หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 392-2 ผู้ร้ายหลังม่าน (1)
ตอนที่ 392-2 ผู้ร้ายหลังม่าน (1)
ทุกคนหลีกทางให้ศิษย์เอก ศิษย์เอกเดินตรงไปยังห้องครัว หลังจากต้มยาถ้วยหนึ่งเสร็จก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เขาเทยาลงไปในถ้วย แยกกากยาจนหมดเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่เศษชิ้นเล็กชิ้นน้อย หลังจากนั้นจึงยกถ้วยยาใส่ถาดถือเข้าไปในห้องของราชครู
เขาเคาะประตู “อาจารย์ ข้าเอง ข้าเข้าไปนะขอรับ”
ภายในห้องไม่มีเสียงตอบรับ
เขาผลักประตูห้องเบาๆ กลิ่นยาจินชวงเลือนรางลอยโชยเข้ามาในจมูก
หมอหลวงของต้าเหลียงก็เป็นเช่นนี้ ไม่กล้าสั่งยาแรงให้ผู้ใด วิธีที่ใช้ล้วนแต่เป็นวิธีรักษาอย่างละมุนละม่อม แต่สภาพของราชครู แค่เอายาจินชวงทานิดๆ หน่อยๆ จะหายดีได้หรือไร
เกรงว่าต่อให้เป็นยาหวนกำเนิดถ้วยนี้ก็คงรักษาได้เพียงน้อยนิด
“อาจารย์” ศิษย์เอกเดินมาถึงตรงหน้าราชครูผู้สลบไสลไม่ได้สติอยู่บนฟูกนอน เขาวางถ้วยลงแล้วประคองราชครูขึ้นมา “อาจารย์ กินยานะขอรับ”
เวลาเพียงวันเดียว ราชครูดูเหมือนแก่ชราลงไปนับสิบปี ใบหน้าซีดเผือด รูปลักษณ์โรยรา ราชครูราวกับไม่ได้ยินเสียงคำพูดของเขา ขณะที่ป้อนยาก็แทบจะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ป้อนยาหนึ่งคำ ไหลออกมาเสียครึ่งหนึ่ง ยากลำบากอย่างยิ่ง
เมื่อป้อนยาหนึ่งถ้วยจนเสร็จ ศิษย์เอกก็เหงื่อท่วมตัว
เสื้อผ้าของราชครูถูกยาหยดเปื้อนหลายจุดอย่างเลี่ยงไม่ได้ ความจริงเพียงเช็ดก็เรียบร้อยแล้ว แต่ศิษย์เอกยืนกรานจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแห้งให้เขาใหม่ทั้งชุด
“อาจารย์”
ศิษย์เอกเรียกเบาๆ
ราชครูนอนสลบไสลอย่างอ่อนแรง
ศิษย์เอกเหน็บชายผ้าห่มให้เขาจนเรียบร้อยก่อนจะเดินอย่างแผ่วเบาไปถึงตู้เสื้อผ้า จากนั้นวางมือลงบนหีบไม้แดงใบใหญ่ใบหนึ่ง
หัวใจของเขาเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ เพราะหวาดกลัวความผิด แม้แต่ลมหายใจก็สับสนไปด้วย
เขาหันกลับไปมองราชครูแวบหนึ่ง เห็นราชครูยังหลับลึก จึงรวบวมความกล้าเปิดหีบออก
ภายในหีบเก็บเสื้อผ้าไว้กองหนึ่ง ข้างใต้เสื้อผ้ามีหีบอีกหนึ่งใบ เมื่อเปิดหีบออกอีกหนก็พบกล่องเงินใบหนึ่ง
บนกล่องเงินคล้องแม่กุญแจไว้ แต่เขาทราบว่ากุญแจอยู่ที่ใด
เขาเดินย่องไปข้างเตียง จากนั้นล้วงกุญแจดอกหนึ่งออกมาจากใต้หมอนของราชครูแล้วเปิดกล่องเงินออก
ภายในกล่องเงินมีตำราที่พิมพ์ด้วยแม่พิมพ์นอนอยู่ด้านในหลายแผ่น เขานับทีละแผ่น มีทั้งหมดเก้าแผ่น หนึ่งแผ่นต่อหนึ่งขั้น น่าจะเป็นวิชาฝ่ามือเก้าสุริยันเก้าขั้นแน่นอนแล้ว
เขาวางตำราลับไว้บนโต๊ะ จากนั้นปูกระดาษขาวแล้วเริ่มคัดลอก
ก๊อกๆ!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นด้านนอก
ศิษย์เอกตกใจจนมือสั่น ปลายพู่กันไถลออกนอกทาง เกิดเป็นรอยเส้นยาวเฟื้อยเส้นหนึ่งบนตำราลับที่เพิ่งคัดลอกเสร็จ
เขาตั้งสติถามว่า “มีเรื่องอันใด”
คนด้านนอกตอบว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ อาหารเย็นเสร็จแล้วขอรับ”
ศิษย์เอกตอบด้วยน้ำเสียงดังเช่นปกติ “พวกเจ้ากินก่อนเถิด ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนอาจารย์อีกครู่หนึ่งแล้วค่อยไป”
“ขอรับ ศิษย์พี่ใหญ่”
คนด้านนอกจากไปแล้ว
ศิษย์พี่ใหญ่พรูลมหายใจยาวออกมาเฮือกหนึ่ง จากนั้นยกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก เขามองตำราลับที่นั่งลอกมาตั้งนานถูกรอยหมึกขีดเดียวทำลายจนหมดสิ้นแล้วขมวดคิ้วอย่างแค้นใจ!
