หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 411 มารดาและบุตรได้พบหน้า (5)
ตอนที่ 411 มารดาและบุตรได้พบหน้า (5)
ถึงขั้นให้นักรบมรณะออกโรง หรงเฟยคิดจะทำสิ่งใดกัน สังหารนางให้ตายอยู่ที่นี่หรือ
เฉียวเวยกวาดตามองคร่าวๆ รัศมีของคนเหล่านี้ดูจะแข็งกร้าวกว่านักรบมรณะที่นางเคยประมือด้วยบนลานประลองเสียอีก เช่นนี้พวกเขาน่าจะเป็นนักรบมรณะชั้นสูงที่เล่าลือกันนั่นเอง
นางไม่เคยประมือกับนักรบมรณะในลำดับขั้นนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าสู้ได้หรือไม่
เฉียวเวยบีบนวดข้อมือแล้วหยิบกริชชาดออกจากแขนเสื้อ
กริชชาดในสายตานักรบมรณะเหล่านี้เปรียบประหนึ่งคู่อาฆาตกันมาแต่ชาติปางไหน ชั่วขณะที่เห็นกริชเล่มนั้น โทสะของทุกคนก็พุ่งทะยานเป็นหลายเท่าทันที พวกเขาหันขวับไปมองเฉียวเวย ไม่มีรีรอให้ใครสั่งการ พร้อมใจกันพุ่งเข้าไปหานางทันที!
ในมือนักรบมรณะทุกคนล้วนมีกระบี่เล่มยาวอยู่ เฉียวเวยเคยได้ยินศิษย์เอกบอกว่านักรบมรณะชั้นต่ำที่สุดจะไม่รู้วิธีการใช้อาวุธ นักรบมรณะที่ใช้อาวุธเป็นล้วนเป็นนักรบมรณะที่เก่งกาจมากทั้งสิ้น
เฉียวเวยไม่กล้าประมาท ตั้งสมาธิระแวดระวังถึงขีดสุด
นักรบมรณะคนที่แบกตัวยิ่นอ๋องพุ่งเข้ามาเป็นคนแรก พุ่งกระบี่ตรงแน่วมาที่เฉียวเวย แต่ทั้งๆ ที่เขาจะแทงถูกตัวนางอยู่แล้ว แต่คนตรงหน้ากลับหายวับไปราวกับภูตผี!
นักรบมรณะตะลึงงัน
มีคนตบไหล่เขา “เห้ย”
นักรบมรณะหันกลับไป เฉียวเวยเสียบกริชเข้ากลางหน้าผากเขาทันที!
นักรบมรณะไม่ทันกระทั่งส่งเสียงร้องก็สิ้นใจล้มลงกับพื้นเสียแล้ว
นักรบมรณะคนอื่นๆ พอเห็นเช่นนั้น สติปัญญาเพียงน้อยนิดที่เหลืออยู่ก็ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นตามสัญชาตญาณ แต่ไม่นานก็ถูกจิตมุ่งสังหารที่ถูกฝังลึกอยู่ในกระดูกเข้าแทนที่ แต่ละคนเงื้อกระบี่พุ่งเข้าหาเฉียวเวยอีกครั้ง
เฉียวเวยไม่ใช่ตัวเหล็ก ร่างกายที่บอบบางของนางหากถูกแทงเข้า…
กระบี่ของนักรบมรณะคนหนึ่งแทงถูกหัวไหล่เฉียวเวย
เคร้ง
กระบี่หัก
นักรบมรณะก. “…”
นักรบมรณะข. “…”
นักรบมรณะคนอื่นๆ “…”
เฉียวเวยลูบเฟิ่นเทียนตรงอกเสื้อ เจ้าเด็กดีนี่ช่วยชีวิตนางไว้แล้ว!
เฉียวเวยอาศัยช่วงที่นักรบมรณะทั้งหลายนิ่งอึ้งกันอยู่ กระชับกริชปาดคอนักรบมรณะไปอีกสองคน!
นักรบมรณะตัวแข็งค้าง วรยุทธ์สูงส่ง แต่กลับมีจุดอ่อนที่ถึงแก่ชีวิตอยู่นั่นก็คือไม่ว่องไวพอ
ตอนสือชีมาแรกๆ ก็เป็นเหมือนนักรบมรณะกลุ่มนี้ เป็นเยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่ฝึกหัดเขาอยู่นานกว่าเขาจะกลายเป็นยอดฝีมือเรื่องวิชาตัวเบา
แต่คนเหล่านี้ไม่ได้ผ่านการฝึกมาก่อน หากจะสู้เรื่องความเร็วกับเฉียวเวยจะไม่เท่ากับรนหาที่หรอกหรือ
เฉียวเวยเงื้อกริชขึ้นแล้วจัดการสำเร็จโทษนักรบมรณะไปอีกคนหนึ่ง
นักรบมรณะแปดคนตายไปสี่คนในชั่วพริบตา แววแห่งชัยชนะดูจะเอนเอียงมาทางเฉียวเวยแล้ว
แต่ไม่นานเฉียวเวยก็ได้รู้ว่าตนคิดผิด นักรบมรณะสี่คนที่เหลือที่เคลื่อนไหวไม่รวดเร็วพอ จู่ๆ ไม่รู้ไปคลายจุดอะไรเข้า ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวกันเร็วขึ้นมาในทันใด!
