หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 384-2 การจู่โจมยามราตรี รวบจับ (3)
ตอนที่ 384-2 การจู่โจมยามราตรี รวบจับ (3)
เฉียวเวยตอบว่า “ท่านพ่อ ท่านเข้าใจผิดแล้ว นางไม่ใช่เฟิ่งชิงเกอจริงๆ นางคือน้องสาวฝาแฝดขององค์หญิง”
จีซั่งชิงตกตะลึงทันใด “เจาหมิง…มีน้องสาวด้วยหรือ”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวพยักหน้าประหนึ่งตำกระเทียม “มีสิๆ ข้าก็คือน้องสาวของนาง”
จีซั่งชิงมองฮองเฮาเยี่ยหลัวอย่างตกตะลึง ดวงตารูปคิ้วอันคุ้นเคย โครงหน้าที่คิดคะนึงหาอยู่ทุกคืนวันนั่นทำให้ดวงตาของเขามีน้ำตาเอ่อคลอในพริบตา
เขาหลุบตาลงสีหน้าสับสน คล้ายไม่ปรารถนาจะให้ผู้อื่นเห็นความอ่อนแอในเวลานี้ของเขา
ครู่ใหญ่หลังจากนั้น มือของเขาก็กำแน่นกลายเป็นกำปั้น เส้นเลือดสีเขียวตรงขมับปูดนูนออกมา ร่างกายสั่นเทิ้ม
ในตอนที่ทุกคนสังเกตเห็นว่าเขากำลังข่มกลั้นความเจ็บปวดแสนสาหัสอยู่นั่นเอง เขาก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันคำพูดออกมาว่า “คนที่จับข้ามัดทิ้งไว้ด้านนอกเมื่อวันก่อน กับคนที่ถีบข้าตกน้ำเมื่อวานใช่เจ้าหรือไม่”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวส่ายหน้าเป็นกลองป๋องแป๋ง “ไม่ใช่ข้า! เฟิ่งชิงเกอต่างหาก!”
ความสามารถในการโยนความผิดออกจากตัวนี่ ไม่มีผู้ใดสู้ได้แล้ว!
…
จีหมิงซิวเข้าวังไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง แต่การโต้เถียงและการต่อสู้ขับเคี่ยวระหว่างสองเผ่าจวบจนกระทั่งตะวันสายโด่งก็ยังไม่เห็นผล
ทูตทั้งหลายจากเผ่าซยงหนีว์วางตัวเป็นคนนอก ถ้ามีเมล็ดแตงให้สักจาน พวกเขาก็คงชมละครกันอย่างอิ่มอกอิ่มใจเป็นแน่แท้
วันนี้การปะทะคารมระหว่างทูตของเยี่ยหลัวกับขุนนางต้าเหลียงเริ่มเพิ่มระดับขึ้นแล้ว สาเหตุมิใช่อื่นใด แต่เป็นเพราะว่าฮูหยินอัครมหาเสนาบดีของต้าเหลียงลักพาตัวฮองเฮาเยี่ยหลัวของพวกเขาไป
ฮ่า! ขุนนางนับร้อยของต้าเหลียงต่างหัวเราะขบขัน สตรีผู้นั้นคือองค์หญิงเจาหมิงแห่งต้าเหลียงของพวกเรา เป็นมารดาบังเกิดเกล้าของอัครมหาเสนาบดี ผู้ใดลักพาตัวคนไปก่อนกันแน่ พวกเจ้าเยี่ยหลัวยังมียางอายบ้างหรือไม่
ขุนนางของต้าเหลียงมิใช่สัตว์กินพืช โดยเฉพาะอย่างยิ่งขุนนางเฒ่าผู้คร่ำครึเหล่านั้น พวกเขายกเหตุผลมาพูด ไล่ตั้งแต่หลักคุณธรรมจริยธรรม กฎตระกูลที่มีมาแต่บรรพบุรุษ หลักคุณธรรมในสังคมไปจนถึงสามัญสำนึกของมนุษย์ ด่าอย่างเคียดแค้นชนิดที่เรียกได้ว่าสะท้านฟ้าสะเทือนดิน
ฮ่องเต้ไม่เคยรู้สึกสาแก่ใจเท่านี้มาก่อน อีกอย่างทุกสิ่งนี้ก็ถือเป็นความดีความชอบของพระองค์ด้วย ที่ขุนนางเฒ่าคร่ำครึพวกนี้ฝีปากดีขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะปกติลับฝีปากด่าพระองค์จนวาจาคมกริบหรือไร
ทูตเยี่ยหลัวถูกด่าจนควันโชยออกเจ็ดทวาร สุดท้ายอับจนหนทางแล้วจริงๆ ขุนนางเยี่ยหลัวคนหนึ่งจึงข่มกลั้นโทสะไม่อยู่หลุดปากออกมาว่า “นางไม่ใช่องค์หญิงต้าเหลียงของพวกเจ้าสักหน่อย!”
