หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 398-1 ความพิโรธของจักรพรรดิ (2)
ตอนที่ 398-1 ความพิโรธของจักรพรรดิ (2)
นายน้อยหมิงโกรธแล้ว เรื่องนี้ทำให้หัวหน้าพรรคเฉียวกลัดกลุ้มอย่างยิ่ง แม้แต่เด็กน้อย หัวหน้าพรรคเฉียวยังไม่เคยปลอบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ใหญ่
แล้วนี่จะปลอบอย่างไรดีเล่า!
เฮ้อ หัวใจบุรุษช่างเหมือนเข็มในมหาสมุทร จะเข้าใจยากเกินไปแล้ว!
เฉียวเวยร้อนรนจนหัวแทบไหม้เดินเข้ามาในห้อง แต่ไม่เห็นจีหมิงซิว นางได้ยินเสียงดังมาจากในห้องอาบน้ำจึงรู้ว่าเขาไปอาบน้ำแล้ว
เฉียวเวยยรออยู่ในห้องอย่างเป็นเด็กดี สองมือเท้าคางมองห้องอาบน้ำตาไม่กะพริบ
ไม่รู้ว่ามองอยู่นานเท่าใด ในที่สุดใครบางคนที่มัวแต่โอ้เอ้ก็สวมชุดนอน พาเส้นผมยาวที่เปียกโชกเดินออกมาพร้อมกับสีหน้าเย็นชา
คนรูปงาม ต่อให้สวมกระสอบก็ยังงาม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเวลาที่เขาสวมผ้าไหมน้ำแข็งราคาชุ่นละหนึ่งตำลึงทองอยู่บนร่าง เนื้อผ้าเบาบาง แต่มีคุณสมบัติทิ้งตัวดี เมื่อต้องแสงไฟมีประกายมุกวูบไหวเลือนราง ขับเน้นผิวที่ราวกับหยกของเขาให้เด่นขึ้นอีกหลายส่วน
ผิวของเขาขาวผ่องแต่ไม่ดูเป็นผู้หญิง หุ่นเป็นรูปสามเหลี่ยมคว่ำอันสมบูรณ์แบบ กล้ามเนื้อหน้าท้องกับกล้ามเนื้อแผ่นหลังเหมาะเจาะพอดีไปทุกสัดส่วน
แต่เดิมเฉียวเวยอยากจะรอเขาออกมาแล้วปลอบขวัญให้ดีๆ คิดไม่ถึงว่าจะถูกความรูปงามล่อลวง นางจ้องเขาอย่างเผลอไหล มองจนน้ำลายแทบจะไหลยืดออกมา
เจ้าหนุ่ม เจ้าจงใจสินะ!
จีหมิงซิวเดินไปนั่งริมหน้าต่าง สายลมยามราตรีโชยพัด เป่าเส้นผมยาวสลวยเงางามของเขาพลิ้วไหว ไอร้อนที่ติดตัวมาจากบ่ออาบน้ำแผ่ออกมาท่ามกลางราตรี
เห็นชัดว่าเขาไม่คิดจะเข้านอน เขาหยิบหนังสือมาเล่มหนึ่งแล้วเปิดอ่านเงียบๆ
เฉียวเวยหยิบผ้าแห้งผืนหนึ่งเดินเข้ามาหา นางปิดหน้าต่างเป็นอย่างแรกแล้วบอกว่า “เพิ่งอาบน้ำเสร็จ รูขุมขนกำลังเปิด เวลานี้ตากลมเย็นจะไม่สบายได้ง่ายที่สุด”
จีหมิงซิวไม่ส่งเสียงตอบสักแอะ
เฉียวเวยเดินอ้อมไปด้านหลังเขาแล้วรวบเส้นผมสีดำขลับดั่งน้ำหมึกของเขาขึ้นมาเช็ดอย่างแผ่วเบา เช็ดไปพลางก็ลอบมองสีหน้าเขาไปด้วย เห็นดวงหน้าหล่อเหลาของเขายังบูดบึ้งก็เบ้ปากอย่างห้ามตัวเองไม่ได้แล้วพึมพำว่า “ยังโกรธอยู่อีกหรือ ข้าก็ไม่ได้ทำอันใดเสียหน่อย ก็แค่ประคองเขาครั้งเดียวเท่านั้น”
ดีมาก ถึงตายก็ไม่ยอมรับว่าตัวเองกอดกับ ‘อดีตคนรัก’
“ข้าไม่มีวันรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับเขา ข้ากับเขาไม่มีอะไรกันทั้งนั้น!”
คนที่มีอะไรกับเขาคือคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวต่างหาก
“ที่บ้านเกิดของพวกข้า ข้อห้ามที่ว่าบุรุษสตรีห้ามใกล้ชิดกันไม่เคร่งครัดถึงเพียงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างหมอกับผู้ป่วย กรณีนั้น…”
เฉียวเวยกำลังเล่าเพลิน พอหันหน้ามามองอีกหนก็เห็นว่าจีหมิงซิวกำลังมองตนเองด้วยสายตาเย็นชา เฉียวเวยกลอกตาหลบวูบหนึ่งแล้วหุบปากฉับ
เฉียวเวยร้องในใจว่า แย่แล้ว ในยุคที่เพียงจับมือกันนิดหน่อยก็จะลากกันไปถ่วงน้ำในกรงหมูแบบนี้ เป็นหมอหญิงยากแล้วสิ!
จีหมิงซิวปิดตำราแล้วลุกขึ้นเดินไปนอนบนเตียงอย่างเฉยเมย
เฉียวเวยร้องเรียก “เดี๋ยวสิ! ผมยังไม่ทันแห้งเลยนะ ท่านจะนอนแล้วหรือ”
จีหมิงซิวหลับตา
เฉียวเวยพรูลมหายใจเป่าผมหน้าม้าตรงหน้าผากจนปลิว นางยืนอยู่ที่เดิมสักพักก็ไปอาบน้ำบ้าง เสร็จแล้วก็เปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าสะอาด
จีหมิงซิวนิ่งไม่กระดุกกระดิกสักนิด หมือนนอนหลับไปแล้ว
เฉียวเวยเห็นริมฝีปากแดงยั่วยวนคน กระดูกไหปลาร้าเป็นแนวสวยกับกล้ามหน้าท้องที่โผล่วับๆ แวมๆ ผ่านชายเสื้อที่เลิกเปิดน้อยๆ ของเขาก็รู้สึกปากกับลำคอแห้งผาก ผ่านไปครู่ใหญ่นางจึงแอบเอื้อมมือออกไปเงียบๆ อย่างไม่ให้ใครรู้ไม่ให้ใครเห็น แล้วลูบไล้…
ก้น
งอนจริงเชียว~
จับเหมาะไม้เหมาะมือดียิ่ง
เฉียวเวยบีบแล้วขยำ ขยำเสร็จก็บีบ จากนั้นหลับตาลงอย่างเพลิดเพลิน
ทันใดนั้นจู่ๆ หน้าผากก็รู้สึกเย็นวาบ นางลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ แล้วสบเข้ากับดวงตาล้ำลึกแต่เย็นยะเยือกคู่หนึ่ง นางตกใจจนสะดุ้ง เกือบจะกลิ้งตกเตียง
จีหมิงซิวหยิบมือของนางวางทิ้งกลับไปบนเตียงอย่างเย็นชา แล้วเปลี่ยนมานอนหงาย
นอนหงายแล้วคิดว่าข้าจะลูบไล้ท่านไม่ได้หรือ
เฉียวเวยหรี่ตาลงอย่างชั่วร้าย รอจนกระทั่งเขาไม่ขยับแล้ว นางจึงแอบยกมือขึ้นลูบไล้กล้ามท้องของเขาบ้าง
ลูบๆ ไปก็เลื้อยลงไปด้านล่าง
ตอนที่กำลังจะเลื่อนลงไปบุกรุกอาณาเขตของอัครมหาเสนาบดีน้อยนั่นเอง ฝ่ามือใหญ่เย็นเฉียบข้างหนึ่งก็ยึดข้อมือของนางไว้
หัวหน้าพรรคเฉียวถูกขัดอารมณ์ก็พองขนทันควัน “พวกบุรุษอย่างท่านนี่มันจริงๆ เชียว ทะเลาะก็ส่วนทะเลาะสิ เหตุใดต้องไม่ยอมให้แตะตัวด้วยเล่า!”
