หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 382-1 การจู่โจมยามราตรี รวบจับ (1)
ตอนที่ 382-1 การจู่โจมยามราตรี รวบจับ (1)
เคยเห็นแต่คนที่ดิ้นรนหนีสุดชีวิต เพิ่งจะเคยเห็นคนที่บุกมาถึงบ้านเพื่อให้ผู้อื่นลักพาตัวตนเองเป็นครั้งแรก
เฉียวเวยมององค์ชายสามผู้ทำเหมือนไม่อินังขังขอบกับความตาย มีอยู่ชั่วพริบตาหนึ่งนั้นที่นางคิดว่าตนเองถูกผีหลอกเข้าให้แล้วจริงๆ!
ประเคนตัวเองมาถึงประตูเช่นนี้ ซ้ำร้ายไล่ก็ไล่ไม่ไป จึงได้แต่จำยอมรับตัวเขาไว้
เจ้าสำนักเฉียวใช้ชีวิตมาสองชาติ เพิ่งเคยถูกบีบบังคับให้ลักพาตัวคนที่ไม่คิดจะลักพามาสักนิดคนหนึ่งกลับบ้านเป็นครั้งแรก
องค์ชายสามตื่นเต้นอย่างยิ่ง เขาชะเง้อวซ้ายชะเง้อขวามาตลอดทาง แล้วยังไม่ลืมพึมพำว่า “ในที่สุดข้าก็ถูกลักพาตัวแล้ว…”
เฉียวเวยกุมหน้าผาก เจ้าอยากถูกลักพาตัวขนาดนั้นเชียวหรือ….
เด็กน้อย โลกนี้อันตรายมากนะ!
ฮองเฮาเยี่ยหลัวไม่แปลกใจที่บุตรชายมา เหมือนกับว่านางคิดไว้แล้วว่าเขาต้องตามมาด้วย
สองแม่ลูกไปที่เรือนเสี่ยวอวี่ของฟู่เสวี่ยเยียน ความทรงจำเกี่ยวกับฮองเฮาเยี่ยหลัวของฟู่เสวี่ยเยียนยังคงหยุดอยู่ที่เทศกาลจักรพรรดิที่จัดขึ้นปีละครั้ง เทศกาลจักรพรรดิของเผ่าเยี่ยหลัวก็คล้ายกับวันตรุษของจงหยวน เริ่มต้นในวันแรกของปีใหม่ สิ้นสุดลงในวันที่สิบห้าของเดือนหนึ่ง ทุกปีในช่วงเวลานี้พระราชวังจะจัดกิจกรรมเซ่นไหว้บรรพบุรุษอย่างยิ่งใหญ่ สมาชิกราชวงศ์ล้วนต้องเดินทางมาเข้าร่วม ฟู่เสวี่ยเยียนผู้เป็นธิดาบุญธรรมในจวนมู่อ๋องย่อมต้องติดตามไปด้วยตามระเบียบ
แต่มิใช่ว่าคนที่เข้าร่วมการเซ่นไหว้บรรพบุรุษทั้งหมดจะมีโอกาสได้สนิทสนมกับฮองเฮา หากฟู่เสวี่ยเยียนเป็นคนสดใสร่าเริงอย่างจีหว่านอวี๋ บางทีนางอาจหาทางเข้าไปคุยกับฮองเฮาได้ แต่นางดันเป็นคนเงียบขรึม มักจะยืนอยู่ในกลุ่มคนเสมือนหนึ่งเป็นหลักไม้หลักหนึ่ง หากได้เข้าใกล้ฮองเฮาถึงจะแปลก
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เข้าเฝ้าฮองเฮาใกล้เช่นนี้ ฮองเฮาสนิทสนมเป็นกันเองกว่าที่นางจินตนาการไว้มาก
ส่วนองค์ชายสาม ฟู่เสวี่ยเยียนคุ้นเคยดี
องค์ชายสามกับมู่ชิวหยางเติบใหญ่มาด้วยกัน เขาเป็นแขกประจำของจวนมู่อ๋อง เมื่อรวมกับที่เขาเป็นหน่อเนื้อเพียงองค์เดียวของราชาเยี่ยหลัว วันหน้าเป็นไปได้อย่างที่สุดว่าจะสืบทอดบัลลังก์ ฟู่เสวี่ยเยียนที่ถูกลิขิตให้ต้องแต่งงานกับราชาย่อมถูกมองว่าเป็นคู่หมั้นของเขามานานนมแล้ว
บางทีอาจเพราะคิดเช่นนี้ องค์ชายสามจึงถือว่าฟู่เสวี่ยเยียนเป็นของของตนมาตั้งแต่จำความได้
