หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 410 มารดาและบุตรได้พบหน้า (4)
ตอนที่ 410 มารดาและบุตรได้พบหน้า (4)
องครักษ์แบกตัวยิ่นอ๋องเข้าไปในวังเย็นเสร็จ ไม่เท่าไรก็ออกไป
เฉียวเวยหันมองไปรอบด้าน เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีใครผ่านไปมาถึงได้เร้นกายเข้าไปในวังเย็น
ในวังเย็นมีผีสางที่โดดเดี่ยวหรือไม่เฉียวเวยไม่รู้ แต่ที่รู้สึกได้ชัดเจนคือไอเย็นและความเปียกชื้น การให้คนที่เจ็บหนักมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้ ฮ่องเต้กำลังคิดสิ่งใดอยู่
บนพื้นมีฝุ่นจับหนา รอยเท้าขององครักษ์มองเห็นได้ชัดเจน เฉียวเวยเหยียบลงบนรอยเท้านั้น เดินเข้าไปยังจุดที่องครักษ์วางตัวยิ่นอ๋องไว้อย่างระมัดระวัง
นี่เป็นห้องที่ผุพังจนแทบไม่เหลือชิ้นดี ตามกำแพงมีหยากไย่อยู่เต็มไปหมด หนูสามสี่ตัวที่ออกมาหาอาหารได้ยินเสียงผลักประตู ก็ส่งเสียงจี๊ดๆ แล้ววิ่งหนีไป
ยิ่นอ๋องนอนอยู่บนเตียงที่เต็มไปด้วยเชื้อรา หน้าตาซีดขาว
พอคิดว่าอีตานี่มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นบุตรชายของท่านน้า เป็นญาติผู้น้อยของหมิงซิว เฉียวเวยก็ตัดสินใจที่จะมีน้ำใจไมตรีกับอีกฝ่าย
เฉียวเวยเดินไปที่เตียง ยื่นมือไปตรวจลมหายใจแล้วตรวจชีพจรให้ เขาบาดเจ็บภายในสาหัสมาก อาการไม่ต่างจากเมื่อวานมากนัก ดูท่าองครักษ์คนเมื่อครู่ไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือคำสั่ง
เฉียวเวยเปิดกล่องยา หยิบขวดกระเบื้องเล็กๆ ออกมา เทยาเม็ดสีแดงโลหิตออกมาเม็ดหนึ่ง นางเอ่ยด้วยความเสียดายว่า “นี่เป็นเลือดเสี่ยวไป๋ของข้าเชียวนะ คนทั่วไปไม่ได้กินหรอก เห็นแก่เจ้ามีความเป็นไปได้ที่จะเป็นน้องชายลูกพี่ลูกน้องของสามีตน จะยอมให้ก็แล้วกัน!”
พูดจบนางก็เอายาเม็ดนั้นใส่ปากคนบนเตียง
พอป้อนเสร็จด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าลอดเข้ามา เฉียวเวยสายตาพลันขยับ ดึงเปิดประตูตู้แล้วเข้าไปซ่อนอยู่ด้านใน
จากช่องตรงประตูตู้ นางเห็นขันทีวัยกลางคนคนหนึ่งที่อายุประมาณฝูกงกง ขันทีคนนั้นดูไม่คุ้นหน้าอยู่บ้าง แต่เพราะนางไม่ได้เข้ามาในวังบ่อยนัก ดังนั้นเห็นหน้าผู้ใดแล้วจะไม่รู้สึกคุ้นหน้าก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น
ในมือขันทีวัยกลางคนถือกล่องอาหารอยู่กล่องหนึ่ง
เขาเดินไปที่หน้าเตียง มองยิ่นอ๋องที่สลบไสลไม่ได้สติแล้วถอนหายใจเบาๆ ออกมาหลายที ยิ่นอ๋องยังคงแน่นิ่ง เขาใช้เท้าเกี่ยวเอาเก้าอี้ที่มีฝุ่นจับหนาเข้ามาให้อยู่ใกล้ระยะเอื้อมถึงของยิ่นอ๋อง จากนั้นก็เอากล่องอาหารวางลงบนนั้น
พอทำทุกอย่างเสร็จเขาก็เดินออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เฉียวเวยมองดูด้วยความงงงวย ราชโองการฉบับนั้นฮ่องเต้เป็นคนสั่งการลงมาไม่ผิดกระมัง องครักษ์ได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้พาตัวยิ่นอ๋องมาที่นี่ ฮ่องเต้ส่งอาหารมาให้ยิ่นอ๋อง แต่ส่งขันทีที่ไม่เคยโผล่หน้าออกมาให้เห็นมาก่อนอย่างนั้นหรือ
เฉียวเวยไม่รู้จักขันทีคนอื่น แต่จากที่ได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้หลายครั้ง ขันทีหลายคนที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้นางเคยเห็นหน้าอยู่บ้าง
นางรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!