เขาเผาตำราลับฉบับคัดลอกที่เสียแล้วทิ้ง จากนั้นหยิบกระดาษขาวแผ่นใหม่มา
แต่เดิมคิดว่าหนนี้คงทำสำเร็จแล้ว คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะเขียนได้ตัวอักษรเดียวก็มีสายลมเย็นเฉียบสายหนึ่งพัดมาจากทางเดิน
สัญชาตญาณของผู้ฝึกยุทธ์บอกเขาว่า มีคนมา!
เขาไม่มีเวลาคัดแล้ว เขารีบร้อนเก็บตำราลับกลับเข้าไปในกล่องเงินเป็นพัลวัน เหตุเพราะลนลานมากเกินไปจึงมีตำราลับหน้าหนึ่งลอยร่วงไปใต้โต๊ะ
เขากำลังจะก้มลงไปเก็บ แต่คนผู้นั้นมาถึงประตูแล้วและกำลังเริ่มเปิดประตู
คิ้วของเขาดีดผึง รีบปิดกล่องยัดกลับเข้าไปในหีบทันที!
ลมปราณเย็นยะเยือกน่าขนลุกสายหนึ่งเล็ดลอดเข้ามาตามช่องว่างของบานประตู
เขายืนอยู่หน้าเตียงของราชครูเพียงสองสามพริบตา สายตาวาวโรจน์ก็มองไปทางประตู ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด ชั่วพริบตาก่อนที่ประตูจะถูกเปิดจนสุด เขาก็หลบเข้าไปอยู่ใต้เตียงราวกับมีเทพดลใจ!
ประตูเปิดออก แสงจันทร์เย็นตาทอดลงมาบนแผ่นหินปูพื้น จากมุมมองของศิษย์เอก บังเอิญมองเห็นเงาดำเงาหนึ่งทอดตัวลงบนพื้นพอดี ทว่าเพียงพริบตาประตูก็ถูกปิดอีกครั้ง
คนผู้นั้นก้าวมาริมเตียงอย่างเชื่องช้า ฝีเท้าแผ่วเบาอย่างยิ่ง เมื่อกำลังภายในของคนผู้หนึ่งลึกล้ำจนถึงจุดหนึ่ง ฝีเท้าของเขาก็จะเงียบเชียบกว่าคนปกติ
ศิษย์เอกอยากจะมองดูว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใดกันแน่ แต่มองเห็นเพียงชายผ้าคลุมที่ทิ้งตัวลงมาเกือบจะระพื้นเท่านั้น แม้แต่รองเท้าก็ถูกบดบังเอาไว้
กลิ่นยาอบอวลคล้ายกลิ่นเครื่องหอมที่ชวนให้คนเพลิดเพลินลอยโชยออกมาเลือนรางคล้ายไม่ใช่ความจริง
คนผู้นั้นหยุดเท้าเบื้องหน้าเตียงนอน
ศิษย์เอกไม่ทราบว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูหรือมิตร เขาคลำกริชข้างเอวอย่างเงียบเชียบ
ทว่าเขารออยู่ใต้เตียงเนิ่นนานแล้ว ก็ยังไม่เห็นอีกฝ่ายเปิดฉากฆ่าฟัน
อีกฝ่ายเพียงยืนอยู่หน้าเตียงนอนนิ่งๆ คล้ายกับกำลังมองสำรวจราชครู แต่ก็คล้ายกำลังมองสำรวจทั่วทั้งห้องอยู่
ผ่านไปครู่ใหญ่คนผู้นั้นจึงเปิดปากขึ้นเสียงเรียบเรื่อย “ข้าอุตส่าห์ตั้งใจวางแผนการช่วยเหลือเจ้ามาเนิ่นนาน ช่างเสียเปล่า เจ้ากลับมาพ่ายแพ้เสียนี่ ข้าบอกเจ้าตั้งนานแล้วว่าตระกูลจีไม่ใช่จะจัดการได้ง่ายดายปานนั้น”
ศิษย์เอกได้ยินก็ตกตะลึง
คนผู้นั้นเอ่ยต่อว่า “พ่ายแพ้แล้วก็แล้วไปเถิด แต่แม้กระทั่งธนูจันทร์โลหิตก็ถูกผู้อื่นเอาไปด้วย เจ้าช่างผิดต่อสำนักของพวกเจ้าเสียจริง!”