ทั้งที่หากพูดถึงอายุแล้ว ฟู่เสวี่ยเยียนโตกว่าเขาตั้งสองปีด้วยซ้ำ
“พี่ฟู่ พวกเราสองคนนอนด้วยกันมาจนโต ข้าอุตส่าห์ฉี่บนที่นอนของท่าน ทำเครื่องหมายเอาไว้แล้วว่าท่านเป็นของข้า เหตุไฉนท่านยังหนีไปกับผู้อื่นได้อีกเล่า”
ออกเสียงตัวอักษรที่ต้องม้วนลิ้นได้ชัดดีทีเดียว
คำพูดนี้มุ่งเป้ามาที่ใต้เท้าเจ้าสำนักอย่างเห็นได้ชัด
น่าเสียดายใต้เท้าเจ้าสำนักไม่สนใจอีกฝ่ายสักนิด เขาคว้ามือของฟู่เสวี่ยเยียนแล้วไปแอบฟังอยู่ที่มุมกำแพง
ภายในห้องเฉียวเวยกับฮองเฮาเยี่ยหลัวจับเข่าคุยกันเป็นเวลานาน
ไม่ว่าอย่างไรฮองเฮาเยี่ยหลัวก็เป็นบุตรสาวแท้ๆ ของอวิ๋นจูกับคนตระกูลกู่ นางมีสิทธิทราบความจริงของเรื่องราว แน่นอนว่าเนื่องจากบางเรื่องเป็นเพียงการคาดเดาของเฉียวเวยกับจีหมิงซิวเท่านั้น ยังไม่ทันหาหลักฐานที่แน่ชัดมาได้ ดังนั้นเฉียวเวยจึงบอกแต่เนื้อหาในจดหมายอย่างเป็นไปตามเนื้อผ้า บอกว่านางกับเจาหมิงเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน บิดาคือกู่เฉียน มารดานามว่าอวิ๋นจู เพราะคำพูดประโยคหนึ่งของราชครูตอนยังหนุ่ม ทำให้ครอบครัวสี่คนต้องพลัดพราก แม้ตำหนักราชครูจะต้องจ่ายค่าตอบแทนอันเลวร้ายเป็นร้อยเท่าเพราะเรื่องนี้แล้ว ทว่าชะตาชีวิตของสองพี่น้องก็ถูกเปลี่ยนอย่างสิ้นเชิงนับแต่นั้น
เฉียวเวยไม่ได้เน้นย้ำว่าเรื่องนี้เป็นแผนการร้ายของผู้ใด การแก้แค้นยกให้นางกับหมิงซิวจัดการก็พอ ท่านน้าเพียงกลับมาอย่างปลอดภัยก็พอแล้ว
ความจริงแล้วฮองเฮาเยี่ยหลัวพบเจอสิ่งใดมาบ้าง เฉียวเวยก็ไม่ทราบแน่ชัดนัก แต่นางยังคงรักษาจิตใจอันใสกระจ่างไว้ได้ สิ่งใดที่สูญเสียไปแล้ว นางไม่เอาแต่เศร้าเสียใจ และไม่จมจ่ออยู่กับความแค้นของคนสองรุ่น ตรงกันข้ามนางกลับดีใจมากที่ตนเองตามหาครอบครัวพบแล้ว
ความยินดีอันท่วมท้นที่แสดงออกมาทางคำพูดและสีหน้าทำให้ดวงตาที่ระยิบระยับราวกับธารดาราของนางหยีโค้งเล็กน้อย ทั่วทั้งห้องมีความอบอุ่นลอยอบอวล
เฉียวเวยเพียงเห็นนางเป็นเช่นนี้ก็รู้สึกเบิกบานใจ
สามคนนอกห้องฟังถ้อยคำกระท่อนกระแท่นก็จับใจความมาได้ไม่น้อย
ใต้เท้าเจ้าสำนักประหลาดใจเล็กน้อยที่ได้ยินว่าสตรีนางนั้นเป็นท่านน้าของตนเอง หากนางเป็นท่านน้าของเขา เจ้าองค์ชายหน่อมแน้มคนนี้ก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาสิ
องค์ชายสามเบ้ปาก ทำสีหน้าไม่พอใจ “ที่แท้เจ้าก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า แล้วเจ้ายังจะมาแย่งภรรยาของข้าอีก!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักแค่นเสียงหยัน ภรรยาของลูกพี่ลูกน้อง ไม่แย่งก็เสียเปล่าสิ!
