หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 386-2 ขยี้ตำหนักราชครู ชัยชนะ!
ตอนที่ 386-2 ขยี้ตำหนักราชครู ชัยชนะ!
ใต้เท้าเจ้าสำนักหันกลับไปมอง เขาตัวสั่นเทาเพราะความหวาดผวาวิ่งกลับไปอยู่ข้างเฉียวเวยทันควัน!
เฉียวเวยมองร่มคันนั้น ร่มลอยลงมาจากท้องฟ้าอย่างเชื่องช้าลงมาในมือบุรุษอาภรณ์สีแดงผู้หนึ่ง
บุรุษผู้นั้นถือร่มอยู่จึงมองไม่เห็นโฉมหน้า เส้นผมของเขาดำดุจน้ำหมึก นิ้วเรียวดั่งหยก บรรยากาศที่แผ่ออกมารอบร่างมิอาจสรรหาถ้อยคำใดมาพรรณนา
เฉียวเวยจ้องมองเขา แม้จะเห็นหน้าของเขาไม่ชัด แต่เฉียวเวยรู้สึกว่าเขากำลังมองนางอยู่เช่นกัน
“เจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือ น่าสนใจ”
น้ำเสียงนุ่มนวลแต่เย็นยะเยือก ฟังอารมณ์ไม่ออกแม้แต่น้อย
แต่เนื้อหานั่น…เหตุไฉนจึงฟังดูแล้วแปลกพิกลเช่นนี้เล่า
ราวกับจะบอกว่า เอ๋ เจ้าตายแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดยังมีชีวิตอยู่อีก
เขารู้จักนางหรือ เขารู้จัก ‘นาง’ ที่ตายไปแล้วหรือ
ไม่รอให้เฉียวเวยคิดคำตอบออก เขาก็เอ่ยปากอีกหน น้ำเสียงคล้ายกับเข้าใจอะไรบางอย่าง “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง”
เฉียวเวยยิ่งมึนงง
แต่เขากลับไม่มีเจตนาจะคลายข้อสงสัยให้เฉียวเวยสักนิด เขาถือร่มหมุนตัวเดินจากไป
คนเดินออกไปไกลแล้ว แต่มีประโยคหนึ่งลอยเลือนรางมาตามลม “ผลสองภพ ขอบคุณมาก”
นี่หมายความว่าเดาตัวตนของเฉียวเวยออกแล้ว
ในเมื่อเคยได้รับผลสองภพจากนาง หากเฉียวเวยยังจะเดาตัวตนของเขาไม่ออกอีกก็ไม่มีเหตุผลเกินไปแล้ว หลังกลับมาจากชนเผ่าลึกลับ เฉียวเวยเคยฝากผลสองภพลูกหนึ่งไว้กับไห่สือซาน ฝากให้เขาช่วยนำไปให้คนที่เจ็ด
ดูท่าทางคงจะฝากมาถึงมือแล้ว
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกุมหน้าอก “ข้ากลัวแทบตาย! เมื่อครู่เขามองเห็นข้าแล้ว ข้ายังคิดว่าเขาจะเอาหินชาดกลับไปเสียอีก…โชคดีๆ!”