ภายในท้องพระโรงเงียบกริบไปสองลมหายใจ หลังจากนั้นเสียงหัวเราะฮ่าๆ ก็ดังขึ้น ทุกคนต่างหัวเราะ
เจ้าบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่หรือ เจ้าเห็นพวกเราตาบอดหรือไร!
ขุนนางเยี่ยหลัวสิ้นหวังแล้ว เหตุไฉนพวกเจ้าจึงตาบอดเช่นนี้…
หากพูดถึงการต่อสู้ คนเยี่ยหลัวไม่แน่ว่าจะแพ้ แต่หากเป็นการปะทะคารม ผู้ตรวจการคนหนึ่งก็ต้าเหลียงก็ต้านทานขุนนางใหญ่เยี่ยหลัวได้นับร้อย
นี่เป็นการบดขยี้เพียงฝ่ายเดียวอย่างไม่มีเรื่องให้ลุ้นแม้แต่น้อย
คนเยี่ยหลัวถูกด่าจนโมโหไม่ออกแล้ว แต่ละคนยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เหมือนมีควันสีดำลอยโชยขึ้นมาเหนือศีรษะ
ในตอนที่ทูตเยี่ยหลัวทั้งหลายเกือบจะถูกไล่ต้อนออกจากตำหนักจินหลวนแล้วนั่นเอง นอกตำหนักก็พลันมีเสียงดังกังวานราวกับเสียงก้องสะท้อนจากภูเขาไกลๆ ประกาศว่า “ราชครูมาถึงแล้ววว”
ในที่สุดดวงตาของทูตเยี่ยหลัวก็เป็นประกาย ผู้นำคนสำคัญมาแล้ว พวกเขาไม่ต้องกลัวอีกต่อไป!
ผู้คนทั้งหลายในตำหนักมองทูตเยี่ยหลัวเหล่านั้นเดินไปที่ประตูด้วยท่าทางเคารพนบนอบ จากนั้นค้อมร่างต่ำจนแทบจรดแตะพื้นด้วยท่วงท่าที่แสดงอาการเคารพอย่างถึงที่สุด
เท้าสีขาวผ่องคู่หนึ่งก้าวเข้ามา ยามแตะพื้นเงียบจนไร้เสียง ทว่ากลับพาอำนาจที่มิอาจมองเมินได้มาด้วย ตำหนักคล้ายกลายเป็นห้องทึบแห่งหนึ่ง
ทุกคนหยัดตัวตรงอย่างห้ามไม่ได้
เจ้าของเท้าคู่นั้นสวมชุดนักพรตสีเทาอ่อน แขนเสื้อของชุดนักพรตกับชายเสื้อด้านล่างใช้ด้ายสีทองปักเป็นภาพมังกรขด ต้องทราบว่าในจงหยวนมังกรคือสัญลักษณ์แห่งโอรสสวรรค์ นอกจากโอรสสวรรค์กับรัชทายาท ไม่มีผู้ใดกล้านำมังกรมาประดับบนร่าง คิดว่าที่เยี่ยหลัวก็คงเป็นเช่นนี้เหมือนกัน
แต่ราชครูคนนี้กลับสวมอาภรณ์สูงศักดิ์เทียบเท่าราชาเยี่ยหลัว จากจุดนี้เห็นได้ชัดถึงฐานะของเขาในเยี่ยหลัว
ด้านหลังของเขามีลูกศิษย์ที่สวมชุดนักพรตและสวมกวานทำจากทองคำสีชมพูตามมายี่สิบคน บรรยากาศรอบตัวแต่ละคนมิอาจดูแคลนได้ ขบวนคนยี่สิบเอ็ดคนกลับดูเหมือนกองทัพเรือนพันเรือนหมื่นเดินเข้ามา
ราชครูผู้นั้นเดินนำหน้ามาลำพังราวกับมังกรที่หลับไหลจากยุคบรรพกาล แต่ละก้าวย่างคล้ายกับว่ามังกรผู้นิทราค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาทีละน้อย
ในใจขุนนางบุ๋นบู๊นับร้อยต่างสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันแข็งแกร่ง แม้แต่องค์ชายรองของเผ่าซยงหนีว์ก็ต้านทานแรงกดดันของราชครูไม่ไหวอยู่เล็กน้อย เหงื่อเย็นเฉียบซึมออกมาตามขมับ
องค์ชายรองกลืนน้ำลาย จากนั้นถอยหลบไปยืนหลังพี่เขยของตนเองอย่างเงียบๆ
ฟู่ ค่อยยังชั่วหน่อย!