ค่ำคืนนี้หัวหน้าพรรคเฉียวไม่ได้กินเนื้อ ได้แต่ดมกลิ่นเนื้อหอมๆ ทั้งคืน เรียกได้ว่าเศร้าสลดอย่างยิ่ง!
วันต่อมาฟ้าเพิ่งสาง บ้านชิงเหลียนกับเรือนเสี่ยวอวี่ก็ยุ่งวุ่นวายแล้ว วันนี้สำนักศึกษาหยุด เด็กน้อยทั้งสามคนจึงนอนหลับอุตุ เฉียวเวยไม่ปลุกพวกเขา นางปิดประตูเบาๆ แล้วกลับไปที่ห้องด้านหน้า
จีหมิงซิวไปประชุมขุนนางแต่เช้าแล้ว เฉียวเวยล้างหน้าเสร็จก็ออกจากบ้านเหมือนกัน
เมื่อวานางป้อนยาให้ยิ่นอ๋องแล้ว นับเวลาดูตอนนี้ก็น่าจะฟื้นพอดี หวังว่าตนเองจะหลอกถามข้อมูลดีๆ ออกมาจากปากยิ่นอ๋องได้ก่อนที่องครักษ์กลุ่มนั้นจะทำยิ่นอ๋องสลบไปอีกรอบ
แน่นอนว่าเพราะใส่ใจอารมณ์แง่งอนของใครบางคน นางจึงไม่คิดจะเข้าไปคนเดียวอีก นางตั้งใจเดินมาที่ตำหนักอัครมหาเสนาบดี แล้วบอกกับองครักษ์ที่เฝ้าอยู่ว่า “เจ้าไปรายงานอัครมหาเสนาบดี บอกว่าฮูหยินของเขามา ต้องการพบเขา”
องครักษ์คำนับอย่างนอบน้อม “ที่แท้ก็ฮูหยินนี่เอง ข้าน้อยคารวะฮูหยิน แต่ว่า…ฮูหยินมาจังหวะไม่ดี ใต้เท้าไม่อยู่”
เฉียวเวยถามอย่างฉงน “เขาไปที่ใด”
องครักษ์ครุ่นคิด “ดูเหมือนว่า…จะไปวังหลังขอรับ”
เฉียวเวยลูบคาง “เขาไปวังหลังทำอันใด”
องครักษ์ตอบตามความจริง “ได้ยินว่าไปหาพระสนมอานเฟย”
มารดาของยิ่นอ๋องหรือ
หมิงซิวไปหานางทำอะไร
ให้นางออกหน้าเกลี้ยกล่อมยิ่นอ๋อง หรือว่า…
สมองของเฉียวเวยฉุกคิดบางสิ่งได้อย่างรวดเร็ว
“ฮูหยิน ฮูหยินท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ขอรับ” องครักษ์เห็นนางจู่ๆ ก็นิ่งงันจึงอดไม่ได้ถามไถ่ออกมาคำหนึ่ง
เฉียวเวยได้สติกลับมาก็ตอบเรียบๆ “ข้าไม่มีธุระแล้ว ข้าจะไปวังหลัง”
“ฮูหยินเดินทางปลอดภัย” องครักษ์คำนับ
เฉียวเวยสาวเท้าไปทางวังหลัง
ความสัมพันธ์ระหว่างจีหมิงซิวกับยิ่นอ๋องเป็นเหมือนน้ำกับไฟ เขาไม่มีทางไปหามารดาบังเกิดเกล้าของอีกฝ่ายอย่างไร้สาเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาเช่นนี้ นอกเสียจากว่า…มารดาของยิ่นอ๋องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง!