ยิ่นอ๋องจับจ้องคนผู้นั้นเนิ่นนาน ในดวงตาฉายแววสงสัยเลือนราง แต่เขาต้องเร่งเดินทางจึงไม่มีเวลาสืบหาสิ่งใด เขาบอกลาเฉียวเวยตรงนั้น จากนั้นก็ขึ้นรถม้าของตนเองจากไป
อีกด้านหนึ่งอาจารย์ตาฮั่วกลับมาแล้ว
เจ้าสารเลวชางจิวคนนั้นคิดจะกำจัดอาจารย์ตาฮั่วด้วยการล่อเขาเข้าไปในค่ายกลสังหารที่ประกอบด้วยคนเจ็ดคน คิดไม่ถึงว่าอาจารย์ตาฮั่วไม่เพียงทลายค่ายกลของเขาออกมาได้ แต่ยังสังหารคนเจ็ดคนนั้นจนสิ้น แม้แต่ตัวชางจิวเองก็บาดเจ็บหนักอย่างที่ยากจะฟื้นตัวกลับมาได้
ภายในเวลาสั้นๆ เขาคงไม่กล้าออกมาก่อเรื่องก่อราวอะไรอีก
การเดินทางครั้งนี้เสี่ยงอันตรายแต่ท้ายที่สุดก็ปลอดภัย ได้ชาดมาแล้ว แล้วก็รักษาชีวิตของเจ้าซื่อบื้อเอาไว้ได้ด้วย ทั้งสามคนกลับจวนอย่างดีอกดีใจ
เพื่อทดลองว่าชาดมีอิทธิฤทธิ์อย่างไร จีหมิงซิวจึงปล่อยนักรบมรณะห้าคนนั้นออกมา ผลปรากฏว่าพวกเขาหนีสุดชีวิตราวกับหนูเห็นแมว
หลังจากนั้นจีหมิงซิวก็เรียกสือชีมาหา ชั่วพริบตาที่สือชีเห็นหินชาด เขาก็ชักกระบี่ออกมาราวกับเห็นศัตรูตัวฉกาจ หากไม่ใช่ว่าอาจารย์ตาฮั่วเคลื่อนไหวว่องไว เขาคงฟันจนเจ้าสิ่งนั้นกลายเป็นผุยผงไปแล้ว!
เฉียวเวยเดินทางไปยังโรงตีเหล็กทั้งที่เป็นเวลากลางคืนเพื่อส่งหินชาดกับทรายนิลที่อาจารย์ตาฮั่วพกมาจากชนเผ่าลึกลับให้หลัวหย่งเหนียน ให้เขาตีกริชเล่มหนึ่งออกมาให้เร็วที่สุด
อีกด้านหนึ่ง ยิ่นอ๋องถือหินชาดเข้ามาในวังทันที
ภายในตำหนักอันห่างไกลแห่งหนึ่ง พระสนมอานเฟยนอนหน้าซีดเผือดอยู่บนเตียง ยิ่นอ๋องเดินเข้าไปหาอย่างร้อนรน “เสด็จแม่!”
พระสนมอานเฟยเอื้อมมือออกมาหาเขา นางอยากจะพูดบางอย่าง แต่กลับไอโขลกๆ ออกมาแทน
ยิ่นอ๋องก้าวเร็วไวมาถึงหน้าเตียง จากนั้นนั่งลงไปโอบนางเข้ามาในอ้อมแขน เขาหยิบกาน้ำชาบนม้านั่งมารินชาหนึ่งถ้วย พอยกขึ้นจิบคำหนึ่งก็พบว่าเย็นแล้ว สีหน้าจึงย่ำแย่ในพริบตา “นางกำนัล!”
นางกำนัลวิ่งหน้าตื่นเข้ามา “ท่านอ๋อง!”
ยิ่นอ๋องกระแทกถ้วยชา มองนางด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก “แม้แต่ชาร้อนสักถ้วยก็ไม่มี เจ้าปรนนิบัติเสด็จแม่ของข้าเช่นนี้หรือ”
นางกำนัลคุกเข่าลงไปดัง ตุ้บ!
พระสนมอานเฟยเอ่ยอย่างอ่อนแรง “ข้าต้องการดื่มน้ำเย็นเอง เจ้าอย่ากล่าวโทษนาง”
ยิ่นอ๋องเอ่ยอย่างเย็นชา “ไปต้มชาร้อนมา!”
“เพคะ!”
