หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 393-1 ผู้ร้ายหลังม่าน (2)
ตอนที่ 393-1 ผู้ร้ายหลังม่าน (2)
เฉียวเวยจดจำสองสิ่งนี้ได้เสมือนเพิ่งเกิด เพราะตอนที่ ‘เซวียหรงหรง’ ตัวปลอมเข้ามาล้วงความลับ นางเคยเกือบตายในมือคนผู้นั้นแล้ว คนผู้นั้นมีเสียงที่แยกไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิงกับอาวุธที่เป็นผ้าสีแดงผืนหนึ่งเช่นเดียวกัน
คนผู้นั้นเป็นคนของตำหนักธิดาเทพ แต่ไม่ทราบว่าเป็นธิดาเทพหรือสตรีศักดิ์สิทธิ์ ทว่าหลังจากตำหนักธิดาเทพล่มสลาย คนกลุ่มนั้นก็น่าจะถูกำจัดไปหมดแล้วนี่นา
หรือว่าจะยังมีคนหลุดรอดไปได้คนหนึ่ง
ไม่ ตำหนักธิดาเทพไม่มีผู้ใดหนีรอดมาได้ทั้งนั้น แต่หากว่าคนผู้นั้นไม่ใช่คนของตำหนักธิดาเทพตั้งแต่ต้น…
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่” ศิษย์เอกถาม
เฉียวเวยตอบว่า “ข้ากำลังคิดว่าข้าเคยพบคนผู้หนึ่ง เขาก็มีเสียงที่แยกไม่ออกว่าเป็นบุรุษหรือสตรี และใช้ผ้าสีแดงผืนหนึ่งเหมือนกัน ข้าคิดว่าเขาตายไปแล้ว แต่หลังจากได้ยินคำพูดของเจ้า ข้าก็คิดว่าเขาอาจจะยังมีชีวิตอยู่”
ศิษย์เอกถามว่า “เจ้าเคยเห็นศพของเขากับตาหรือไม่”
เฉียวเวยพยักหน้า แต่แล้วก็ส่ายหน้า “ข้าคิดว่าเขาคือธิดาเทพหรือสตรีศักดิ์สิทธิ์สักคน พวกนางล้วนตายหมดแล้ว หากเป็นศพของพวกนาง นั่นข้าเคยเห็นมาแล้ว”
“แต่หากไม่ใช่หนึ่งในพวกนางเล่า” ศิษย์เอกถามอย่างไม่ทันคิด
เฉียวเวยครุ่นคิดครู่เดียวก็ตอบว่า “หากไม่ใช่หนึ่งในพวกนาง ถ้าเช่นนั้นเขาก็ต้องยังมีชีวิตอยู่แน่ เขาสมคบกับตำหนักธิดาเทพ แล้วยังมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับตำหนักราชครูของพวกเจ้าอีก จู่ๆ ข้าก็เริ่มสงสัยแล้วว่าที่แท้เขาเป็นเทพเซียนจากแห่งหนใด เหตุไฉนจึงไปมาระหว่างชนเผ่าลึกลับกับเยี่ยหลัวได้ดั่งใจตน”
คำถามเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ศิษย์เอกจะตอบได้แล้ว แน่นอนว่าเฉียวเวยก็ไม่ได้คาดหวังคำตอบจากเขา นางเพียงแต่พึมพำพูดกับตัวเองเท่านั้น
สัญชาตญาณบอกเฉียวเวยว่าเรื่องดำเนินมาจนถึงตอนนี้ พวกนางอยู่ใกล้ความจริงมากแล้ว ถึงขนาดที่ว่านางเหมือนจะสัมผัสได้ถึงม่านบางๆ ที่กั้นความจริงอยู่เลือนราง เพียงแต่ม่านชั้นนี้ราวกับห้วงฝันราวกับม่านหมอกมายาที่ทำให้คนที่สัมผัสปัดออกไปไม่ได้ในทันที
แต่เมื่อแหวกพ้นผ่านแล้ว ความจริงทุกสิ่งก็จะกระจ่าง
“คนผู้นั้นจากไปนานเท่าใดแล้ว” เฉียวเวยถาม
ศิษย์เอกตอบว่า “ตอนเจ้ามาเขาเพิ่งจากไป ไม่นานเท่าไรนัก”
แววตาของเฉียวเวยเย็นยะเยือก “พูดเช่นนี้ เขาก็น่าจะยังอยู่ในวังหลวง”
กล่าวจบ เฉียวเวยก็หิ้วล่วมยาก้าวออกไปจากประตูไป
ศิษย์เอกรีบคว้าตัวนางไว้ “เฮ้ย! เจ้าไม่ดูอาการอาจารย์ข้าแล้วหรือ อาจารย์ข้าได้รับบาดเจ็บอยู่นะ!”