จีหมิงซิวมองราชครูที่ก้าวมาทางตนเองอย่างนิ่งสงบ บรรยากาศกดดันรุนแรงจากตัวราชครูแผ่มาถึงตัวเขา แต่จีหมิงซิวหาใช่สัตว์กินพืช เมื่อตกอยู่ใต้แรงกดดันอันแข็งแกร่งของอีกฝ่าย เขาไม่แม้แต่จะหนังตากระตุกสักนิด
ราชครูดูเหมือนจะสนใจลองเชิงจีหมิงซิว แต่ลองอยู่พักใหญ่ก็ไม่เห็นจีหมิงซิวมีอาการผิดปกติแต่อย่างใด เขาจึงเก็บแรงกดดันอันแข็งแกร่งกลับไปอย่างช้าๆ จากนั้นจึงคำนับฮ่องเต้ต้าเหลียงอย่างไม่รีบร้อน
ฮ่องเต้กำฝ่าพระหัตถ์ชื้นเหงื่อ เห็นชัดว่าแรงกดดันเมื่อครู่เหนือกว่าที่พระองค์จินตนาการรไว้ หากมิใช่ว่านั่งอยู่บนบัลลังก์ที่อยู่ด้านบน บางทีพระองค์อาจจะรักษากิริยาเอาไว้ไม่ไหวก็เป็นได้
พระองค์ตั้งสติแล้วถามด้วยน้ำเสียงเช่นปกติ “จู่ๆ ราชครูก็มาเยือน มีเรื่องใดหรือ”
ราชครูใช้ภาษาเยี่ยหลัวพูดบางสิ่งกับลูกศิษย์เอกที่อยู่ด้านข้าง ศิษย์เอกพยักหน้าเข้าใจแล้วประสานหมัดคำนับ เอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “อาจารย์ของข้ากล่าวว่าบรรพบุรุษของเขากับบรรพบุรุษของอัครมหาเสนาบดีเคยเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน ต่อมาแม้เบ่งเป็นสองสำนัก แต่ไมตรีที่เคยร่วมสำนักมิอาจลืมเลือน มิทราบว่าอัครมหาเสนาบดีจะยอมละวางหน้าตา ประลองฝีมือกับตำหนักราชครูของพวกเราสักหนหรือไม่”
“บรรพบุรุษของอัครมหาเสนาบดีเหตุไฉนจึงเป็นศิษย์ร่วมสำนักกับคนเยี่ยหลัว”
“ตระกูลจีกับเยี่ยหลัวเกี่ยวข้องอย่างไรกันแน่”
ขุนนางทั้งหลายตั้งคำถามกันไปต่างๆ นานา
ฮ่องเต้ทราบเรื่องที่ตระกูลจีมีฐานะเป็นโหราจารย์แล้ว สมัยราชวงศ์เทียนฉี่ โหราจารย์เคยทำงานรับใช้ราชวงศ์ของเยี่ยหลัว จะเป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันก็ไม่น่าแปลกใจ
เรื่องเหล่านี้ขอเพียงฮ่องเต้ไม่ถือสา ขุนนางทั้งหลายแม้จะวิจารณ์จนปากฉีกก็ก่อคลื่นลมมากไม่ได้
สิ่งสำคัญก็คือการประลองฝีมือนี้…แท้จริงแล้วเป็นเรื่องร้าย…หรือเป็นเรื่องดี
ฮ่องเต้ขมวดพระขนงอย่างลังเล
ราชครูเอ่ยกับลูกศิษย์เป็นภาษาเยี่ยหลัวอีกหลายประโยค
ศิษย์เอกแปลคำพูด “อาจารย์ของข้ากล่าวว่า เขาจะไม่ปล่อยให้อัครมหาเสนาบดีประลองฝีมือเปล่าๆ หากอัครมหาเสนาบดีชนะ สามารถเรียกร้องสิ่งใดกับตำหนักราชครูก็ได้ แต่เช่นเดียวกัน หากตำหนักราชครูชนะ ก็ขอเรียกร้องสิ่งหนึ่งจากอัครมหาเสนาบดีเช่นเดียวกัน”
จีหมิงซิวถามว่า “พวกเจ้าต้องการเรียกร้องอะไร”
ราชครูพูดสองสามประโยค ลูกศิษย์เอกคนนั้นหันมามองจีหมิงซิวแล้วตอบว่า “หากตำหนักราชครูชนะ ขอให้อัครมหาเสนาบดีมอบตัวประกันชาวเยี่ยหลัวรวมทั้งกระบี่โหราจารย์มา”
จีหมิงซิวตอบเรียบๆ “นั่นย่อมเท่ากับข้อเรียกร้องสองข้อ”
ลูกศิษย์เอกตอบว่า “หากอัครมหาเสนาบดีคิดว่านี่เท่ากับข้อเรียกร้องสองข้อ ท่านก็เรียกร้องสองข้อได้เช่นกัน”
แววตาของจีหมิงซิววูบไหวเล็กน้อย จากนั้นหันไปทางราชครู แล้วพูดเป็นภาษาเยี่ยหลัวอย่างลื่นไหล “หากข้าชนะ ข้าต้องการร่างของมารดาข้า กับชีวิตของเจ้า”