นางกำนัลตัวสั่นระริกก้าวออกไป
ยิ่นอ๋องหยิบหินชาดก้อนนั้นออกมาจากอกเสื้อ “เสด็จแม่ เจ้าสิ่งนี้รักษาโรคของท่านได้จริงหรือ”
พระสนมอานเฟยหลุบตาลง “ผู้ใดจะรู้เล่า ข้าก็ได้ยินผู้อื่นบอกมาอีกที ได้ยินว่าหากประดับมันไว้จะขับไล่สิ่งชั่วร้ายขจัดโรคภัยได้ ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ”
ยิ่นอ๋องหากระเป๋าใบน้อยมาหนึ่งใบ แล้วใส่ก้อนหินเข้าไปอย่าระมัดระวัง จากนั้นจึงวางไว้ใต้หมอนของนางอย่างแผ่วเบา “ต้องเป็นเรื่องจริงแน่ ท่านต้องดีขึ้น”
พระสนมอานเฟยหลับตาลงอย่างเศร้าสร้อย น้ำตาอุ่นร้อนหยดหนึ่งไหลรินลงมา
…
ปลายเดือนแปด ฤดูใบไม้ร่วงอากาศเย็นฉ่ำ
ในเช้าที่ดวงตะวันเจิดจ้าและสายลมโชยพัดอ่อนโยนวันหนึ่ง การประลองฝีมือระหว่างตำหนักราชครูกับตระกูลจีก็เปิดม่านขึ้น
สถานที่ประลองคือตำหนักที่ว่าราชการ บนสนามหญ้าสีเขียวสร้างเวทีสูงรูปสี่เหลี่ยมขนาดสี่ฉื่อขึ้นมาเป็นการชั่วคราว บนเวทีตั้งกลองไว้ตัวหนึ่ง องครักษ์ของกองทหารราชองครักษ์รูปร่างกำยำนายหนึ่งเป็นมือกลองของการประลองหนนี้
เขาถือไม้กลอง ยืนอยู่ข้างแท่นวางกลองสีหน้าเคร่งขรึม
ใต้เวทีสูง เหล่าขุนนางทยอยกันเข้ามานั่ง ขุนนางต้าเหลียงนั่งอยู่บริเวณหนึ่ง ทูตของเผ่าซยงหนีว์นั่งอยู่บริเวณหนึ่ง และทูตจากเยี่ยหลัวนั่งอยู่อีกบริเวณหนึ่ง
สิ่งที่ควรบอกก็คือหลังจากตัวตนของจีหมิงซิวกับเฉียวเวยถูกเปิดเผยออกไป สำนักในยุทธภพไม่น้อยก็หัวใจคันคะเยออยากจะเข้ามาชมการประลองหนนี้ด้วย แต่น่าเสียดายที่แห่งนี้คือพระราชวัง มิใช่สำนักซู่ซินจง ไหนเลยจะต้อนรับเหล่าผู้กล้าในใต้หล้าง่ายๆ โดยไม่กลัวมือสังหารปะปนเข้ามา
องค์ชายรองแห่งเผ่าซยงหนีว์เป็นกรรมการของการประลองรอบนี้ เขาก้าวขึ้นไปบนเวที ใช้ภาษาฮั่นประกาศกฎของการประลองรอบนี้อย่างคล่องปาก ไม่ว่าฝ่ายใด หากคนผู้หนึ่งเอาชนะคนสามคนได้ติดกันก็นับว่าได้ชัยชนะในรอบนี้
จะชนะก็ต่อเมื่อจัดการจนอีกฝ่ายหนึ่งลุกไม่ขึ้นหรือเอ่ยยอมแพ้
ส่วนถ้าพลัดตกจากเวทีไป สามารถปีนกลับขึ้นมาสู้ต่อได้
“ดาบกระบี่ไร้ตา เป็นตายรับผิดชอบตนเอง”
องค์ชายรองเผ่าซยงหนีว์ประกาศกฎข้อสุดท้ายเสร็จก็ปาดเหงื่อเย็นเดินกลับไปยังที่นั่งของตนเอง
งานประลองครั้งใหญ่นี้ ฮองเฮาเยี่ยหลัวไม่ได้มาเข้าร่วม แต่องค์ชายสามทนเหงาไม่ไหว จึงหน้าด้านหน้าทนติดตามมาด้วย เพียงแต่เขาไม่ไปนั่งตรงที่นั่งของคนเยี่ยหลัว แต่กลับเกาะติดอยู่กับคุณชายรองตระกูลจี คอยเกาะแขนเกาะขา ขาดเพียงไม่ได้เข้าไปนั่งในอ้อมกอดของอีกฝ่าย!