ศิษย์เอกขมวดคิ้ว ธนูจันทร์โลหิตถูกคนตระกูลจีสับเปลี่ยนไปจริงหรือ!
คนผู้นั้นพูดต่อว่า “ตอนนั้นตกลงกันแล้วแท้ๆ ว่าหากเจ้าชนะ ข้าจะไม่สอดมือเข้าไปยุ่งกับบุญคุณความแค้นระหว่างเจ้ากับตระกูลจี แต่หากเจ้าแพ้ ตำราลับฉบับลายพิมพ์ต้องเป็นของข้า ข้ามารับตำราลับแล้ว”
กล่าวจบคนผู้นั้นก็ผละออกจากข้างเตียงเดินมาถึงหน้าตู้เสื้อผ้า
ศิษย์เอกได้ยินเสียงเปิดหีบและกล่องเงิน
ในตอนนี้เองสายตาของศิษย์เอกก็กวาดไปเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งใต้โต๊ะ
หัวใจเขาขึ้นมาจุกอยู่ที่คอในพริบตา!
“เอ๋ เหตุใดจึงหายไปหนึ่งแผ่น” คนผู้นั้นพึมพำ
ตำราลับฉบับนี้ครบถ้วนสมบูรณ์ หากขาดไปหนึ่งแผ่น ย่อมหมายความว่ามีคนมาแตะต้องมัน
คนที่แตะต้องของของราชครูได้ ทั่วใต้หล้ามีไม่พ้นสามคน ในตำหนักฉางฮวนตอนนี้คงมีเพียงศิษย์เอกเพียงคนเดียว
ศิษย์เอกตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
คนผู้นั้นเดินทีละก้าวมาถึงริมเตียง ไม่รู้ว่าเพราะหวาดผวาหรือไร ศิษย์เอกจึงรู้สึกว่าตนเองกำลังจะถูกพบตัวแล้ว ในตอนนั้นเองเสียงของศิษย์คนหนึ่งก็ดังขึ้นด้านนอก “ศิษย์พี่ใหญ่ ฮูหยินอัครมหาเสนาบดีมาขอพบ นางบอกว่ามารักษาอาการบาดเจ็บให้อาจารย์!”
