หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 388-2 หลอกต้มราชครู
ตอนที่ 388-2 หลอกต้มราชครู
ฟู่เสวี่ยเยียนคิดอะไรขึ้นมาได้จึงเอ่ยต่อว่า “ตามหลักแล้ว…กระบี่โหราจารย์ก็น่าจะร้ายกาจมากเช่นกัน พวกเจ้าหาวิธีใช้กระบี่โหราจารย์พบแล้วหรือยัง”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “หากเจ้าหมายถึงใช้หั่นผักก็คงนับว่าหาพบแล้วล่ะนะ แต่มันสู้มีดหั่นผักสักเล่มไม่ได้ด้วยซ้ำ!”
คำพูดนี้ไม่ใช่คำลวงแม้แต่นิดเดียว คมของกระบี่โหราจารย์ทื่อมาก หั่นเนื้อยังต้องเปลืองแรง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการสังหารคนแล้ว
ฟู่เสวี่ยเยียนกล่าวอย่างเสียดาย “พลังของกระบี่โหราจารย์ไม่ด้อยกว่าธนูจันทร์โลหิต แต่น่าเสียดายที่มรดกวิชาของโหราจารย์ขาดการสืบทอดมานานเกินไป ไม่มีผู้ใดทราบอีกแล้วว่าจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ของมันออกมาอย่างไร”
เฉียวเวยนึกถึงที่พวกคนตำหนักราชครูแอบอ้างสิ่งของของผู้อื่นไปเป็นของตนเองอย่างหน้าหนาไร้ยางอาย ในใจก็มีคำผรุสวาทยาวเป็นพรวนผุดขึ้นมา!
ฝั่งจีหมิงซิวเองก็ไม่ได้อะไรมาเท่าใดนัก
ไม่ว่าอย่างไรค่ายกลสัตตบงกชก็เป็นสิ่งที่อาจารย์ผู้นั้นเหลือทิ้งไว้ให้แก่บรรพบุรุษของราชครู บรรพบุรุษของตระกูลจีไม่มีเหตุอันใดให้ไปศึกษาค่ายกลของผู้อื่น
จีหมิงซิวปิดหนังสือ แล้วถอนหายใจเบาๆ “ดูท่า คงต้องโกงสักหน่อยแล้ว”
…
ค่ำคืนอันยาวนานเงียบสงัด โคมไฟของตำหนักฉางฮวนส่องสว่าง คนเผ่าซยงหนีว์ชื่นชอบความครึกครื้น หลังจบงานเลี้ยงเมื่อกลางวัน พวกเขายังรู้สึกไม่สาแก่ใจ ตกกลางคืนจึงก่อกองไฟในลาน ไม่ว่าผู้เฒ่าหรือคนหนุ่มสาวล้วนมาร้องรำรอบกองไฟอย่างครึกครื้น
เมื่อเทียบกับความคึกคักของเผ่าซยงหนีว์ เผ่าเยี่ยหลัวฟากนี้เรียกได้ว่าเงียบสงบ
ศิษย์ของตำหนักราชครูทั้งหลายวางสีหน้าเคร่งขรึมเฝ้าอยู่ในลานอย่างเงียบเหงา พวกเขาเหมือนไม่ได้ยินเสียงเพลงเอะอะลอยมาจากตำหนักข้างของคนเผ่าซยงหนีว์ ยืนประจำตำแหน่งของตนเองอย่างเฝ้าระวัง
เงาดำใหญ่โตร่างหนึ่งเหินลอยผ่านท้องนภายามรัตติกาลมาอย่างเงียบเชียบ มันร่อนมาหายอดหลังคาอย่างแผ่วเบาก่อนจะยกกรงเล็บข้างหนึ่งขึ้นขยุ้มให้กลไกทำงาน จนลงมาเกาะบนหลังคาได้อย่างมั่นคง
ตอนกลไกทำงานมีเสียงเบาๆ ดังขึ้นหนึ่งหน ต้องขอบคุณเผ่าซยงหนีว์ที่ทำให้ลูกศิษย์ทั้งหลายของตำหนักราชครูไม่ทันสังเกต
มันกางปีกขนานกระเบื้องหลังคา เงาเล็กจ้อยสามร่างพลันลื่นไถลลงมาจากปีกของมัน
หลังจากนั้นเงาร่างเล็กจ้อยทั้งสามก็กระโดดขึ้นบนกำแพงอย่างเงียบงัน มุดลอดพุ่มไม้เตี้ยอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะกระโดดลงบนพื้นอย่างไร้เสียง
องครักษ์แถวหนึ่งยืนน่าครั่นคร้ามอยู่ในลาน
ทว่าพวกเขาหันหลังให้พวกมันอยู่
จูเอ๋อร์ชี้ห้องของราชครูแล้วเริ่มวาดมือวาดไม้ ความหมายคร่าวๆ ก็คือข้าจะไปขโมยธนู พวกเจ้าคอยคุ้มกันด้วย
เจ้าขนสีขาวทั้งสองตัวผงกหัวอย่างพร้อมเพรียง!