“ท่านพี่ ท่านว่าผู้ใดจะชนะ” เขาเกาะหนึบอยู่กับแขนของใต้เท้าเจ้าสำนัก
ใต้เท้าเจ้าสำนักอยากจะซัดฝ่ามือให้เขาปลิวออกไปยิ่งนัก
คนของตำหนักราชครูขึ้นไปบนเวทีแล้ว เขาเป็นบุรุษสูงใหญ่กำยำคนหนึ่ง แม้จะสวมชุดของตำหนักราชครู แต่หน้าตาท่าทางไม่เหมือนอาจารย์ไสยเวทที่อ่อนแอสักนิด ดวงตาของเขาเย็นชาและโหดร้าย พอปรากฏตัวออกมาก็ทำให้ทุกคนสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันแข็งแกร่งทันที
“แน่ใจหรือว่าไม่ต้องให้สือชีออกโรง” จีหมิงซิวถาม
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “วางใจเถิด นายน้อยหมิง จัดการเจ้าพวกนี้เพียงไม่กี่คน ข้ายังมั่นใจอยู่”
สือชีก็เป็นนักรบมรณะเหมือนกัน แล้วนักรบมรณะก็มีจุดอ่อน บางทีอาจไม่ใช่แค่ชาด แต่ยังมีสิ่งอื่นด้วย คนพวกนั้นรู้จักสือชีดีกว่าพวกเขา หากสือชีเป็นอะไรขึ้นมา เจ้าตุ้ยนุ้ยที่บ้านกับจิ่งอวิ๋นคงปวดใจ
เฉียวเวยก้าวขึ้นเวทีอย่างฉับไว
ขุนนางทั้งหลายมองจนตาค้าง พวกเขาฝันไปใช่หรือไม่ เหตุไฉนจึงเป็นสตรีนางหนึ่ง
ประเดี๋ยวก่อน นั่นมันฮูหยินจวนอัครมหาเสนาบดีไม่ใช่หรือ
นางขึ้นไปได้อย่างไร
ลูกศิษย์เอกหัวเราะหยัน เสียดสีว่า “ฮูหยินอัครมหาเสนาบดี ตระกูลจีของพวกท่านไม่มีคนแล้วหรือไร จึงส่งสตรีนางหนึ่งออกมาสู้ พวกเราไม่สู้กับสตรีหรอก”
ฮูหยินอัครมหาเสนาบดีตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าได้ยินว่าเมื่อหลายปีก่อนตำหนักราชครูเกือบถูกทำลายสิ้นสำนัก คนที่ซัดตำหนักราชครูจนพ่ายแพ้ยับเยินคนนั้นก็เป็นสตรีนางหนึ่ง ตำหนักราชครูของพวกเจ้าคงไม่ได้ถูกสตรีซัดน่วมจนผวาแล้วใช่หรือไม่ ถึงไม่กล้าสู้กับสตรีอีกแล้ว”
“เจ้า…” ลูกศิษย์เอกถูกหยามจนเกือบจะกระอักเลือดแก่ๆ ของตัวเองออกมา!
ราชครูมองเฉียวเวยด้วยแววตาลึกล้ำ คันธนูสีดำในมือสะท้อนแสงตะวันเป็นประกายเย็นยะเยือกงดงาม นิ้วหัวแม่มือของเขาลูบไล้คันธนูสีดำเบาๆ ริมฝีปากบางขยับเล็กน้อยเอ่ยอะไรออกมาประโยคหนึ่ง
ลูกศิษย์เอกเอ่ยอย่างคับแค้น “เริ่มเถิด”
องครักษ์ที่ทำหน้าที่ตีกลองหันไปมองเฉียวเวย เฉียวเวยพยักหน้า
องครักษ์กระหน่ำตีกลองใบใหญ่
นักรบมรณะคนนั้นพุ่งเข้าใส่เฉียวเวยอย่างรวดเร็ว ฟู่เสวี่ยเยียนเดาไม่ผิด นักรบมรณะที่ส่งออกมาหนนี้แข็งแกร่งกว่าหนก่อนอยู่มากทีเดียว ความเร็วของเขาเร็วจนน่าเหลือเชื่อ ทั้งตัวเต็มเปี่ยมด้วยพละกำลัง ทำให้ผู้คนไม่สงสัยเลยว่าหนึ่งหมัดนี้ของเขาคงซัดเฉียวเวยจมลงดิน
หัวใจของทุกคนขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ
องค์ชายสามกอดคอใต้เท้าเจ้าสำนักแน่น “แย่แล้ว! ท่านพี่ พี่สะใภ้จะตายแล้ว!”