ตอนเฉียวเวยแทงกริชไปนั้น ตาเห็นว่าใกล้จะแทงถูกแล้ว แต่ตัวเขากลับแวบหายไปเสียอย่างนั้น
เฉียวเวยถึงกับอึ้งไป ทำอะไรเช่นนี้เป็นด้วยหรือ!
สถานการณ์หลังจากนั้นก็ไม่สู้จะเข้าข้างนางสักเท่าไร
กริชของเฉียวเวยแทงถูกพวกเขาไม่ง่ายเช่นนั้นอีก ทั้งยังกลับเป็นฝ่ายถูกพวกเขาต่อให้สองหมัด โชคดีที่เฉียวเวยมีร่างกายที่ไม่เหมือนผู้อื่น จึงไม่บาดเจ็บอะไร เพียงแต่จะเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ คงไม่ได้การ
ด้วยสถานการณ์คับขัน ไหวพริบเฉียวเวยทำงาน นางเปิดกล่องยา หยิบยาน้ำขวดเล็กขวดหนึ่งออกมา ในตอนที่ทั้งสี่กรูกันเข้ามาหาตนนั้น นางก็สาดยาใส่ตัวพวกเขาสี่คนทันที!
จากนั้นนางก็จุดไต้ไฟแล้วโยนใส่พวกเขา เสื้อผ้าทั้งสี่จึงติดไฟขึ้นมาทันที!
คนกลัวไฟนั้นเป็นสัญชาตญาณ ทั้งสี่เริ่มล้มลงกับพื้นเพื่อดับไฟ เฉียวเวยอาศัยช่วงที่พวกเขาพยายามดับไฟอยู่นั้น มือหนึ่งหิ้วกระเป๋ายา อีกมือหนึ่งคว้าตัวยิ่นอ๋องแบกขึ้นไหล่ แล้ววิ่งออกไปทางประตูวังเย็น
นางเพิ่งจะวิ่งไปถึงประตูก็ชนเข้ากับศิษย์เอกที่กำลังรีบเข้ามาอย่างจัง!
ศิษย์เอกถูกกระแทกจนหัวปูด พอทรงตัวได้ดีแล้ว ศิษย์เอกเอามือจับศีรษะพลางสูดปากด้วยความเจ็บปวด เขาหันไปถามเฉียวเวยว่า “เจ้าออกมาแล้วหรือ ไม่เป็นอะไรกระมัง เจ้าแบกผู้ใดมาน่ะ”
เฉียวเวยมองอีกฝ่ายด้วยความระแวง รวมถึงอาวุธในมือเขา…กระบี่ยาว นางถามว่า “เจ้ามาได้อย่างไร”
ศิษย์เอกบอกด้วยความเจ็บว่า “เจ้าไม่ได้เป็นคนให้ข้ามาหรอกหรือ”
เฉียวเวยพลันขมวดคิ้ว “ข้าให้เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไร”
ศิษย์เอกบอกว่า “เจ้าให้นางกำนัลนางหนึ่งส่งข่าวไปบอกข้าบอกว่าเจ้าถูกนักรบมรณะลอบโจมตีที่วังเย็นให้ข้ารีบมาช่วยเจ้า! เจ้าดูสิ ข้ายังเอากระบี่ชาดของอาจารย์มาด้วยเลย!”
เฉียวเวยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าไม่ได้ให้ผู้ใดเอาความไปบอกเจ้าเสียหน่อย”
ศิษย์เอกอึ้งไป “เจ้าไม่ได้ส่งไปหรือ เช่นนั้น…เหตุใด…”
สายตาเฉียวเวยเปลี่ยนเป็นดุดันขึ้นมา “ถูกเล่นงานเข้าเสียแล้ว”
“อะไรนะ” ศิษย์เอกฟังไม่เข้าใจ
เฉียวเวยขมวดคิ้วเอ่ยว่า “พวกเราถูกเล่นงานกันหมด”
ศิษย์เอกไม่เข้าใจ “ถูกใครเล่นงานหรือ”
หรงเฟย!
