หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 413-2 สังหารราชันอสูร! (1)
ตอนที่ 413-2 สังหารราชันอสูร! (1)
หรงเฟยเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าสมคบคิดกับตำหนักราชครู ลักพาตัวบุตรชายของข้า ซ้ำยังสังหารองครักษ์ในวังไปตั้งมากมายเพียงนั้น แล้วยังพาคนกลุ่มหนึ่งที่ฐานะไม่ชัดแจ้งมาทำลายกำแพงวัง บุกรุกเข้ามาในวังหลวง หากเช่นนี้ยังไม่ถือว่าเจ้าคิดก่อกบฏแล้วจะเป็นอย่างไรได้อีก”
เฉียวเวยร้องอ้อคำหนึ่ง เลิกคิ้วบอกว่า “ที่ข้าทำนี่เรียกกบฏอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นที่หรงเฟยกักบริเวณฝ่าบาทเล่า นั่นเรียกว่ากระไร”
หรงเฟยกำมือแน่น “ข้ากักบริเวณฝ่าบาทตั้งแต่เมื่อใด เจ้าอย่าได้ใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นเช่นนี้”
เฉียวเวยระบายยิ้มเรียบๆ “เกิดเหตุใหญ่โตเพียงนี้ ฝ่าบาทไม่มีทางไม่ทรงรู้ เหตุใดถึงไม่เห็นพระองค์ออกมา หากไม่ใช่เพราะถูกท่านกักบริเวณไว้แล้วจะเพราะเหตุใดได้อีก”
หรงเฟยไม่สะทกสะท้าน “วันๆ หนึ่งฝ่าบาทต้องสะสางราชกิจมากมาย เรื่องกระจิ๊บกระจ้อยเท่านี้หาจำเป็นต้องให้ฝ่าบาทใส่พระทัยไม่ ฝ่าบาทมอบสิทธิให้ข้าจัดการได้เต็มที่ เวลานี้ข้าจะมีราชโองการสั่งให้สอบสวนเจ้า!”
เฉียวเวยเอ่ยด้วยความดูแคลน “ท่านเลิกวางท่าเถิด! เรื่องที่ฝ่าบาทไม่ใส่พระทัย ก็ยังมีรัชทายาท ใช่เรื่องที่สนมถูกทิ้งอย่างท่านต้องมาตัดสินหรือ”
ขันทีวัยกลางคนรีบกระโดดออกมาชี้หน้าเฉียวเวย “นังไพร่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กล้าเสียมารยาทกับพระสนมหรงเฟยเชียวหรือ…”
เฮ่อหลันชิงจัดการตบจนกระเด็นไป
ขันทีวัยกลางคนถูกกำลังภายในตบจนกระเด็นไปติดกำแพงวังก่อนจะล้มกระแทกพื้น ตัวกระตุกสิ้นลมไปในทันใด
หรงเฟยมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ “พวกเจ้า…”
เฮ่อหลันชิงยิ้มเยาะ “บุตรสาวของข้าใช่คนที่พวกเจ้าจะตะคอกใส่ได้หรือ”
หรงเฟยกำที่เท้าแขนในเกี้ยวแน่น
องครักษ์เกราะทมิฬเดินเข้ามาเรียงแถวหน้ากระดานตรงหน้าเฉียวเวย ส่วนอีกคณะหนึ่งเข้าไปล้อมหรงเฟยกับทหารราชองครักษ์ไว้ พวกเขาขึ้นคันธนู เล็งปลายธนูอันเย็นยะเยือกไปยังหน้าอกของทุกคน
ทหารราชองครักษ์ร้อนรนกันขึ้นทันควัน สัญชาตญาณของคนที่ฝึกวรยุทธ์บอกพวกเขาว่า วรยุทธ์ขององครักษ์เกราะทมิฬเหล่านี้สูงส่งกว่าพวกเขามากนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไอโลหิตที่คล้ายได้มาจากการฝึกในสนามรบนั่นเลย แค่เพียงมองก็สามารถทำให้ตัวสั่นงันงกได้แล้ว
สีหน้าหรงเฟยเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาว “เฉียวซื่อ เจ้าจะทำเช่นนี้จริงๆ หรือ”
เฉียวเวยบอกว่า “ที่ข้าทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะท่านบีบบังคับหรอกหรือ หากไม่ให้ท่านที่ปล่อยนักรบมรณะออกมาฆ่าข้า ข้ากับท่านแม่จะลุกขึ้นมาเป็นศัตรูกับท่านได้อย่างไร”
ทหารราชองครักษ์พากันหันไปมองหรงเฟย จีฮูหยินพูดเรื่องอะไรกัน หรงเฟยปล่อยนักรบมรณะมาสังหารนาง?
หรงเฟยตีหน้าขรึม “ข้าไม่ได้ปล่อยนักรบมรณะมาสังหารเจ้า”
“เช่นนั้นก็ประหลาดล่ะ หากไม่ใช่ท่านแล้วจะเป็นตำหนักราชครูหรือ พระสนมท่านเบิกตามองดูให้ดีเถิด บนพื้นสองสามคนนั้นต่างหากที่เป็นนักรบมรณะของตำหนักราชครู พวกเขาถูกสังหารหมดแล้ว ท่านบอกว่าข้ากับตำหนักราชครูสมคบคิดกัน เช่นนั้นข้าขอถามว่าพวกเขาถูกใครฆ่าตายหรือ เจ้าอย่าบอกเชียวนะว่าเป็นข้า อาจารย์ไสยเวทอยู่ที่นี่แล้ว เขาสามารถเป็นพยานให้ข้าว่าข้าบริสุทธิ์!”