จูเอ๋อร์โก่งตัวเหมือนแมวเดินย่องทีละก้าวๆ เข้าไปอย่างมือเบาเท้าเบา ไม่นานต้าไป๋ก็ลุกขึ้นยืนเดินตามเข้าไปอย่างวางมาด จากนั้นก็ถึงตาเสี่ยวไป๋ เสี่ยวไป๋วางอุ้งเท้าเพียงพอนอันเล็กจิ๋วข้างหนึ่งลงบนพื้นอย่างแผ่วเบาและระมัดระวัง
เป๊าะ!
กิ่งไม้ท่อนหนึ่งถูกเหยียบหัก! ขนเพียงพอนทั่วร่างของเสี่ยวไป๋ลุกพรึ่บ! ฝ่ายจูเอ๋อร์ขนพองมากยิ่งกว่า มันยังไม่ทันขโมยได้เลยก็ถูกจับได้แล้วเหรอ!
“ผู้ใด!”
ศิษย์คนหนึ่งตวาดขึ้นมา
ต้าไป๋กับจูเอ๋อร์เผ่นแผล็วขึ้นไปบนคานอย่างว่องไว!
ขอให้โชคดีนะ เด็กน้อย!
ร่างเล็กจ้อยของเสี่ยวไป๋ยืนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น มันจะขยับก็ไม่ถูก จะไม่ขยับก็ไม่ถูก น่าสงสารยิ่งนัก
“มีเรื่องอะไร” ลูกศิษย์เอกได้ยินเสียงตะโกนของศิษย์น้อง จึงเดินออกมาจากในห้องของตนเองอย่างระแวดระวัง
ศิษย์ที่ตวาดถามเมื่อครู่คนนั้นมองก้อนขนน้อยสีขาวบนพื้น เขาเอื้อมฝ่ามือใหญ่ออกมาจับตัวมัน แล้วบอกอย่างประหลาดใจ “นี่มันสุนัข หรือเพียงพอนกัน”
“บ๊อก!”
เสี่ยวไป๋เฮ่าเสียงอ้อแอ้ออกไปหนึ่งคำ
ลูกศิษย์หัวเราะ “ศิษย์พี่ใหญ่ แค่ลูกสุนัขน้อยตัวหนึ่ง เหมือนจะเพิ่งเกิดมาไม่นาน บางทีอาจจะหลงทาง”
ศิษย์เอกกวาดสายตามองรอบด้านอย่างเข้มงวด “พวกเจ้าระวังให้ดี วันพรุ่งนี้อาจารย์จะต่อสู้ตัดสินกับตระกูลจีแล้ว ช่วงเวลาสำคัญจะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด!”
ลูกศิษย์คนนั้นตบหน้าอกบอกว่า “ศิษย์พี่ใหญ่วางใจเถิด มีพวกเราทุกคนเฝ้าอยู่ รับประกันว่าแม้แต่นกสักตัวก็บินเข้ามาไม่ได้!”