เฉียวเวยตอบอย่างเฉยเมย “อาจารย์ของเจ้ารนหาที่เอง ผู้ใดให้เขาไม่มีอะไรทำวิ่งมาเล่นงานตระกูลจี เขาวางแผนร้ายจนตัวเองติดกับเสียเอง ยังจะให้คนตระกูลจีเช็ดก้นให้เขาอีกหรือ ใต้หล้ามีเรื่องดีงามพรรค์นั้นด้วยหรือไร”
ศิษย์เอกร้อนใจแล้ว “แต่พวกเจ้าไม่ได้…”
“พวกข้าทำไม” เฉียวเวยเอ่ยขัดเขา “พวกข้าบอกว่าหากเจ้าขโมยตำราลับมาให้ก็จะละเว้นชีวิตเขา ไม่ได้พูดว่าจะช่วยชีวิตเขาเสียหน่อย อีกอย่างเจ้าก็เอาตำราลับมาไม่ได้! มีสิทธิอะไรมาต่อรองข้อแม้กับข้าตรงนี้!”
ศิษย์เอกถูกสวนจนสะอึกพูดไม่ออก
เรื่องเร่งด่วนตอนนี้ก็คือรีบตามหาตำราลับเล่มนั้นให้พบเร็วที่สุด เฉียวเวยไม่เปลืองเวลากับศิษย์อาจารย์สองคนนั้นอีกต่อไป นางก้าวฉับๆ ออกจากตำหนักฉางฮวน แล้วสาวเท้าเร็วไวไปทางห้องทรงพระอักษร
ฮ่องเต้ทราบเรื่องที่หมิงซิวต้องพิษอยู่แล้ว หลังจากเฉียวเวยบอกร่องรอยของตำราลับกับฮ่องเต้ ฮ่องเต้ก็สั่งปิดประตูวังหลวงทั้งสี่บานอย่างไม่พูดพร่ำ จากนั้นเพิ่มองครักษ์ลาดตระเวนภายในวังหลวง ดำเนินการค้นหาภายในวังอย่างเอิกเกริกโดยอ้างว่าเพื่อตามหาตำราโบราณของเยี่ยหลัวที่ตระกูลจีนำมาถวาย
เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าคนผู้นั้นอาจจะปลอมเป็นนางกำนัลหรือขันทีแฝงตัวออกไป ดังนั้นประตูวังหลวงจึงเพิ่มกำลังคนมากกว่าเดิม ตรวจสอบคนที่เข้าออกวังหลวงอย่างเข้มงวด ไม่ตัดความเป็นไปได้ที่จะมีขุนนางถูกซื้อตัวหรือหลอกใช้ ด้วยเหตุนี้แม้แต่ขุนนางบุ๋นบู๊นับร้อยรวมถึงเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายก็ต้องถูกตรวจสอบด้วยถึงจะปล่อยออกไปอย่างปลอดภัย
ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างเคร่งเครียดจริงจัง
หลังจากแม่ทัพตัวหลัวเดินทางขึ้นเหนือ เขาก็พาคนสนิทในกรมกลาโหมไปด้วย ตำแหน่งบางส่วนในกรมกลาโหมจึงว่างลง ยิ่นอ๋องถูกย้ายเข้าไป แม้จะไม่ใช่ตำแหน่งที่มีอำนาจจริงสักเท่าใด แต่เมื่อเทียบกับตำแหน่งลอยๆ ในกรมขุนนางก่อนหน้านี้ โอกาสในตอนนี้นับว่าหาได้ยาก
เมื่อจัดการงานราชการในมือเสร็จ ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว
ยิ่นอ๋องจัดฎีกาและหนังสือวางเรียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย พอบนโต๊ะไม่มีของวางเกะกะแม้แต่ชิ้นเดียวแล้ว เขาก็ลุกขึ้นยืนเตรียมจะกลับจวน
เพิ่งเดินมาถึงประตู นางกำนัลคนหนึ่งก็รีบร้อนเดินเข้ามาหา “ท่านอ๋อง!”
