยยังกังวลอยู่ว่าสองฝ่ายจะสู้กันเอาเป็นเอาตาย ไหนเลยจะคิดว่าจะได้เห็นภาพเช่นนี้
ที่แท้องค์ชายสามก็เป็นคนเช่นนี้เองหรือ!
องค์ชายสามยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม ใต้เท้าเจ้าสำนักแทบจะเป็นบ้าแล้ว
เจ้าโมโหจนจะเป็นบ้าสักพักก็แล้วกัน เจ้าซื่อบื้อน้อย ผู้ใดให้เจ้าแย่งภรรยาของผู้อื่นมาเล่า
เฉียวเวยกลับไปบ้านชิงเหลียนอย่างขบขัน
ปี้เอ๋อร์เข้ามาต้อนรับ ปลดผ้าคลุมกันลมให้นาง
นางถามว่า “พวกจิ่งอวิ๋นเล่า”
ปี้เอ๋อร์ตอบว่า “ไปเรือนลั่วเหมยแล้วเจ้าค่ะ เหล่าไท่ไท่มีไก่ชนตัวใหม่มาสองตัว”
เฉียวเวยหัวเราะอย่างห้ามตัวเองไม่ทัน “ไปตีไก่ชนอีกแล้วหรือ”
ปี้เอ๋อร์ยิ้ม “ผู้ใดให้พักนี้นายท่านไม่เข้าใกล้ประตูใหญ่ไม่ก้าวออกประตูชั้นในเล่าเจ้าคะ ไม่มีคนเฝ้าจับตาดู เหล่าไท่ไท่เลยคันไม้คันมือ”
คนเราแก่แล้วก็ทำตัวเหมือนเด็กน้อยจริงๆ เฉียวเวยหัวเราะ ถามว่า “หมิงซิวยังไม่กลับมาหรือ”
ปี้เอ๋อร์แขวนผ้าคลุมกันลมไว้บนราว “กลับมาแล้วเจ้าค่ะ” พอคิดอะไรได้ก็เอ่ยขึ้นอีก “จริงสิ ในจวนเหมือนมีคนมา เขาดุร้ายมาก คุณชายรองไปพบพวกเขาแล้ว คุณชายรองไม่ได้เสียท่าใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เฉียวเวยปลดปิ่นทองที่หนักอึ้งบนศีรษะออก “ถ้าแม้แต่เด็กน้อยคนหนึ่งยังจัดการไม่ได้ เขาก็เลิกเป็นอันธพาลได้แล้ว”
ปี้เอ๋อร์เหมือนเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ
“หมิงซิวอยู่ที่ห้องหนังสือหรือ” เฉียวเวยถาม
ปี้เอ๋อร์พยักหน้า
เฉียวเวยลุกขึ้นเดินไปยังห้องหนังสือ
วันนี้นางเข้าวังทั้งหมดสองหน แต่เขาไม่อยู่ในวังทั้งสองหน ไม่มีผู้ใดทราบว่าเขาไปที่ใด แต่ดูจากสีหน้าเคร่งขรึมของเขา ดูเหมือนจะไม่ได้ไปเยือนสถานที่ดีอะไรนัก
“หมิงซิว” เฉียวเวยเข้ามาในห้อง
จีหมิงซิวได้สติกลับมา เขาพับของที่ถืออยู่ในมือเบาๆ แล้ววางกลับไปบนโต๊ะ
เฉียวเวยกวาดสายตามอง นั่นเป็นกระดาษจดหมายที่กลายเป็นสีเหลืองแล้วแผ่นหนึ่ง ดูไปแล้วมีอายุอยู่บ้างแล้ว อีกทั้งกระดาษจดหมายยังขาดแหว่งไปครึ่งหนึ่ง สายตาของเฉียวเวยเลื่อนไปจับบนเท้าของเขา นางมองดูโคลนกับหญ้าแห้งรอบรองเท้าแล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ “ท่านไปสุสานองค์หญิงมาอีกหนหรือ”
“ไปหาอะไรบางอย่าง” จีหมิงซิวตอบด้วยอารมณ์ที่หดหู่เล็กน้อย
เฉียวเวยเดินอ้อมโต๊ะหนังสือมาถึงข้างตัวเขา มือขาวผ่องวางลงบนหัวไหล่เย็นเฉียบของเขา “ท่าน…รู้ว่าฮองเฮาเยี่ยหลัวไม่ใช่องค์หญิงแล้วใช่หรือไม่”
จีหมิงซิวไม่ตอบ แต่เอ่ยอย่างนิ่งสงบ “นางตายแล้ว”
สามคำสั้นๆ ราวกับค้อนหนักอึ้งทุบลงบนหัวใจของเฉียวเวย เฉียวเวยไม่เคยพบองค์หญิง แต่เฉียวเวยปวดใจแทนเขา
ไม่มีความหวัง ย่อมไม่ผิดหวัง
แต่เดิมยอมรับการตายขององค์หญิงได้แล้ว แต่การมาถึงของฮองเฮาเยี่ยหลัวจุดประกายแห่งความหวังขึ้นในดวงใจของเขา คิดว่าผู้ที่กลับมาคือมารดาของตนเองจริงๆ
แม้มารดาผู้นี้จะนำพาสถานการณ์อันซับซ้อนมากมายมาด้วย แต่เมื่อเทียบกับการสูญเสียนางอีกหน เขาก็คงยินดีจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์เหล่านั้นมากกว่า
ทว่าแม้แต่คำอ้อนวอนอันน้อยนิดเพียงเท่านี้ก็ยังถูกเมินเฉยอย่างไม่ไยดี
จากสรวงสวรรค์ร่วงหล่นสู่ขุมนรกคงเป็นความรู้สึกเช่นนี้
เฉียวเวยไม่เคยรู้ว่าตัวเองจะรักคนผู้หนึ่งได้ถึงขนาดนี้ บางทีอาจเพราะใส่ใจเขามากเกินไป ดังนั้นจึงเริ่มใส่ใจทุกสิ่งที่เขาใส่ใจด้วย “ข้าไม่รู้ว่าจะปลอบท่านอย่างไรดี แต่ว่า…”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” จีหมิงซิวถาม
เฉียวเวยเล่าเรื่องที่เข้าวังไปพบฮองเฮาเยี่ยหลัวอย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย “…แล้วท่านรู้ได้อย่างไร”
จีหมิงซิวส่งกระดาษจดหมายที่ขาดแหว่งและกลายเป็นสีเหลืองแผ่นนั้นไปให้เฉียวเวย
เฉียวเวยถามอย่างฉงน “หาพบในสุสานขององค์หญิงหรือ”
จีหมิงซิวตอบเรียบๆ “พบอยู่ในหมอนในโลงศพของนาง”
เฉียวเวยคลี่กระดาษจดหมายอย่างระมัดระวัง
ความจริงก่อนหน้านี้นางไม่เข้าใจว่าฮองเฮาเผ่าเยี่ยหลัวคือผู้ใด เหตุใดจึงหน้าตาเหมือนองค์หญิงเจาหมิงถึงเพียงนั้น แต่เมื่ออ่านจดหมายฉบับนี้จบ ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าเพราะเหตุใดแล้ว
เรื่องราวเริ่มขึ้นที่ตระกูลกู่เมื่อหลายสิบปีก่อน