อินทรีทองบนหลังคาสยายปีก
“จริงสิขอรับศิษย์พี่ สุนัขตัวนี้จะทำอย่างไรดีเล่า” ศิษย์น้องถาม
ศิษย์เอกมองเสี่ยวไป๋แล้วขมวดคิ้วบอกว่า “ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นของผู้สูงศักดิ์คนไหนสักคนในวัง มีเรื่องน้อยลงหนึ่งเรื่องย่อมดีกว่ามีเรื่องเพิ่มขึ้นหนึ่งเรื่อง โยนออกไปข้างนอกก็แล้วกัน”
ศิษย์น้องแอบเสียดายในใจ ขนนุ่มนิ่มอบอุ่นเช่นนี้ดูท่าจะเป็นสุนัขชั้นดี ทิ้งไปน่าเสียดายยิ่งนัก อยากจะเก็บเอาไว้เสียจริง แต่ศิษย์พี่ใหญ่เอ่ยปากแล้ว เขาย่อมมิอาจไม่ทำตาม
เขาอุ้มเสี่ยวไป๋เดินออกไปนอกประตู เพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกศิษย์พี่ใหญ่เรียกไว้
ศิษย์พี่ใหญ่เอ่ยขึ้นว่า “ช่างเถิด เอาให้ข้าก็แล้วกัน”
“ขอรับ” ศิษย์น้องอุ้มเสี่ยวไป๋มาให้ศิษย์พี่ใหญ่ หลังจากนั้นศิษย์เอกก็อุ้มเสี่ยวไป๋เดินขึ้นบันไดไป
เสี่ยวไป๋ขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของศิษย์เอก มันมองต้าไป๋กับจูเอ๋อร์บนคานตาปริบๆ ต้าไป๋ห้อยตัวอยู่บนคาน ส่วนจูเอ๋อร์ห้อยตัวอยู่บนขาของมัน พยายามยื่นมือมาฉวยตัวของเสี่ยวไป๋
ในตอนนั้นเอง ศิษย์เอกก็เปิดประตูห้องแล้วอุ้มเสี่ยวไป๋เดินเข้าไป
มือของจูเอ๋อร์คว้าได้แต่อากาศ
เสี่ยวไป๋ที่น่าสงสารถูกพาเข้าไปในห้องเสียแล้ว
ภายในห้องท่านราชครูนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง สองตาปรือหลับ สองมือยกขึ้นอย่างเชื่องช้า สูดลมหายใจเข้าลึกยาวจากนั้นค่อยๆ ผ่อนออก
เมื่อเขาพ่นลมหายใจออกมาจนหมดแล้ว ศิษย์เอกถึงคำนับอย่างนอบน้อมจริงใจแล้วเอ่ยเรียก “อาจารย์”
ท่านราชครูลืมตาขึ้นนิดๆ แล้วตอบอะไรบางอย่างเป็นภาษาเยี่ยหลัว ศิษย์เอกชูเสี่ยวไป๋ขึ้นมาแล้วหัวเราะบอกว่า “ไม่มีมือสังหาร มีแต่เจ้าตัวน้อยตัวนี้”
สายตาสงสัยของท่านราชครูจับจ้องบนร่างของเสี่ยวไป๋
เสี่ยวไป๋ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวเค้นเสียงจากลำคอ “บ๊อก!”
แววตาสงสัยในดวงตาของราชครูสลายหายไป สิ่งที่มาแทนที่กลับเป็นความผิดหวังที่เหมือนจะมีอยู่แต่ก็ไม่มีอยู่
ศิษย์เอกกะพริบตาอย่างช่วยไม่ได้ เหตุใดอาจารย์จึงมีแววตาเช่นนี้ หรือเมื่อครู่อาจารย์เข้าใจผิดว่ามันเป็นสัตว์หายากบางอย่าง
แม้ในใจศิษย์เอกจะสงสัย แต่ในเมื่อราชครูไม่พูด เขาก็ไม่กล้าถาม
ท่านราชครูชี้เตาหลอมโอสถที่มีไอร้อนลอยออกมาตรงข้างกำแพง
ศิษย์เอกเข้าใจจึงวาง ‘ลูกสุนัข’ ลงแล้วเดินไปหน้าเตาหลอมโอสถ เขาเปิดฝาเตาแล้วหยิบเม็ดยาสีดำขนาดเท่าไข่นกพิราบเม็ดหนึ่งออกมา กลิ่นยาเข้มข้นแผ่อบอวลทั่วทั้งห้องในพริบตา
ศิษย์เอกยิ้มอย่างดีใจบอกว่า “อาจารย์ ยาหนนี้คุณภาพเยี่ยมยอดทีเดียว กลิ่นหอมเข้มข้นยิ่งนัก คงจะผสมสูตรถูกแล้วแน่! ไม่ง่ายเลยจริงๆ!”