ขนาดพี่ใหญ่ของเขายังแย่งภรรยามาจากหลานของตัวเองเลย!
แน่นอนว่าระหว่างจีหมิงซิวกับยิ่นอ๋อง ความจริงแล้วจีหมิงซิวต่างหากที่เป็นสามีหลวง ส่วนยิ่นอ๋องเป็นสามีน้อย
แต่ใต้เท้าเจ้าสำนักสนใจเรื่องเหล่านี้เสียที่ไหน สรุปก็คือพี่ใหญ่ของเขาพาเสียคนทั้งนั้น!
…
ฮองเฮาเยี่ยหลัวกับองค์ชายสามมาพักอยู่ที่ตระกูลจี เฉียวเวยตั้งใจว่าจะให้ฟู่เสวี่ยเยียนคลอดที่เรือนเสี่ยวอวี่ ดังนั้นด้านในเรือนจึงมีการต่อเติมอยู่เรื่อยๆ จนมันกลายมาเป็นเรือนที่อยู่สบายที่สุดภายในจวน ฮองเฮาเยี่ยหลัวจึงมาอาศัยอยู่ที่เรือนเสี่ยวอวี่ด้วย
องค์ชายสามก็ต้องการไปพักที่เรือนเสี่ยวอวี่เช่นกัน แต่ถูกใต้เท้าเจ้าสำนักขวางไว้
“เจ้าจะทำอะไร” องค์ชายสามมองพี่ชายที่จู่ๆ ก็ได้มาเพิ่มคนนี้อย่างขุ่นเคือง
ใต้เท้าเจ้าสำนักบิดริมฝีปากสีแดงสดยิ่งกว่าอิสตรีเป็นเส้นโค้ง จากนั้นหัวเราะอย่างชั่วร้าย “คิดจะนั่งหอริมธารชิงอาบแสงจันทร์[1]หรือ ฝันไปเถิด เจ้าไปอยู่ที่บ้านชิงเหลียนเสียดีๆ!”
องค์ชายสามกล่าวว่า “แต่บ้านชิงเหลียนไม่มีห้องเหลือแล้ว”
ก็ไม่มีแล้วจริงๆ เด็กน้อยสามคนโตวันโตคืน เฉียวเวยคิดไว้ว่าปีหน้าจะให้พวกเขาแยกห้องนอนกัน ดังนั้นตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนจึงเริ่มจัดการปรับปรุงห้องแล้ว
ใต้เท้าเจ้าสำนักมุมปากกระตุก “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็นอนกับข้า!”
แต่เดิมคิดว่าเจ้าหนูคนนี้จะร้องไห้อีก คิดไม่ถึงว่าองค์ชายสามกลับดวงตาเป็นประกาย กอดพี่ชายของตัวเองอย่างดีอกดีใจยิ่งนัก “ดียิ่ง!”
ใต้เท้าเจ้าสำนัก “…”
อยู่ดีๆ ก็รู้สึกสังหรณ์ร้ายอย่างไรชอบกล!
…
เจ้าตัวน้อยทั้งสามคนเลิกเรียนกลับมาก็พบว่าในบ้านมีแขกเพิ่มมาสองคน คนหนึ่งเป็น ‘ท่านอา’ ที่งามดั่งเทพธิดา ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นท่านอารูปหล่อตัวขาวจั๊วะราวกับน้ำนม ทั้งสามคนรู้สึกชมชอบพวกเขาตั้งแต่แวบแรก
เฉียวเวยแนะนำฮองเฮาเยี่ยหลัวและองค์ชายสามกับเด็กๆ แน่นอนว่าแนะนำโดยใช้ฐานะญาติ “หลิวเกอร์ พวกเขาคือท่านน้ากับญาติผู้พี่ของเจ้า”
หลิวเกอร์เอ่ยเรียกท่านน้ากับท่านพี่อย่างว่าง่าย
เฉียวเวยหันไปบอกกับเจ้าฝาแฝดต่อ “จิ่งอวิ๋น วั่งซู รีบเรียกท่านย่าเล็กกับท่านอาเร็ว”
“ท่านย่าเล็ก!”
“ท่านอา!”