เฉียวเวยเดินออกมาจากตู้เสื้อผ้า ปัดฝุ่นตามตัวแล้วเดินไปตรงหน้าเตียง นางเปิดกล่องอาหาร เอาเข็มเงินหลายเล่มออกมาจากกล่องยา แล้วเอาเสียบลงในอาหารจานละเล่ม
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งเค่อ เข็มเงินก็เปลี่ยนเป็นสีดำ
ฮ่องเต้ไม่มีทางส่งอาหารมีพิษมาให้ยิ่นอ๋อง นี่ไม่ใช่ราชโองการของฮ่องเต้!
แต่หากไม่ใช่ฮ่องเต้แล้วจะเป็นผู้ใด
การปลอมแปลงราชโองการ นอกจากต้องใช้ราชโองการแล้วยังต้องใช้ตราประทับหยกด้วย คนที่มีโอกาสเข้าถึงของสองสิ่งนี้…
จะไม่ใช่หรงเฟยหรือ!
แต่หากเป็นนาง เหตุใดนางถึงต้องทำเช่นนี้ ฆ่าปิดปากหรือ
หากยิ่นอ๋องตายก็จะไม่มีพยานพิสูจน์แล้วว่านางเป็นคนให้ชุดแต่งงานกับตำราลับแก่ยิ่นอ๋อง
นี่เป็นแผนการของนางอย่างนั้นหรือ
ว่ากันว่าแม่เสือไม่กินลูกเสือ ต่อให้ยิ่นอ๋องไม่ใช่บุตรชายในอุทรของนาง แต่นางเลี้ยงดูมานานปีเพียงนั้นก็ควรจะมีความผูกพันอยู่บ้าง หรือว่านาง…เลือดเย็นเพียงนั้นจริงๆ!
…
หลังจากออกมาจากวังเย็นแล้ว เฉียวเวยไปที่ตำหนักกานลั่ว แน่นอนว่านางลอบไปอย่างลับๆ แล้วไปหลบอยู่หลังภูเขาจำลองด้านนอกตำหนัก พอฝูกงกงเดินออกมาจากด้านใน นางก็คว้าตัวอีกฝ่ายแล้วดันเข้าไปในซอกเขา!
ฝูกงกงรีบเอามือกุมหน้าอก “จีฮูหยินท่านทำอะไรน่ะ”
เฉียวเวยกรอกตาอย่างหมดคำจะพูด “เจ้าหาใช่สตรีไม่ จะกุมหน้าอกไปไย”
“แค่กๆ” ฝูกงกงกระแอมเบาๆ แล้วลดมือลง “ข้าน้อยตกใจ จึงเสียกิริยา ฮูหยินเห็นเรื่องน่าขันแล้ว” พอคิดอะไรได้เขาก็ถามด้วยความสงสัยว่า “ฮูหยินมิได้ออกจากวังไปแล้วหรือ เหตุใดถึงกลับมาอีกได้”
เฉียวเวยใคร่ครวญอยู่พักหนึ่งแล้วก็ตัดสินใจที่จะเล่าเรื่องยิ่นอ๋องให้เขาฟังก่อน “ฝูกงกง ฝ่าบาทอยู่รึไม่ ข้ามีธุระด่วนอยากเข้าเฝ้า”
“ฝ่าบาทหรือ” ฝูกงกงลังเลด้วยความลำบากใจอยู่พักหนึ่ง “ฝ่าบาททรงประทับอยู่เป็นเพื่อนพระสนมหรงเฟย ห้ามให้พวกเราเข้าไปรบกวน ท่านมีธุระอันใดไว้วันหน้าค่อยมาใหม่เถิด”
เฉียวเวยทำหน้าเคร่งเครียด “หากเป็นเรื่องที่เร่งด่วนมากจริงๆ เล่า เจ้าช่วยข้าบอกกล่าวหน่อยจะได้หรือไม่”
“เรื่องนี้…” ฝูกงกงถอนหายใจ “ข้าน้อยขอบอกตามตรง วันนี้ตั้งแต่เช้าข้าน้อยยังไม่ได้พบหน้าฝ่าบาทเลย ฝ่าบาทมีพระสนมหรงเฟยคอยปรนนิบัติ จึงไม่ต้องใช้งานพวกเราชั่วคราว”
ฟังดูเหมือนจะไม่สมเหตุสมผลอยู่สักหน่อย แต่เฉียวเวยฟังเข้าใจแล้ว ก็คือว่าทุกวันนี้ฝูกงกงเข้าไม่ถึงพระพักตร์ฮ่องเต้แล้ว ดังนั้นไม่อาจช่วยนางส่งข่าวได้
หรงเฟยช่างร้ายกาจยิ่งนัก แม่เลี้ยงสาวยังทำจีซั่งชิงลุ่มหลงไม่ได้เท่านี้เลย แต่นางกลับสามารถทำให้ฮ่องเต้มัวเมาจนเกือบจะแยกเหนือใต้ออกตกไม่ถูกไปแล้ว
