หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 404 วงกตจันทร์โลหิต
ตอนที่ 404 วงกตจันทร์โลหิต
เจ้าหอเมามายคงคาดไม่ถึงว่ากระทั่งยามฝันจะมีวันหนึ่งที่ตนตกลงมาอยู่ในบ่อเกลาะเช่นนี้ อย่างนี้ใช่เรียกว่าทำนายฟ้าทำนายดินแต่ทำนายตัวเองไม่แม่นหรือไม่?
เจ้าสำนักหอผู้รักสะอาดแทบจะถูกเฉียวเวยทำให้โมโหจนจะเป็นลม!
หากคู่อริเป็นคนถีบเขาก็ยังไม่เท่าไร แต่นี่เขาเพิ่งช่วยนางไว้แท้ๆ มีการตอบแทนบุญคุณกันแบบนี้ด้วยหรือ?!
เจ้าสำนักเฉียวที่กระทำเรื่องชั่วร้ายเสร็จแล้วอารมณ์ดีขึ้นมาก นางเอาสองมือไพล่หลัง ฮัมเพลงพลางเดินตัวลอยกลับห้องของตนไป
จีหมิงซิวยังหลับอยู่ เฉียวเวยไม่ได้รบกวนเขา นั่งอยู่พักหนึ่งก็ออกไปหาเยี่ยนเฟยเจวี๋ย
เพราะกลัวว่าซาลาเปาน้อยทั้งสามจะเป็นกังวล อาจารย์ตาฮั่วกับเจ้าสัตว์ทั้งสี่จึงกลับเรือนกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง และบอกเด็กๆ เพียงว่าท่านพ่อท่านแม่พวกเขาไปเยี่ยมญาติ อีกไม่กี่วันจะกลับ
เมื่อครู่เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถูกจีอู๋ซวงขัดจังหวะ เลยลืมถามว่าเฉียวเวยไปถูกใครยิงบาดเจ็บมากันแน่
“ข้าก็ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด อีกฝ่ายสวมเสื้อคลุม ใส่ผ้าปิดหน้าเอาไว้หมด ทว่า…ดูจากรูปร่างแล้วคล้ายว่าจะเป็นสตรี” เฉียวเวยบอกพลางนึกย้อนกลับไป วันนั้นนางทันแค่กวาดตามองเร็วๆ จึงมองไม่ได้ถนัดนัก หากจะบอกว่าดูจากรูปร่างแล้วสู้บอกว่าเป็นสัญชาตญาณจะดีกว่า
สัญชาตญาณบอกนางว่า อีกฝ่ายเป็นสตรี
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ “จะใช่หรงเฟยหรือไม่”
หรงเฟยเพิ่งหายตัวไปไม่เท่าไร นางก็ถูกคนยิงทำร้ายเสียแล้ว นับว่าบังเอิญอยู่บ้างจริงๆ แต่หรงเฟยจะง้างธนูออกได้อย่างไร?
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพูดต่อว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อคืนพวกคนที่ลอบทำร้ายพวกเรามีพวกนักรบมรณะจากตำหนักราชครูอยู่ด้วย คงไม่ใช่ว่ายังไม่ล้มเลิกความคิดชั่วร้าย คิดอยากสังหารนายน้อยเพื่อไม่ให้ตำหนักราชครูต้องทำตามที่สัญญาไว้กระมัง?”
เฉียวเวยตาแข็งขึ้นอย่างใช้ความคิด “เรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่ แค่เรียกตัวมาถามก็รู้แล้ว”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอาป้ายคำสั่งจีหมิงซิวแล้วเข้าวังไปทันที เขาเชิญศิษย์เอกของตำหนักราชครูไปที่หอเมามาย
ศิษย์เอกถูกจับมัดมือไพล่หลัง เอาดาบจ่อคอพาตัวออกมา เขาทำหน้างุนงงขณะมองหน้าเฉียวเวยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ รวมถึงชายวัยกลางคนข้างกายเฉียวเวยที่ท่าทางเยือกเย็นและดูแปลกหน้าด้วย ส่วนระหว่างทางที่มาเขาได้รู้แล้วว่าเยี่ยนเฟยเจวี๋ยคือลูกน้องของอัครเสนาบดี
“จั๋วหม่าน้อย นี่ท่านจะทำอะไรน่ะ เหตุใดต้องจับตัวข้ามาด้วย” เขาถามด้วยความไม่เข้าใจ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเตะขาเขาให้เขาคุกเข่าลงกับพื้น “อย่าพูดพล่ามให้มาก! สารภาพมาซะดีๆ เรื่องเมื่อวานใช่ฝีมือพวกเจ้าหรือไม่!”