ท่านราชครูไม่ตอบ แต่กุมตรงหัวใจ ใบหน้าเย็นชาเผยสีหน้าซับซ้อนออกมาวูบหนึ่ง
ศิษย์เอกวางเม็ดยาลงในชาม เขาพูดพลางสังเกตสีหน้าอาจารย์ไปด้วย “ต้องโทษผู้หญิงบ้าเมื่อตอนนั้น หากไม่ใช่เพราะนางทำลายรากฐานลมปราณของอาจารย์ อาจารย์ก็คงไม่ต้องใช้วิธีการเช่นนั้นในการเพิ่มพลังปราณจนทำให้ตอนนี้…”
พูดมาได้ครึ่งหนึ่ง เขาก็ตระหนักได้ว่าตนเองปากมากแล้ว เขารีบก้มหน้าประคองเม็ดยาส่งให้ด้วยสองมือ “เชิญอาจารย์รับยาขอรับ”
ราชครูหยิบเม็ดยามาแล้วโบกมือไล่
ศิษย์เอกถอยออกไปอย่างนอบน้อม เขาลืมเสี่ยวไป๋อย่างสิ้นเชิง
เสี่ยวไป๋มองราชครูด้วยสีหน้ามึนงง
ราชครูก็หันมามองเสี่ยวไป๋เช่นกัน ต่อมาไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร เม็ดยาที่เขาหยิบขึ้นไปจ่อถึงริมฝีปากแล้วกลับถูกเขาเอาลงมา จากนั้นเขาก็บิเม็ดยาชิ้นเล็กๆ โยนมาตรงหน้าของเสี่ยวไป๋
เสี่ยวไป๋ดมกลิ่นหอมตลบอบอวลนั่น แล้วกินเข้าปากอย่างไม่พูดพร่ำทันที!
หอมมากๆ! อร่อยจริงๆ!
ดวงตาของเสี่ยวไป๋เป็นประกายวิบวับ มันเดินก้าวน้อยๆ ไปหาราชครู
ราชครูลังเลครู่หนึ่งก็โยนยาก้อนเล็กๆ มาให้มันอีก
เสี่ยวไป๋กินเข้าไปอย่างไม่เกรงใจสักนิด!
มันเดินไปข้างหน้าอีกสองก้าว มองเม็ดยาในมือราชครูพร้อมกับน้ำลายที่ไหลยืด
แววตาของราชครูหวั่นไหว เขาบิออกมาอีกชิ้นเล็กๆ
ชิ้นนี้ใหญ่กว่าสองชิ้นก่อนรวมกัน เสี่ยวไป๋ซาบซึ้งจนแทบหลั่งน้ำตา มันกอดหมับเข้าที่ขาของราชครู
ราชครูมองเม็ดยาในมือ แล้วมองเสี่ยวไป๋ที่ยังคึกคักมีชีวิตชีวา ในที่สุดคิ้วที่ขมวดมุ่นก็คลายออก แล้วกลืนเม็ดยาที่แม้แต่ลูกสุนัขตัวหนึ่งกินเข้าไปก็ยังไม่ถูกพิษ ไม่เป็นอันตราย ไม่มีปฏิกิริยาไม่ดีแต่อย่างใดลงไปในท้อง
เพียงชั่วพริบตาต่อมาราชครูก็ชักกระตุกไปทั้งร่าง ฟองน้ำลายสีขาวฟูมออกมาจากปาก กลางหว่างคิ้วกลายเป็นสีดำ ริมฝีปากเริ่มเป็นสีม่วง ล้มคว่ำฟุบลงกับพื้น