เฉียวเวยงุนงงยิ่งนัก หากยิ่นอ๋องถูกคนวางยาพิษจนตายอยู่ในวังเย็นจริงๆ หรงเฟยจะอธิบายเรื่องราชโองการนั้นอย่างไร ตัวนางจะไม่น่าสงสัยที่สุดเอาหรือ หรือว่านางทำให้ฮ่องเต้ลุ่มหลงถึงขั้นลงมือสังหารบุตรชายในอุทรของตนได้แล้วจริงๆ
เวลานี้คงหวังพึ่งอะไรฮ่องเต้ไม่ได้แล้ว นางต้องคิดหาทางเองเท่านั้น แต่กระนั้นหมิงซิวก็ดันมาไม่อยู่ ออกไปที่ค่ายใหญ่ตะวันออกแล้วเสียอีก…
“จีฮูหยิน” ฝูกงกงเอ่ยเรียกเฉียวเวย
เฉียวเวยดึงสติกลับมา เอ่ยด้วยสีหน้าปกติว่า “ฝูกงกง วันนี้เรื่องที่ข้ามาหาเจ้า เจ้าอย่าไปบอกผู้อื่นจะได้หรือไม่”
ฝูกงกงอึ้งไป นึกอยากถามหาสาเหตุแต่สุดท้ายกลับไม่พูดอะไร คนเกิดเป็นบ่าวจะต้องมีหูมากขึ้นอีกคู่ มีปากน้อยลงหนึ่งอัน ถึงจะสามารถอยู่รอดปลอดภัยในวังหลังที่มากด้วยเรื่องประหลาดเช่นนี้ “ขอฮูหยินโปรดวางใจ บ่าวจะปิดปากให้สนิท”
เมื่อบอกลาฝูกงกงแล้ว เฉียวเวยก็ไปที่ตำหนักเย็น
เรื่องมาถึงตอนนี้ นางมั่นใจแล้วว่าหรงเฟยเป็นตัวการที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราววุ่นวายเหล่านี้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าอีกเดี๋ยวหากหรงเฟยพบว่าตนวางยาสังหารยิ่นอ๋องไม่สำเร็จ นางจะคิดทำแผนการอื่นอีกหรือไม่
แต่สรุปก็คือ สถานที่เช่นนี้ยิ่นอ๋องอยู่ไม่ได้แล้ว
เฉียวเวยผลักเปิดประตูห้องแล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่ายิ่นอ๋องไม่ได้นอนอยู่บนเตียงแล้ว แต่ลุกขึ้นมานั่งอยู่แทน เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ เก้าอี้หันหน้ามาทางประตู
ประตูถูกผลักเปิด แสงแยงตาลอดเข้ามา
เขาเลยต้องหลับตาลง
เฉียวเวยตาพลันเป็นประกาย “เจ้าฟื้นแล้วหรือ”
ยิ่นอ๋องเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า แสงอาทิตย์อันร้อนแรงจากนอกห้องทำให้เขาลืมตาไม่ขึ้น เขาแค่เพียงเหลือบมองไวๆ แล้วก็ต้องรีบหันหนีไปอีกครั้ง
เฉียวเวยเดินเข้าไปในห้อง มองอีกฝ่ายด้วยสายตาประหลาด “เหตุใดเจ้าถึงมานั่งอยู่บนเก้าอี้ได้ อาหารเมื่อครู่เล่า เจ้ายังไม่ได้กินกระมัง ช่างเถิด กินไปแล้วก็ไม่เป็นไร เลือดของเสี่ยวไป๋ช่วยแก้พิษได้”
ริมฝีปากที่แห้งแตกของยิ่นอ๋องเผยอขึ้นลงหลายครั้ง
ท่าทางเช่นนี้ เฉียวเวยเห็นแล้วก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายคอแห้ง เฉียวเวยเลยรีบเปิดกล่องยา หยิบเอาถุงเก็บน้ำมาป้อนให้เขาดื่มอึกหนึ่ง ในขณะที่กำลังจะป้อนอึกที่สองนั้น ยิ่นอ๋องก็ใช้แรงทั้งหมดที่มีจับข้อมือเฉียวเวยไว้
เฉียวเวยกะพริบตาปริบๆ มองเขา “มีอะไรหรือ”
ยิ่นอ๋องพยายามให้ตนเองเปล่งเสียงออกมา แต่ก็จนใจที่เฉียวเวยฟังไม่ถนัดเลยสักคำ
เฉียวเวยเก็บถุงน้ำกลับไปแล้วบอกกับเขาว่า “เจ้าบาดเจ็บสาหัสมาก อย่าเพิ่งพูดอะไรจะดีกว่า ข้าจะพาเจ้าออกจากวังก่อน!”