ศิษย์เอกถูกเตะจนเจ็บร้องโอ้ยออกมา อาจารย์ไสยเวทอย่างพวกเขาร่างกายอ่อนแอยิ่งนัก นอกจากอาจารย์ที่ฝึกวิชาถึงขั้นแล้ว ผู้ใดเลยจะทานทนการเตะอย่างโหดร้ายจากยอดฝีมือแห่งยุทธภพได้อีก
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเห็นท่าทางจะเป็นจะตายนั่นแล้วทำให้เดือดดาลขึ้นมาโดยพลัน เขาเงื้อฝ่ามือพลางเอ่ยข่มขู่ว่า “ยังจะทำท่าน่าสงสารอีกหรือ? เดี๋ยวปั๊ดซ้อมให้เสียเลย!”
ศิษย์เอกสะบัดค้อนใส่เยี่ยนเฟยเจวี๋ยทีหนึ่ง “ข้าจำได้ว่าชาวจงหยวนของพวกเจ้ามีประโยคที่กล่าวไว้ว่า ‘ศิษย์ฆ่าได้หยามไม่ได้’ ข้าไปทำอะไรให้พวกเจ้าไม่พอใจ พวกเจ้าอยากจะฆ่าก็ฆ่าเลย อย่าได้หยิ่งผยองมาหลู่เกียรติตำหนักราชครูเช่นนี้!”
“เจ้ายังมีเกียรติอีกหรือ” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยแสร้งทำเป็นเงื้อมือขึ้น
ศิษย์เอกถลึงตาใส่เขาอย่างไม่ยอมหลบ
เฉียวเวยเอ่ยเสียงเรียบว่า “ลุงเยี่ยน เจ้านั่งลงก่อน ข้าจะถามเขาเอง”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยทำเสียงหึก่อนเดินไปนั่งข้างจีอู๋ซวง
ศิษย์เอกถึงได้เลื่อนสายตาไปมองหน้าเฉียวเวย “เหตุใดพวกเจ้าถึงจับข้ามากันแน่ ข้าบอกไว้แล้วว่าข้าจะช่วยพวกเจ้าตามหาตำราลับกลับมา!”
เฉียวเวยบอกว่า “เรื่องตำราลับเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ที่ข้าอยากถามเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
ศิษย์เอกถามว่า “เรื่องอะไร เชิญว่ามา”
เฉียวเวยสีหน้าจริงจัง “ข้าอยากถามว่าในใต้หล้านี้มีธนูจันทร์โลหิตอยู่กี่คันกันแน่”
ศิษย์เอกแปลกใจยิ่งนักว่าเหตุใดจั๋วหม่าน้อยถึงได้ถามคำถามประหลาดเช่นนี้ แต่ก็ยังตอบไปตามความจริงว่า “หากนับรวมคันที่อยู่กับตระกูลจีของพวกเจ้าด้วยก็ทั้งหมดสองคัน”
“ของตระกูลจีคันไหนกัน” เฉียวเวยถาม
ศิษย์เอกยิ่งงุนงงหนักขึ้นไปอีก ตระกูลจีไม่ได้มีอยู่คันหนึ่งหรอกหรือ ยังจะถามอีกว่าคันไหน
“ก็คันที่พวกเจ้าใช้ยามตัดสินแพ้ชนะอย่างไรเล่า!”