เท้าของคนผู้นั้นชะงักกึก แล้วแค่นเสียงเย็นชาออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะซุกตำราลับเก็บไปแล้วเรียกผ้าแดงผืนหนึ่งออกมา แล้วเปิดหน้าต่างกระโจนออกไปด้านนอก
…
ตอนที่เฉียวเวยมาถึงห้องของราชครู คนผู้นั้นก็หายตัวไปนานแล้ว แม้แต่กลิ่นหอมเบาบางที่หลงเหลืออยู่ในอากาศก็ถูกสายลมยามราตรีเป่าจนกระจายหายไปสิ้น
ศิษย์เอกออกมาต้อนรับเฉียวเวยเข้ามาในห้อง “เจ้ามารักษาอาจารย์ของข้าหรือ”
เฉียวเวยวางล่วมยาลงบนโต๊ะ “จะใช่ได้อย่างไร ข้ามาดูว่าเจ้าได้ของมาไว้ในมือหรือไม่ต่างหาก ข้ากลัวว่าชักช้าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้น”
ศิษย์เอกเงียบงัน
เฉียวเวยเห็นสีหน้าเขาผิดปกติ สีหน้าก็เคร่งขรึมลงทันควัน “ข้าคงไม่ได้พูดถูกใช่หรือไม่ เอามาไม่ได้จริงหรือ”
ศิษย์เอกกระแอม “เอามาได้น่ะได้ แต่ว่า…”
“แต่ว่าอะไร” เฉียวเวยมองเขาอย่างเย็นชา
“ได้มาไม่ครบ” ศิษย์เอกกล่าวงึมงำจบก็ส่งกระดาษลายพิมพ์ตัวอักษรที่เหลือเพียงแผ่นเดียวให้เฉียวเวย
เฉียวเวยรับมาดูจากนั้นจึงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ถึงข้าจะอ่านภาษาเยี่ยหลัวไม่ออก แต่จำนวนเท่านี้น้อยเกินไปหรือไม่ เจ้าแน่ใจหรือว่าตำราลับทั้งเล่มอยู่ในกระดาษแผ่นนี้แล้ว”
“ตอนแรกข้าเอามาได้ทั้งหมดแล้ว แต่ว่า…” ศิษย์เอกอยากพูดแต่แล้วก็หยุด เรื่องนี้เดิมทีไม่สมควรบอกคนนอก แต่เรื่องเกี่ยวพันถึงชีวิตของราชครู เขาจึงฝืนเล่าเรื่องเมื่อครู่ออกมา
เฉียวเวยสงบใจไม่อยู่แล้ว “อาจารย์ของเจ้ายังมีพรรคพวกอีกหรือ!”
“เจ้าอย่าพูดเสียไม่น่าฟังถึงขนาดนั้นสิ คนผู้นั้นไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น เพียงเตือนอาจารย์ของข้าว่าคนตระกูลจีไม่ได้จัดการง่ายๆ ก็เท่านั้น” เขากลัวว่าเฉียวเวยจะจี้เรื่องนี้ไม่ปล่อย จึงเอ่ยต่อรวดเดียวอย่างไม่หยุดหายใจ “คนผู้นั้นเอาตำราลับในกล่องไปหมดแล้ว เหลือแต่ขั้นแปดขั้นนี้ขั้นเดียว”
เฉียวเวยไม่ถูกเขาจูงจมูกง่ายดายถึงเพียงนั้น “ไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น คำนี้แม้แต่ตัวเจ้าเองก็คงไม่เชื่อกระมัง!”
ศิษย์เอกกระแอม “เจ้าพูดมาเลยดีกว่าว่าตำราแผ่นนี้มีประโยชน์กับพวกเจ้าหรือไม่”
ในมือพวกเขามีตำราลับหกขั้นแล้ว ขาดแต่ขั้นเจ็ด แปด เก้า ตำราลับแผ่นนี้กล่าวตามตรงแล้วก็เป็นสิ่งที่พวกเขากำลังต้องการพอดี
ศิษย์เอกสังเกตสีหน้าของนางแล้วบอกว่า “มีประโยชน์ล่ะสิ ถ้าเช่นนั้น…สิ่งนี้ก็ถือว่าเป็นมัดจำของข้าก็แล้วกัน พวกเจ้าให้เวลาข้าก่อน ข้าจะต้องตามเอาตำราลับที่เหลือกลับมาให้พวกเจ้าได้แน่”
หากเขาไปตามกลับมาได้ย่อมเป็นเรื่องดี แต่ไม่ว่าอย่างไรที่แห่งนี้ก็คือต้าเหลียง ตระกูลจีลงมือย่อมตามหาได้เร็วกว่า
เฉียวเวยถามว่า “คนผู้นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร แซ่อะไรนามว่าอันใด มีลักษณะพิเศษประการใดหรือไม่”
ศิษย์เอกนึกทบทวน “รูปร่างหน้าตามองไม่ชัด ตัวตนก็ไม่รู้ชัดเจนเท่าไรนัก ข้ารู้เพียงว่าเสียงของคนผู้นั้นยากจะแยกแยะออกว่าเป็นบุรุษหรือสตรี ส่วนอาวุธที่ใช้คือผ้าสีแดงผืนหนึ่ง”