ศิษย์เอกพยักหน้าทันที!
ทหารราชองครักษ์พาหันไปมองนักรบมรณะที่อยู่บนพื้น พวกเขาเคยเห็นคนของตำหนักราชครู ย่อมต้องจำได้ทุกคน แต่บนพื้นนั่นยังมีหลายคนที่เป็นสหายในทหารราชองครักษ์ที่เพิ่งเข้ามาใหม่อยู่ด้วย…
สหายเหล่านี้ดูเผินๆ แล้วคล้ายเคยผ่านการสู้รบกับนักรบมรณะของตำหนักราชครูมาก่อน นักรบมรณะสังหารสหายพวกเขานั้นไม่แปลก แต่การที่นักรบมรณะก็ถูกสังหารด้วยนั้นคิดแล้วน่าประหลาดใจอยู่
เพราะทหารราชองครักษ์ไม่มีคนใดมีความสามารถพอจะสังหารนักรบมรณะได้
หากจะยังบิดพลิ้วต่อไป เรื่องที่ทหารราชองครักษ์มีนักรบมรณะปะปนอยู่คงจะปิดไว้ไม่มิดอีก ขนตาหรงเฟยสั่นระริก “เรื่องในวันนี้ข้าจะสั่งให้คนสืบให้กระจ่าง หากมีคนใส่ร้ายเจ้าจริง ข้าก็ย่อมต้องคืนความบริสุทธิ์ให้กับเจ้า เจ้ากลับไปเถิด ทิ้งเขาไว้ที่นี่”
“ทิ้งผู้ใดไว้ที่นี่หรือ” เฉียวเวยแสร้งทำเป็นใสซื่อ
หรงเฟยเอ่ยด้วยความหัวเสีย “บุตรชายข้าอย่างไร ข้ายอมปล่อยเจ้าไปแล้ว เจ้าก็ควรปล่อยบุตรชายของข้ามา”
เฉียวเวย “ท่านยิ่นอ๋องยินดีไปกับข้าเองต่างหาก”
หรงเฟยเอ่ยว่า “หากไม่มีรับสั่งจากฝ่าบาท เขาห้ามออกจากคุกใต้ดิน”
เฉียวเวยผายมือออก “ฝ่าบาทมีราชโองการออกมาด้วยพระองค์เองว่าให้ปล่อยตัวเขาออกมาแล้วนี่ พระสนมท่านลืมแล้วหรือ อยากให้เรียกตัวองครักษ์ตรงคุกใต้ดินมาไต่ถามหรือไม่”
ทหารราชองครักษ์พากันหันไปมองหรงเฟย
หรงเฟยลืมเรื่องนี้ไปแล้วจริงๆ! เรื่องนี้จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก หากเตรียมการไว้พร้อม ทั้งหมดสามารถทำให้จบสมบูรณ์ได้ แต่เพราะรีบมาช่วยราชันอสูร ยังไม่ทันเตรียมอะไรให้พร้อมก็ต้องออกมาเสียแล้ว
มุมปากหรงเฟยกระตุกขึ้น “ข้าจำได้แล้ว มีเรื่องเช่นนั้นอยู่จริงๆ”
เฉียวเวยระบายยิ้ม “เช่นนั้น ขอตัวก่อน พระสนม”
หรงเฟยมองยิ่นอ๋องในมือองครักษ์เกาะทมิฬด้วยความไม่พอใจ สองมือกำแน่นเป็นหมัด แต่พอเหลือบไปเห็นราชันอสูรที่อยู่ใต้ซากหินแล้วก็ค่อยๆ คลายมือออก
ในช่วงน่าสิ่วน่าขวาน รักษาราชันอสูรไว้ต่างหากที่สำคัญที่สุด
เฮ่อหลันชิงจูงบุตรสาวขึ้นหลังม้า เฉียวเวยนั่งอยู่ข้างหน้ามารดา มือจับเชือกไว้
เฮ่อหลันชิงใช้มือหนึ่งกอดบุตรสาวไว้แน่น อีกมือหนึ่งถือหอกยาว “หั่วเฟิ่ง ไป”
ม้ารูปงามเหยียบกำแพงวังที่พังราบ เดินออกไปอย่างสง่างาม
หรงเฟยเหลือบมองด้านหลังทุกคนทีหนึ่ง ก่อนจะรีบลุกออกจากเกี้ยว แทบจะโผเข้าไปตรงซากหิน ให้มือปัดก้อนหินทีละก้อนออกไป ถึงตัวราชันอสูรมาก้อนแล้วดึงหน้ากากเขาออก “ราชันอสูร ราชันอสูร!”
ราชันอสูรบาดเจ็บอย่างหนัก แต่เขายังมีชีวิตอยู่
นางถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
แต่ผู้ใดจะรู้ นางยังถอนหายใจไม่ทันสุด หอกยาวด้านหนึ่งก็ส่องประกายพุ่งตรงลงมาจากขอบฟ้า ปักลงกลางหน้าผากของราชันอสูร ทะลุศีรษะเข้าไปทันที!
ราชันอสูรพลันตัวแข็ง มือทิ้งตัวตกลงกับพื้น
หรงเฟยแทบจะสิ้นสติ คร่ำครวญราวกับคนไม่สมประกอบ “ราชันอสูร ราชันอสูร ราชันอสูร…”