ปัง! กำปั้นของนักรบมรณะต่อยออกมากระแทกกับกำแพงด้านหลังเฉียวเวย กำแพงพังถล่มเสียงดังสนั่น!
ทุกคนตาโตอ้าปากค้างมองแผ่นหลังของนักรบมรณะ เรือนร่างบอบบางเล็กจ้อยของเฉียวเวยถูกเขาบังไว้จนมิด
สามลมหายใจหลังจากนั้น นักรบมรณะก็หงายหลังล้มตึงอยู่กับที่
เฉียวเวยชักกริชสีแดงก่ำเล่มหนึ่งกลับมา จากนั้นใช้ผ้าเช็ดหน้าสะอาดเช็ดคราบเลือดบนคมกริช ท่วงท่างดงามจนเหมือนกับเช็ดแจกันดอกไม้ใบน้อย ทุกคนตกใจจนนิ่งอึ้ง
กระบวนท่าเดียว…
กระบวนท่าเดียวเท่านั้น!
นางทำได้อย่างไรกัน!
ลูกศิษย์เอกตกใจจนลุกพรวดขึ้นมายืน
เฉียวเวยเป่าปลายกริชอันคมกริบ ดวงตาแฝงรอยยิ้มเอ่ยว่า “ตอนแรกคิดว่าจะได้สู้กันสักหลายกระบวนท่าให้ทุกคนได้ดูเป็นบุญตาสักหน่อย คิดไม่ถึงว่ามือจะลื่น ขออภัยด้วยนะ!”
มือลื่นทีเดียวก็จัดการนักรบมรณะคนหนึ่งจนหมดสภาพ หากมือไม่ลื่น เจ้าจะไม่ลอยขึ้นสวรรค์ไปเลยหรือ!
ดวงหน้าหล่อเหลาของลูกศิษย์เอกแดงก่ำราวกับกินพริกเข้าไปหนึ่งร้อยชั่ง
ราชครูส่งสัญญาณมือ ลูกศิษย์เอกจึงข่มกลั้นความตกตะลึงและพลิงโทสะในหัวใจแล้วเรียกคนที่สองมาขึ้นเวที
คนนี้กำลังภายในสูงส่งยิ่งกว่าคนก่อนหน้า นอกจากนี้เขายังใช้อาวุธ เชื่อว่ากริชชาดของเฉียวเวยคงเข้าใกล้ตัวเขาไม่ได้อย่างแน่นอน
องค์ชายสามกอดใต้เท้าเจ้าสำนักแน่นขึ้นอีก “แย่แล้วๆ ท่านพี่ พี่สะใภ้จะตายอีกแล้ว!”
นักรบมรณะคนที่สองถือกระบี่พุ่งเข้าใส่เฉียวเวย เขาเหมือนจะรู้ว่ากริชในมือของเฉียวเวยคือกุญแจสำคัญ ดังนั้นพอบุกเข้ามาเขาก็ไม่สนใจอย่างอื่น จ้องจะจู่โจมมือขวาของเฉียวเวยเป็นอย่างแรก
กระบี่ของเขาฟันใส่กริชของเฉียวเวย
เฉียวเวยหน้าถอดสี!
ลูกศิษย์เอกยิ้มอย่างได้ใจ
ไม่มีกริชชาดแล้ว เฉียวเวยย่อมไม่มีสิ่งใดต่อกรนักรบมรณะได้อีก
นักรบมรณะไล่สังหารเฉียวเวยอย่างคลุ้มคลั่ง
เฉียวเวยถูกบีบให้หลบซ้ายหลบขวา นางพยายามจะเก็บกริชที่ร่วงจากมือหลายหน แต่ทุกครั้งล้วนถูกนักรบมรณะขวางต้อนกลับมาอย่างงดงาม เฉียวเวยกระทืบเท้าลงบนกลองใบใหญ่จากนั้นอาศัยแรงโจนทะยาน ดวงตาจับจ้องจะถลาเข้าหากริช แต่นักรบมรณะไปถึงนางก่อนหนึ่งก้าวเตะกริชลงจากเวที!