หากเกี่ยวพันไปถึงพระสนมอานเฟย ก็ไม่ยากที่จะอธิบายแล้วว่าเหตุใดยิ่นอ๋องจึงยอมตายไม่ยอมปริปาก
เพียงแต่ว่าต้นเหตุที่เขาไม่ยอมปริปากเป็นเพราะพระสนมอานเฟยน่าสงสัย หรือว่าพระสนมอานเฟยมีความลับประการอื่น เรื่องนี้ไม่อาจรู้ได้
ในตอนที่เฉียวเวยรีบร้อนมุ่งหน้าไปวังหลังเพื่อหาคำตอบนั่นเอง วังหลังก็มีข่าวน่าตกตะลึงแพร่ออกมา…พระสนมอานเฟยหายตัวไปแล้ว
ตอนที่เฉียวเวยมาถึงตำหนักบรรทมของพระสนมอานเฟย ทหารราชองครักษ์ก็ล้อมรอบด้านไว้อย่างแน่นหนาแล้ว เฉียวเวยหยิบป้ายจวนอัครมหาเสนาบดีออกมา องครักษ์ถึงยอมปล่อยให้นางเข้าไป
เฉียวเวยเดินเข้าใปในห้องบรรทมของพระสนมอานเฟย จีหมิงซิวบังเอิญเดินออกมาจากด้านในห้องพอดี ทั้งสองคนจึงพบกันอย่างจัง
“เป็นอย่างไรบ้าง” เฉียวเวยถาม
จีหมิงซิวตอบว่า “นางกำนัลเห็นนางครั้งสุดท้ายตอนเที่ยงคืน นางบอกว่านอนไม่หลับต้องการออกไปเดินเล่น หลังจากนั้นก็ไม่กลับมาอีก”
“เหตุใดจึงบังเอิญเช่นนี้…” เฉียวเวยพึมพำกับตนเอง
จีหมิงซิวเอ่ยเรียบๆ “เจ้ากลับจวนไปก่อน ไม่มีอะไรก็อย่าออกมา”
เฉียวเวยตบหน้าอกเล็กๆ ของตนแล้วว่า “ให้ข้าออกไปตามหาด้วยเถอะ!”
จีหมิงซิวเหล่มองเฉียวเวย “เจ้าไม่คุ้นเคยกับวังหลวง”
ใช่สิ เข้าวังมาหลายครั้งถึงเพียงนี้ ยังเดินสำรวจในวังหลวงได้ไม่ครบทุกซอกมุมเลย!
“แต่ หากนางออกจากวังไปแล้วเล่า” เฉียวเวยถาม
จีหมิงซิวตอบว่า “คนมากพอ ไม่ต้องให้เจ้าช่วยหาหรอก”
“ก็ได้” เฉียวเวยเลิกคิ้ว นับว่ายอมทำตามคำแนะนำของจีหมิงซิวแล้ว แต่แล้วผ่านไปครู่หนึ่งนางก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงคว้าแขนเสื้อของจีหมิงซิวแล้วยิ้มอย่างดีอกดีใจ “ไม่โกรธข้าแล้วหรือ”
“เหอะ” จีหมิงซิวดึงชายแขนเสื้อออกอย่างเย็นชา
เฉียวเวยเบ้ปาก มีอะไรน่าโมโหนักหรือไร ตอนท่านให้ศิษย์น้องเล็กคล้องแขนข้ายังไม่ว่าอะไรสักคำ
…