ในที่สุดเฉียวเวยก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดยิ่นอ๋องถึงพูดประโยคนั้น เพราะตอนนี้นางก็ต้องเอ่ยคำเดียวกันนั้นกับศิษย์เอก “เจ้ารีบไปเร็ว! หากให้ใครมาเห็นเข้าคงอธิบายได้ยากแล้ว!”
ศิษย์เอกหมุนตัวออกไปทันที!
แต่น่าเสียดายที่สายไปเสียแล้ว
บนทางเดินเล็กๆ ด้านหน้าวังเย็น ราชองครักษ์กลุ่มใหญ่วิ่งดาหน้ากันเข้ามาพร้อมหอกยาว เข้ามาล้อมพวกเฉียวเวยไว้อย่างดุดัน
ขันทีวัยกลางคนรูปร่างอ้วนเตี้ยก้าวสบายๆ เข้ามา ขันทีคนนี้หาใช่ใครอื่น คือขันทีที่นำอาหารมาให้ยิ่นอ๋องที่วังเย็นนั่นเอง
เขายกแส้ในมือขึ้น มองพวกเฉียวเวยด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง เกร็งคอตะเบ็งเสียงเล็กแหลมว่า “บังอาจ! ถึงขั้นกล้าลักพาตัวยิ่นอ๋องเชียวหรือ! ทหาร! จับพวกเขามัดไว้!”
ทหารองครักษ์กรูกันเข้ามาล้อมไว้ เฉียวเวยกวาดมองด้วยสายตาดุดัน “ข้าจะดูสิว่าผู้ใดกล้า!”
ทหารองครักษ์ถูกรัศมีของนางมองจนชะงักไป ชั่วขณะนั้นพวกเขาไม่กล้าเขยิบเข้าใกล้นางจริงๆ
ถึงอย่างไรเฉียวเวยก็เป็นถึงฮูหยินอัครเสนาบดี เป็นจั๋วหม่าน้อยของชนเผ่าลึกลับ ฐานะเช่นนี้เพียงพอให้พวกเขานึกกลัวแล้วจริงๆ
ขันทีวัยกลางคนดูจะคาดเดาไว้แล้วว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เขาลากเสียงยาว เอ่ยด้วยความยะโสโอหังว่า “ยังยืนบื้อไปไย ไม่เห็นหรือว่ามีคนจะลักพาตัวยิ่นอ๋องน่ะ”
ราชองครักษ์หันมองหน้ากัน ทำใจกล้าเขยิบเข้าใกล้เฉียวเวยอีกก้าวหนึ่ง
ที่นี่ดีร้ายอย่างไรก็เป็นวังหลวง ลองมีเรื่องเบาะแว้งกันเป็นการส่วนตัวยังพอว่า แต่หากไม่จำเป็นเฉียวเวยไม่อยากมีเรื่องบาดหมางกับราชองครักษ์อย่างเปิดเผยเลยจริงๆ นางไม่อยากเดินหมากนี้ เฉียวเวยหันไปเอ่ยกับขันทีผู้นั้นว่า “เจ้าเป็นคนจากตำหนักใดกัน”
ขันทีวัยกลางคนเชิดคางขึ้น “ตำหนักกานลั่ว”
เฉียวเวยยิ้มเยาะ “ตำหนักกานลั่วเป็นตำหนักบรรทมของฝ่าบาท เจ้าเป็นคนของฝ่าบาทหรือ เหตุใดข้าถึงไม่เคยเห็นหน้าเจ้ามาก่อน”
ขันทีวัยกลางคน “ข้าน้อยเพิ่งได้โยกย้ายมาอยู่ตำหนักกานลั่วเมื่อไม่กี่วันนี้”
ไม่กี่วันนี้? ช่วงที่หรงเฟยกลับมาเป็นที่โปรดปราน?
ล้วนกล่าวกันว่าต้นไม้ต้นหนึ่งยิ่งยอดบนดินสูงเท่าไร รากของมันที่อยู่ใต้ดินมีแต่จะยิ่งยาวเท่านั้น
หรงเฟยก็เป็นเช่นนี้ หลายปีนี้นางไม่ได้อยู่ในวังหลวงอย่างเปล่าประโยชน์จริงๆ กระทั่งคนสนิทของตนก็เลี้ยงดูไว้อย่างรอบคอบ พอบอกให้มาประจำตำแหน่งก็มาประจำตำแหน่งทันที
เฉียวเวยถามว่า “เจ้าบอกว่าข้าลักพาตัวท่านยิ่นอ๋อง เจ้ามีหลักฐานอันใด”
ขันทีวัยกลางคน “หลักฐานยังไม่ชัดเจนอีกหรือ บนบ่าเจ้านั่นแบกผู้ใดอยู่”
เฉียวเวยยิ้มเยาะ “ข้าแบกเขาก็เท่ากับข้าลักพาตัวเขาแล้วหรือ ทั้งๆ ที่มีคนลอบเล่นงานเขา ข้าช่วยเขามาจากมือคนร้ายต่างหากเล่า!”