ทุกคนไม่กล้าดูต่อแล้ว
นักรบมรณะฟาดฟันกระบี่ใส่เฉียวเวยหนแล้วหนเล่า เฉียวเวยชักกริชเฟิ่นเทียนออกมาจากแขนเสื้อสั้น ฟันกระบี่ของนักรบมรณะจนหักในฉับเดียว!
กระบี่ของนักรบมรณะหักแล้ว เขาทิ้งกระบี่ทันทีแล้วเริ่มต่อสู้กับเฉียวเวยด้วยมือเปล่า
กริชของเฉียวเวยปักเข้าไปในแขนของเขา แต่เขาไม่แม้แต่จะหนังตากระตุก คว้าลำคอของเฉียวเวยกำไว้แน่น
“อ้ากกก” องค์ชายสามซุกหัวลงไปในอ้อมอกของใต้เท้าเจ้าสำนัก แบนราบ ไม่สบายเอาเสียเลย เขายกมือขึ้นมากอบๆ กอบจนกลายเป็นเนินร่องเล็กๆ ร่องหนึ่ง
ฝูงอีกาบินผ่านเหนือศีรษะของใต้เท้าเจ้าสำนัก…
จีหมิงซิวสีหน้าเรียบสนิท แต่ยิ่นอ๋องเริ่มนั่งไม่ติดแล้ว “จีหมิงซิวเจ้ายังเป็นบุรุษอยู่หรือไม่ นางสภาพเป็นเช่นนั้นแล้ว เจ้ายังไม่รีบยอมแพ้อีกหรือ! หากเป็นเช่นนี้ต่อไปนางจะไม่เหลือชีวิต!”
เฉียวเวยหน้าเขียว นางแทงกริชใส่แขนของนักรบมรณะครั้งแล้วครั้งเล่า แต่นักรบมรณะราวกับไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวด เขาบีบคอของเฉียวเวยไม่ปล่อย
ในตอนนั้นเอง เฉียวเวยก็ดึงปิ่นบนศีรษะออกมา
กริชยังทำอันใดนักรบมรณะไม่ได้ ปิ่นเล่มเดียวจะไปทำอันใดเขาได้เล่า
ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่เห็นการขัดขืนดิ้นรนหนีจากความตายของเฉียวเวยอยู่ในสายตา
ไม่คิดเลยว่ามุมปากของเฉียวเวจะยกโค้งขึ้นนิดๆ
หว่างคิ้วของลูกศิษย์เอกขมวดมุ่น
ทันใดนั้นเองเฉียวเวยก็กดนิ้วหนึ่งลงมา ปิ่นหักครึ่งเผยให้เห็นหินชาดแวววาวคมกริบแท่งหนึ่งที่อยู่ด้านใน ศิษย์เอกตะโกนลั่นว่าระวัง แต่น่าเสียดายสายไปแล้ว
หินชาดแทงลงบนคอของนักรบมรณะ
นักรบมรณะคนที่สองล้มลง
คนของตำหนักราชครูตาโตอ้าปากค้าง ไม่อยากจะเชื่อว่านักรบมรณะระดับสูงที่พวกเขาภาคภูมิใจกลับถูกกำจัดด้วยมือของสตรีนางหนึ่งอย่างง่ายดายเช่นนี้
เฉียวเวยเสียบปิ่นที่หักครึ่งกลับไปบนมวยผมของตัวเองแล้วอมยิ้มพูดกับผู้คนของตำหนักราชครูว่า “ยังจะสู้อีกหรือไม่”
ราชครูจ้องเฉียวเวยนิ่งนาน เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ มองเขา
ครู่ต่อมาเขาก็ส่งสัญญาณมือให้ลูกศิษย์เอก
ลูกศิษย์เอกหน้าถอดสีในทันใด “อาจารย์! พวกเรายังสู้ได้อีกรอบหนึ่ง! รอบต่อไปให้…”
แววตาเย็นเฉียบดุดันของราชครูจับบนใบหน้าของเขา เขาก้มหน้าลงในพริบตา สองมือกุมประสานกันคำนับ “ศิษย์เข้าใจแล้ว”
เขาหมุนตัวกลับไปมองเฉียวเวยกับจีหมิงซิวแล้วเอ่ยอย่างไม่ใคร่จะยินยอม “พวกเจ้าชนะแล้ว”