ยิ่นอ๋องจำนางได้ นางเป็นนางกำนัลข้างกายพระสนมอานเฟย “มีเรื่องอะไรถึงลนลานเช่นนี้ เสด็จแม่ของข้าเป็นอะไรไป”
นางกำนัลบอกอย่างเคร่งเครียด “เมื่อครู่พระสนมอานเฟยหมดสติไปเพคะ!”
ยิ่นอ๋องหน้าถอดสี เขารีบสาวเท้าไปยังตำหนักบรรทมของพระสนมอานเฟย
สภาพของพระสนมอานเฟยไม่ค่อยดีนัก นางหลับตานอนอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเผือดดุจกระดาษไข ลมหายใจรวยริน มือเท้าเย็นเฉียบ
ยิ่นอ๋องมาถึงหน้าเตียงก็กุมมือของนางไว้ “เสด็จแม่! เสด็จแม่ท่านเป็นอันใดไป ท่านรีบตื่นสิพ่ะย่ะค่ะ!”
พระสนมอานเฟยไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ
ยิ่นอ๋องกดจุดเหรินจง[1]ให้นาง นางถึงได้สติขึ้นมาอย่างช้าๆ นางเผยอเปลือกตาอันหนักอึ้งมองยิ่นอ๋องหนึ่งหน จากนั้นจึงเอ่ยอย่างไร้เรี่ยวแรง “เจ้ามาแล้ว…”
ยิ่นอ๋องมองดูสภาพครึ่งเป็นครึ่งตายของนางแล้วเอ่ยอย่างปวดใจ “ท่านอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว! ข้าจะไปกราบทูลเสด็จพ่อเดี๋ยวนี้ ให้ท่านกลับไปรักษาตัวที่จวนยิ่นอ๋องด้วยกันกับข้า!”
พระสนมอานเฟยยิ้มอย่างอ่อนแรง แล้วบอกว่า “ข้าไม่เป็นอะไร ก็แค่โรคเดิมๆ นอนหลับสักตื่นก็หายดีแล้ว”
ฝ่ามือใหญ่ของยิ่นอ๋องวางทาบบนหน้าผากของนาง “ชาดเมื่อหนก่อนไม่มีประโยชน์เลยหรือไร เหตุไฉนท่านกลับยิ่งอ่อนแอลงอีก”
พระสนมอานเฟยถอนหายใจ “แต่เดิมดีขึ้นแล้ว แต่เมื่อครู่…ตอนรดน้ำดอกไม้ลงไปนั่งนานเกินไปหน่อยจึงหน้ามืดก็เท่านั้น มีอะไรน่าตกอกตกใจกันเล่า ครั้งก่อนเจ้าดุด่าสาวน้อยคนนี้จนนางกลายเป็นวิหคตื่นธนูไปแล้ว”
ยิ่นอ๋องแค่นเสียงอย่างเย็นชา “นี่เป็นงานที่บ่าวสมควรทำ หากวันนี้นางไม่มารายงานข้า วันหน้าหากข้ารู้เรื่อง ข้าจะไล่นางออกจากวัง!”
นางกำนัลก้มหัวลงอย่างหวาดกลัว
พระสนมอานเฟยเอ็ด “ดูเจ้าสิโมโหโทโสเก่งนัก ได้ผู้ใดมากัน”
ยิ่นอ๋องอยากพูดแล้วก็หยุด สุดท้ายก็ตัดใจเถียงกับพระสนมอานเฟยไม่ลง เขาสั่งให้นางกำนัลรินชาร้อนมาถ้วยหนึ่ง แล้วป้อนให้พระสนมอานเฟยจิบด้วยตนเอง
ลมหายใจของพระสนมอานเฟยไหลคล่องกว่าเดิมเล็กน้อย นางจึงเร่งให้ยิ่นอ๋องกลับจวน
ยิ่นอ๋องไม่กลับ
[1] จุดเหรินจง จุดฝังเข็มที่อยู่ตรงแนวร่องเหนือริมฝีปาก ใต้จมูก