ทั้งสองคนเรียกประสานเสียงเป็นเสียงเดียว น้ำเสียงอ่อนหวาน ฟังดูนุ่มนิ่ม
ฮองเฮาเยี่ยหลัวไม่เคยเห็นเจ้าซาลาเปาน้อยที่น่ารักเช่นนี้มาก่อน นางอดใจไม่ไหวเอื้อมมือออกไปหยิกแก้มของพวกเขาเบาๆ
แก้มของจิ่งอวิ่นกลายเป็นสีแดงระเรื่ออย่างรวดเร็วชนิดที่สังเกตเห็นได้ เขาเขินแล้ว
วั่งซูถูกหยิกก็รู้สึกสบายยิ่งนัก นางจึงเอื้อมมือออกไปหยิกแก้มของฮองเฮาเยี่ยหลัวบ้าง
ใบหน้าของฮองเฮาเยี่ยหลัวก็แดงแปร๊ดอย่างรวดเร็วจนมองเห็นได้เช่นกัน ทว่ามันมาพร้อมกับความเจ็บปวด…
…
จันทร์ดับแสงสายลมพัดแรง
ภายในเรือนอันเงียบสงบ สายลมยามราตรีพัดดังหวีดหวิว เงาต้นไม้ส่ายไหวเริงระบำ กิ่งไม้ใหญ่ดูคล้ายกรงเล็บของภูตผีทอดเงาลงมาบนกระดาษบุหน้าต่างสีขาวผ่อง
อีกด้านหนึ่งของหน้าต่างคือห้องมืดสนิท มีเพียงมุกราตรีขนาดเท่าไข่นกกระทาหนึ่งเม็ดที่ทอแสงเรืองๆ แทบจะไร้แสงสว่าง
บนเตียงหลังกว้างอันนุ่มนิ่ม องค์ชายสามกำมุกราตรีวางไว้ใต้คางของตนเอง ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติถูกแสงส่องดูซีดเผือดคล้ายผีร้าย
ฝั่งซ้ายมือของเขาคือจิ่งอวิ่น วั่งซูกับหลิวเกอร์ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ ฝั่งขวามือของเขาคือเสี่ยวไป๋ ต้าไป๋กับจูเอ๋อร์ที่นั่งอย่างสงบเรียบร้อยเช่นกัน
สามคน สามเดรัจฉานมองเขาตาไม่กะพริบ
เขาใช้น้ำเสียงลึกลับเล่าว่า “…พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าสถานที่น่ากลัวที่สุดที่ข้าเคยไปเยือนคือที่ใด ที่แห่งนั้นก็คือทะเลทรายของพวกเราเผ่าเยี่ยหลัว ทะเลทรายของพวกเรามีแต่เม็ดทรายไม่มีดิน…พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราเหตุใดทะเลทรายจึงไม่มีดิน”
เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสามส่ายหน้า
สัตว์น้อยทั้งสามก็ส่ายหน้าด้วย
องค์ชายสามเล่าด้วยน้ำเสียงสมจริง “ความจริงนานมาแล้วทะเลทรายของพวกเราเผ่าเยี่ยหลัวเคยเป็นเช่นเดียวกับจงหยวนของพวกเจ้า ทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นผืนดินสีเขียวอันอุดมสมบูรณ์”
“ดินไม่ใช่สีดำหรอกหรือ ท่านอา” วั่งซูกะพริบตาปริบๆ ถาม
องค์ชายสามสำลัก “บนดินมีต้นหญ้างอก ต้นหญ้าเป็นสีเขียว ดูผ่านๆ จึงเป็นผืนดินสีเขียว!”
“อ้อ” วั่งซูเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ยังไม่เข้าใจ
“อย่าชวนนอกเรื่องสิ!” องค์ชายสามเล่าต่อ “แรกเริ่มเดิมทีทะเลทรายของพวกเราล้วนเป็นผืนดินสีเขียว ประชาชนเพาะปลูกธัญพืช ปลูกผลไม้ ทุกคนมีอาหารการกินเสื้อผ้าอาภรณ์อุดมสมบูรณ์ แต่แล้วในปีหนึ่งก็มีสตรีนางหนึ่งเดินทางมาที่เผ่าเยี่ยหลัว สตรีนางนั้นอัปลักษณ์อย่างยิ่ง สถานที่ใดที่นางเยื้องย่างผ่าน ที่แห่งนั้นล้วนราวกับลุกติดไฟ แหล่งน้ำแห้งเหือด ธัญพืชแห้งตาย ผืนดินไม่มีสิ่งใดงอกออกมาอีก…”
จิ่งอวิ๋นเท้าคางขัดว่า “ผืนดินเพาะปลูกไม่ขึ้น ปัญหาก็อยู่ที่ดินไม่ใช่หรือ อาจเป็นเพราะเพาะปลูกมากเกินไปจนกลายเป็นดินเค็ม ต้องปรับปรุงดินเค็มให้หายหรือปลูกพืชที่เหมาะกับดินเค็มตัวอย่างเช่นข้าวฟ่างหวาน ข้าวโพด มะกอกป่า…”
สมกับเป็นเด็กที่ทำไร่มาก่อน!