คันนั้นเป็นของราชครู เป็นของปลอมที่เร่งทำขึ้นมาให้ใช้ทันเวลา หากกล่าวเช่นนี้ก็หมายความว่าธนูจันทร์โลหิตมีเพียงคันเดียว
หากมีธนูจันทร์โลหิตเพียงคันเดียว จะไม่เท่ากับว่าผู้ร้ายขโมยธนูจันทร์โลหิตไป พอใช้ยิงพวกเขาเสร็จก็นำกลับมาวางที่เดิมหรอกหรือ
นกเหยี่ยวมาขโมยตำราลับจากนางไปได้เป็นเพราะความเลินเล่อของนาง แต่ธนูจันทร์โลหิตถูกเก็บเอาไว้อย่างดีในหีบสมบัติของวั่งซู หัวขโมยทั่วไปไม่มีทางคาดคิดว่าพวกเขาจะเอาของสำคัญเช่นนี้ไปใส่อยู่ในหีบของเล่นของเด็กคนหนึ่ง
นอกเสียจากว่าอีกฝ่ายรู้อยู่แล้ว
ไม่เพียงแค่รู้เท่านั้น แต่ยังต้องเอาธนูกลับไปเก็บไว้ที่เดิมรอดสายตาพวกนางโดยไม่มีผีสางตนใดรู้อีกด้วย
ความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มีน้อยเกินไป
บ้านชิงเหลียนก็หาใช่สวนผักไร่นา ผู้ใดกันที่สามารถเข้าออกได้อย่างอิสระเช่นนี้
หากอีกฝ่ายเป็นคนแปลกหน้า คงไม่มีทางรอดพ้นสายตาของอาจารย์ตาฮั่วไปได้
หากอีกฝ่ายเป็นคนคุ้นเคย ก็คงไม่อาจรอดพ้นสายตาบ่าวไพร่ในเรือนไปได้เช่นกัน
“เจ้าลองใคร่ครวญให้ดีอีกที อาจารย์ของเจ้าเคยเอ่ยถึงเรื่องธนูจันทร์โลหิตอะไรกับเจ้าบ้าง”
ศิษย์เอกตั้งใจใช้ความคิดอยู่พักหนึ่ง “พวกเจ้าเอ่ยถึงเรื่องนี้ข้าก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ มีครั้งหนึ่งข้าเอายาไปให้อาจารย์ อาจารย์ดื่มสุราเข้าไปเล็กน้อยเลยหยิบธนูจันทร์โลหิตขึ้นมาพึมพำว่า ‘ไม่รู้คันไหนจะทรงอานุภาพกว่ากัน’ ข้าถามอาจารย์ว่าอะไรที่ทรงอานุภาพกว่ากันหรือ อาจารย์บอกว่า ธนูอย่างไรเล่า ข้าบอกว่าในใต้หล้ามีธนูคันใดที่ทรงอานุภาพยิ่งกว่าธนูจันทร์โลหิตอีกหรือ แต่อาจารย์ไม่ได้ตอบ ข้าเลยคิดมาตลอดว่าอาจารย์พูดไปด้วยความเมามาย เวลานี้ดูท่าเขาคงรู้แต่แรกแล้วว่าในบ้านตระกูลจีของพวกเจ้าก็มีธนูจันทร์โลหิตอยู่อีกคันหนึ่ง!”
เฉียวเวยกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยหันไปแลกเปลี่ยนสายตากัน หากอาจารย์ไสยเวทผู้นี้ไม่โกหก เช่นนั้นในใต้หล้านี้ก็มีธนูจันทร์โลหิตอยู่สองคันจริงๆ สินะ
จันทร์โลหิต จันทร์โลหิต จันทร์โลหิตสองคันถึงจะเป็นดวงจันทร์ที่เต็มดวง
พวกมันมีเป็นคู่มาตั้งแต่แรก!
ดูท่าเมื่อครานั้นที่อาจารย์ปู่ส่งต่อตำแหน่งให้ราชครูคงจะทิ้งหูตาของตนเอาไว้ด้วย
“ใช่สิ เหตุใดเจ้าถึงเอาแต่ถามข้าเรื่องนี้หรือ” ศิษย์เอกถามด้วยความสงสัย
เฉียวเวยพยายามตั้งสติ เอ่ยด้วยสีหน้าคงเดิมว่า “ไม่มีอะไร แค่ถามไปอย่างนั้น เรื่องนี้ข้าพอรู้แล้ว แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากถามเจ้า เมื่อคืนข้าเจอคนไล่สังหารที่นอกเมืองทางตอนเหนือ ใช่ฝีมือตำหนักราชครูของพวกเจ้าหรือไม่”
ศิษย์เอกมองเฉียวเวยด้วยสายตาประหลาด “ข้าจะส่งคนไปไล่สังหารเจ้าได้อย่างไร หรือข้าเป็นคนไร้สัจจะที่ต่อหน้าขอสงบศึกกับเจ้า แต่พอลับหลังก็เงื้อมีดจะไล่แทงเจ้าอย่างนั้นหรือ”
เฉียวเวยมองเขาด้วยความแปลกใจ “เรื่องนี้คงต้องถามตัวเจ้าเอง”
“เจ้า…” ศิษย์เอกเดือดดาลจนหน้าซีดขาว “ชาวจงหยวนอย่างพวกเจ้ายังมีอีกประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า ‘แม้นอยากเล่นงานผู้ใด ย่อมหาเหตุได้เสมอ’ ด้วยมิใช่หรือ? เจ้าอยากหาเรื่องเล่นงานตำหนักราชครูก็ว่ามาตามตรงเถิด อย่ามาสาดโคลนให้พวกข้าเลย!”