“…” ยิ่นอ๋องพยายามเต็มที่ที่จะเปล่งเสียงออกมา
เฉียวเวยก็ยังฟังไม่ถนัดอยู่ดี นางขมวดคิ้ว ขยับหูเข้าไปใกล้อีกนิด “เจ้าว่าอะไรนะ”
ยิ่นอ๋อง “…ไป…”
ไป?
ยิ่นอ๋องพูดแต่ละคำ คล้ายต้องใช้พลังทั้งหมดที่มี “รีบ…ไป!”
เฉียวเวยเข้าใจแล้ว ยิ่นอ๋องให้นางหนีไป
เพราะเหตุใด
เขาไปรู้อะไรเข้า
ในหัวนางพลันมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามา ประตูด้านหลังไม่รู้ถูกใครปิดงับดังปัง!
จากนั้นหน้าต่างก็ถูกปิดเช่นกัน!
ทั้งประตูและหน้าต่างมีเสียงลงกลอนดังขึ้น พวกเขาถูกขังอยู่ข้างในแล้ว!
หรงเฟยตัวดี ที่แท้ก็คิดจะใช้ยิ่นอ๋องล่อนางให้มาที่วังเย็นนี่เอง จะใช้วิธีการปิดประตูตีแมวสินะ!
อ๊าเปรี๊ยะๆๆ!
นางไม่ใช่แมวหรอกนะ!
ไอพวกแมวเฒ่าทั้งหลาย คิดจริงๆ หรือว่ากลอนประตูไม่กี่อันจะทำอะไรนางได้
เฉียวเวยลุกขึ้นอยากเยือกเย็นแล้วยกเท้าถีบประตูจนกระเด็น!
เดิมทีด้านหลังประตูมีขันทียืนอยู่คนหนึ่ง เลยถูกถีบจนกระเด็นตามไปด้วย ตัวเขาล้มหนักๆ ลงบนสนามหญ้ารกๆ ส่วนประตูล้มทับใส่ตัวเขาจนเขากระอักเลือดออกมา
เฉียวเวยเดินผ่านธรณีประตูไปเรียบๆ ลมเย็นหอบหนึ่งพัดเข้ามา พัดจนปรอยผมกับชายกระโปรงของนางปลิวไปตามลม
นางกวาดตามององครักษ์แปดคนในสนามที่ไม่รู้เข้ามาตั้งแต่เมื่อไรด้วยสายตาดุเข้ม หนึ่งในนั้นเป็นคนที่เมื่อครู่แบกตัวยิ่นอ๋องมาที่นี่ อีกสามคนเป็นคนที่นางเห็นตอนเข้าวัง เมื่อครู่นางยังสงสัยอยู่ว่าพวกเขาออกมาจากค่ายทหารเดียวกันหรือไม่ เวลานี้นางไม่คิดเช่นนั้นแล้ว
คนกลุ่มนี้ถึงแม้มองดูแล้วจะไม่ต่างจากคนทั่วไปนัก แต่ไอประหลาดที่แผ่ออกมานั้นไม่เหมือนไอของคนมีชีวิตเอาเสียเลย
ถึงแม้พวกเขาจะมีชีวิตอยู่จริงๆ แต่พวกเขามีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่ง นั่นคือนักรบมรณะ