องค์ชายสาม “…”
นิทานเรื่องนี้เล่าคงจะเล่าไม่รอดแล้ว!
แน่นอนว่าสุดท้ายของสุดท้าย องค์ชายสามก็ยังใช้ฝีไม้ลายมือในการเล่านิทานอันชำนิชำนาญของเขาควมคุมสถานการณ์กลับมาอยู่ในมือตนเองได้ “…ในหมู่บ้านแห้งแล้งติดต่อกันเป็นเวลานาน ชาวบ้านต่างไม่ทราบว่านี่เกิดอะไรขึ้น ต่อมามีอาจารย์ไสยเวทคนหนึ่งเดินทางมายังหมู่บ้าน เขาบอกพวกชาวบ้านว่าสาเหตุที่ปลุกพืชพรรณไม่ขึ้นเพราะว่าในหมู่บ้านมีภูตแห่งความแห้งแล้งตนหนึ่งอาศัยอยู่!”
“พูด อย่างนี้หรือ” วั่งซูทำท่าขยับปาก
องค์ชายสามอธิบาย “ภูตต่างหาก! มันเป็นผีดิบที่ร้ายกาจมาก หลังจากคนตาย หากไม่ถูกฝังลงดินให้นอนพักอย่างสงบ พวกเขาก็จะกลายเป็นผีดิบ! หลังจากผีดิบเก็บสะสมพลังหลายร้อยปี มันก็จะกลายเป็นภูต! ภูตแห่งความแห้งแล้งเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายที่สุดบนโลกใบนี้ นางเปลี่ยนแผ่นดินของเยี่ยหลัวครึ่งหนึ่งให้กลายเป็นทะเลทราย…ชาวบ้านทั้งหลายร้อนใจแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาไม่อดตายก็คงขาดน้ำตาย…ชาวบ้านวอนขอให้อาจารย์ไสยเวทปราบนางปีศาจตนนั้นเสีย แต่พลังของภูตแข็งแกร่งเกินไป อาจารย์ไสยเวททำอันใดนางไม่ได้…ด้วยความจนปัญญา…อาจารย์ไสยเวทจึงได้แต่ใช้วิธีนอกตำรา…คิดแผนอย่างหนึ่งขึ้นมา…”
องค์ชายสามอ้าปากหาว
“คิดแผนอะไรออกมาเล่า” วั่งซูถามเขาอย่างสงสัยใคร่รู้
“คิดแผน…” องค์ชายสามงึมงำออกมาได้คำเดียวก็หงายหลัง หลับไปเสียแล้ว!
เล่านิทานก่อนนอนแต่ตัวเองดันหลับเสียเอง ช่างเป็นคนที่ยอดเยี่ยมไม่เหมือนผู้ใดจริงๆ
เจ้าซาลาเปาน้องทั้งสามกับสัตว์น้อยทั้งสามตัวกำลังฟังอย่างสนุก แต่จู่ๆ ก็ไม่มีนิทานแล้ว พวกเขามองกันไปมองกันมา อยากจะทึ้งหัวตัวเองยิ่งนัก!
โชคดีที่นิทานเรื่องนี้เป็นตำนานที่คนเยี่ยหลัวทุกคนรู้จัก ฟู่เสวี่ยเยียนก็รู้เช่นกัน นางจึงมาเล่านิทานที่เรือนฝั่งนี้ให้ฟังจนจบ เจ้าตัวน้อยทั้งหลายนอนหลับอย่างอิ่มอกอิ่มใจ ต้าไป๋ เสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์กระโดดขึ้นไปบนเปลของตัวเองแล้วหลับตาเข้าสู่ห้วงนิทรา
ฟู่เสวี่ยเยียนก้มลงมาตั้งใจจะอุ้มองค์ชายสามออกไปข้างนอก แต่แล้วมือเรียวยาวดั่งหยกข้างหนึ่งก็ยื่นมาจากด้านข้าง “ข้าเอง”
[1]นั่งหอริมธารชิงอาบแสงจันทร์ สำนวนหมายความว่าพยายามชิงเข้าไปใกล้บางคนหรือบางสิ่งเพื่อเอาผลประโยชน์จากสิ่งนั้น