เฉียวเวยมองอีกฝ่ายอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “ไม่ใช่ฝีมือตำหนักราชครูของพวกเจ้าจริงๆ หรือ”
ศิษย์เอกทำเสียงหึๆ “อาจารย์ข้าเวลานี้ยังไม่ได้สติเลย หากไม่มีคำสั่งจากเขา ผู้ใดจะกล้าสั่งให้นักรบมรณะลงมือ”
เฉียวเวยเอามือลูบคาง “แต่ว่าหากไม่ใช่ฝีมือตำหนักราชครูของพวกเจ้า แล้วจะเป็นผู้ใด”
ศิษย์เอกขมวดคิ้ว “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร นักรบมรณะไม่ใช่ตำหนักราชครูเท่านั้นที่มีเสียหน่อย!”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ผู้อื่นก็มี?”
ศิษย์เอกบอกว่า “พบเห็นไม่บ่อย เยี่ยหลัวเป็นสถานที่ต้องห้ามที่ใช้ฝึกนักรบมรณะ มีเพียงตำหนักราชครูเท่านั้นที่
ฝึกได้ แต่ก็มีพวกไม่กลัวตายแอบฝึกเช่นกัน หากจับได้จะมีโทษประหาร แต่หากจับไม่ได้ก็มีที่ฝึกไปขายเป็นนักฆ่า เป็นองครักษ์ก็มี ค่าตัวนักรบมรณะนั้นสูงลิบ ขอเพียงฝึกสำเร็จแค่คนหนึ่ง ก็มีเงินกินข้าวไปตลอดชีวิตแล้ว!”
เฉียวเวยถามด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “เช่นนั้น…นักรบมรณะของผู้ใดเก่งกาจกว่ากัน ของข้างนอกหรือของตำหนักราชครู”
ศิษย์เอกเชิดคางขึ้น “ย่อมต้องเป็นตำหนักราชครูอยู่แล้ว!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับจีอู๋ซวงเลิกคิ้ว
พอถามถึงตรงนี้ คำตอบที่เฉียวเวยต้องการก็แทบจะเป็นที่ประจักษ์แล้ว คนร้ายใช่คนของหรงเฟยหรือไม่จะยังไม่เอ่ยถึงก่อน แต่ตำหนักราชครูไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
เฉียวเวยให้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยนำตัวศิษย์เอกกลับไปส่ง
ตกกลางคืน จีหมิงซิวค่อยๆ ฟื้นคืนสติ พอลืมตาขึ้นเห็นว่าที่นอนข้างกายไม่มีเฉียวเวยก็ลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ ด้วยอารามรีบร้อนเลยไปถูกแผล หน้าเขาจึงซีดลงไปเล็กน้อย
เฉียวเวยพอเห็นคนบนเตียงตื่นก็รีบลุกจากเก้าอี้ เดินเข้าไปประคองเขาพร้อมถามว่า “เหตุใดท่านถึงลุกขึ้นมาเล่า มองหาอะไรหรือ”
จีหมิงซิวดึงมือนางไปจับกระชับไว้ในฝ่ามือ คล้ายกลัวว่าหากเขาเผลอไผล จะทำนางหลุดมือไปอีกกระนั้น สำหรับเฉียวเวยแล้ว นางเพียงแค่หลับไปหนึ่งตื่น แต่สำหรับเขา กลับเป็นเส้นบางๆ ระหว่างความเป็นกับความตาย
ความรู้สึกหวาดกลัวยามกอดนางไว้แต่เรียกนางเท่าไรนางก็ไม่ตื่นนั้น จนถึงวันนี้ยามนึกถึงยังให้รู้สึกขวัญผวา
จีหมิงซิวไม่อยากให้เฉียวเวยรับรู้ถึงอารมณ์ของตน เลยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยว่า “เจ้าตื่นแล้วหรือ ข้าหลับไปนานเท่าไร”
เฉียวเวยเอาเสื้อมาคลุมให้เขา “หนึ่งวัน ท่านหิวหรือไม่ ข้าจะให้คนไปยกกับข้าวมา”
ตั้งแต่เฉียวเวยบาดเจ็บ เขาไม่ได้กินอะไรเลยแม้แต่น้ำสักหยด พอเฉียวเวยพูดขึ้นมาเลยรู้สึกหิวมากจริงๆ
เฉียวเวยไปที่ห้องครัวของหอเมามาย แล้วเอาอาหารรสจืดสามสี่อย่างกลับมา