“คนร้าย? ท่านหมายถึงนักรบมรณะจากตำหนักราชครูเหล่านี้หรือ” สายตาของขันทีวัยกลางคนหยุดมองที่ศพที่กองกันระเนระนาดอยู่ในลาด
ศิษย์เอกพลันเปลี่ยนเป็นดุดัน “เจ้าอย่าได้กล่าวหาผู้อื่น! นักรบมรณะเหล่านั้นหาใช่คนของตำหนักราชครูไม่!”
ขันทีวัยกลางคนทำเสียงหึหึ “เจ้าย่อมไม่ยอมรับ แต่มองไปทั้งวังหลวงนี้ นอกจากตำหนักราชครูของพวกเจ้าแล้ว ยังมีผู้ใดมีนักรบมรณะอีกบ้าง”
“เจ้า…” ศิษย์เอกถูกใส่ร้ายอีกครั้ง โทสะอัดแน่นเต็มอก “คนจงหยวนอย่างพวกเจ้านี้ อย่าได้เห็นว่าเป็นนักรบมรณะก็เหมารวมว่าเป็นศิษย์จากตำหนักราชครูทั้งหมดนะ! ต้องให้ข้าอธิบายให้ฟังกี่ครั้งกัน ในโลกหล้านี้มีนักรบมรณะอยู่มากมายนัก ไม่ใช่แค่ตำหนักราชครูเท่านั้นที่มี!”
ขันทีวัยกลางคนถอนหายใจเบาๆ “คำพูดนี้เจ้าไปพูดในคุกจะดีกว่า ทหาร จีฮูหยินสมคบคิดกับตำหนักราชครูแห่งเยี่ยหลัว วางแผนคิดร้ายท่านยิ่นอ๋อง จับพวกเขาสองคนไปขังคุกใต้ดินบัดเดี๋ยวนี้!”
เฉียวเวยหรี่ตาลง จับไปขังคุกใต้ดินแล้วจะยังมีชีวิตรอดหรือ
หรงเฟยไม่เพียงคิดจะสังหารนาง แต่ยังทำให้นางได้ชื่อว่าสมคบคิดกับเยี่ยหลัวอีกด้วย นี่หรงเฟยคิดจะให้นางกับตระกูลจีที่อยู่เบื้องหลังนางพ่ายแพ้ยับเยินไม่มีชิ้นดีอย่างนั้นหรือ
หรงเฟย เจ้าช่างร้ายกายนัก!
ศิษย์เอกวางกระบี่อย่างยอมรับชะตา
เฉียวเวยรีบบอกว่า “เจ้าทำอะไรน่ะ”
ศิษย์เอกเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ผู้บริสุทธ์ย่อมลบล้างมลทินให้ตนเอง เรื่องที่ข้าไม่ได้ทำ ผู้ใดก็ไม่อาจใส่ร้ายข้าได้”
เฉียวเวยถลึงตาใส่เขาพร้อมเอ่ยเสียงต่ำว่า “เจ้าคิดว่าที่นี่คือเยี่ยหลัวของพวกเจ้าที่อาจารย์ไสยเวทเปรียบประหนึ่งของมีค่าที่ไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องอย่างนั้นหรือ ข้าจะบอกให้นะ เจ้าก็เห็นสภาพของยิ่นอ๋องแล้ว เขาที่เป็นถึงยอดฝีมือแห่งยุทธภพยังทนรับการทรมานในคุกใต้ดินไม่ได้ เจ้าที่บอบบางเช่นนี้ เจ้าลองว่ามาทีว่าเจ้ามีกี่ชีวิตกัน”
ศิษย์เอกกลืนน้ำลายด้วยความกลัว
เฉียวเวยตะคอกเสียงต่ำ “ยังไม่รีบเก็บกระบี่ขึ้นมาอีก!”
ศิษย์เอกเหลือบมองทุกคนทีหนึ่ง เก็บกระบี่ขึ้นมาอย่างกล้าๆ กลัว จากนั้นก็พูดดังพอให้ได้ยินกันสองคนว่า “เช่นนั้นเวลานี้จะทำเช่นไร”
เฉียวเวยกระซิบตอบ “ข้าจะนับหนึ่งสองสาม แล้วฝ่าออกไป!”
ศิษย์เอก “อะไรนะ”
“สาม!”
เฉียวเวยยกเท้าได้ก็ออกวิ่งทันที!
ศิษย์เอกที่ยืนอึ้งอยู่กับที่ “…”
หนึ่งสองเล่า?
เจ้ากินเข้าไปแล้วหรือ!