หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 416-2 หรงเฟยบาดเจ็บหนัก (1)
ตอนที่ 416-2 หรงเฟยบาดเจ็บหนัก (1)
รองแม่ทัพสวีเอ่ยด้วยความหวาดหวั่น “ข้าน้อยไม่ได้หมายความเช่นนั้น! ข้าน้อยไม่สนใจเรื่องความเป็นความตายแล้ว ไม่ว่าจะออกมาได้หรือไม่ ข้าน้อยไม่กลัวทั้งสิ้น เพียงแต่ข้าน้อยเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของใต้เท้าอัครเสนาบดี หากใต้เท้าเกิดเป็นอะไรไปที่นี่ เชื่อว่าหากท่านแม่ทัพทราบจะต้องกล่าวโทษข้าน้อยว่าคุ้มกันใต้เท้าไม่ดีแน่นอน”
จีหมิงซิวปรายตามองอีกฝ่ายเรียบๆ “ข้าไม่ต้องให้เจ้ามาคุ้มกัน”
รองแม่ทพัสวีเอ่ยอย่างเป็นกังวล “ทว่า…”
จีหมิงซิวกลับไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร ก้าวเท้าเดินขึ้นเนินเขาไป
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดินเปิดทางอยู่ด้านหน้า
รองแม่ทัพสวีเห็นว่าเกลี้ยกล่อมไม่เป็นผล จึงต้องกลั้นใจเดินตามไป เขาหันกลับไปเลือกทหารที่ไหวพริบดีมาห้าคน “พวกเจ้าตามมาด้วย ระหว่างทางจำไว้ว่าต้องคุ้มกันความปลอดภัยให้ใต้เท้าอัครเสนาบดีให้ดี หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าจะมาซักไซ้เอาความจากพวกเจ้า!”
“ขอรับ!” พวกเขาตอบรับด้วยความหวั่นใจ!
นายบ่าวจีหมิงซิวกับคณะรองแม่ทัพทั้งหกคนเดินข้ามเขานั้นไปพร้อมกัน ทิวเขาที่ดูว่าอยู่ไม่ไกลกันนั้น พอต้องเดิมข้ามจริงๆ กลับขวางกั้นด้วยทะเลสาบบ้าง ทุ่งนาที่ถูกทิ้งร้างบ้าง รวมถึงป่าต้นสนขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ด้วย
พวกเขาเดินอ้อมทะเลสาบ ผ่านพื้นที่รกร้าง ตอนเดินไปถึงป่าต้นสน ท้องฟ้าก็ค่อยๆ มืดลง กว่าจะเดินหลุดออกมาจากป่าต้นสนอีกที พระจันทร์ก็ลอยขึ้นมาอยู่บนฟ้าแล้ว
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจุดคบไฟ
ระหว่างทางมานี้นอกจากสัตว์ป่าไม่กี่ตัวแล้วก็ไม่เจอสัตว์ดุร้ายจริงๆ สักตัว
“นี่คือรองเท้าของหัวหน้าหน่วยซุน!” รองแม่ทัพสวีเก็บรองเท้าทหารข้างหนึ่งขึ้นจากพื้น เพราะเป็นระดับหัวหน้าหน่วย รองเท้าจึงมีลักษณะต่างไปจากทหารทั่วไป ทหารใหม่ทั่วไปล้วนใส่รองเท้าผ้าหรือไม่ก็รองเท้าฟาง ดังนั้นพอเห็นรองเท้าข้างนี้จึงมั่นใจแทบจะในทันทีว่าเป็นของหัวหน้าหน่วยซุ่น
จีหมิงซิวกวาดมองบริเวณโดยรอบด้วยสายตานิ่งลึก “พวกเราอยู่ไม่ห่างจากจุดเกิดเหตุแล้ว ทุกคนระวังตัวกันหน่อย”
รองแม่ทัพสวีกับพลทหารห้านายมือจับอยู่ที่ปลอกกระบี่
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยคาบต้นหญ้าต้นหนึ่งไว้ในปาก เอ่ยอย่างไม่มีเกรงกลัวว่า “ไม่ต้องตื่นเต้นกันเพียงนั้น จอมยุทธเยี่ยนอยู่ที่นี่แล้ว ไม่ปล่อยให้พวกเจ้าเป็นอะไรแน่!”
ระหว่างที่พูดนั้น เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็หันไปมองทิวทัศน์ข้างหน้า ก่อนจะต้องตกใจจนสะดุ้งโหยง “หายไปไหนน่ะ!”
จีหมิงซิวกับรองแม่ทัพสวีก็หันไปมองด้านหลังด้วย จึงเห็นว่าพลทหารห้านายที่เมื่อครู่ยังจับกระชับดาบกันอยู่ กลับหายตัวไปอย่างน่าประหลาดจนเหลืออยู่ผู้เดียวแล้ว!
อีกสี่คนเล่า
หายไปไหนกัน!
พื้นที่ส่วนนี้เชื่อมต่อระหว่างป่าสนกับพื้นที่โล่งของทิวเขาด้านหน้า ทั้งสี่ทิศมีเพียงความเวิ้งว้าง ต่อให้มีคนมาฉกตัวพวกเขาไปก็ไม่น่าวิ่งไปได้ไวเพียงนั้น ไม่ควรจะหายไปในพริบตาเช่นนี้
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยกคบเพลิงขึ้นสูง เอาส่องไปโดยรอบ “แม่งเอ้ย! หายไปไหนกันนะ นี่! พวกเจ้าอยู่ไหนกันน่ะ ได้ยินเสียงข้าหรือไม่ ช่วยตอบหน่อย!”
ไม่มีเสียงตอบรับ
พลทหารที่เหลือถึงกับขวัญผวา มือที่ถือกระบี่ยังถือไว้ไม่มั่น “มีผี…มีผี…มีผี!”
รองแม่ทัพสวีก้าวพรวดเดียวไปถึงตรงหน้าเขา คว้าคอเสื้อเขามาถามว่า “พวกเขาหายไปไหน”
พลทหารตอบอย่างขวัญผวา “ข้าไม่รู้…”
รองแม่ทัพสวีกัดฟันเอ่ยว่า “พวกเขาอยู่กับเจ้าไม่ใช่หรือ เจ้าลองตรองดูสิว่าเมื่อครู่เจ้าเห็นอะไรบ้าง”
พลทหารร้อนรนจนแทบจะร้องไห้อยู่แล้ว “ข้าไม่เห็นอะไรเลย…ข้าสาบาน…ข้าไม่เห็นอะไรเลยจริงๆ…”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยช่วยเข้ามาไกล่เกลี่ย “อย่าทำเขาลำบากใจเลย กระทั่งพวกเรายังไม่รู้สึกว่ามีใครเข้ามาใกล้ เขาเป็นแค่พลทหารจะบีบคั้นเขาไปไย”
รองแม่ทัพสวีคลายมือด้วยความดุดัน เขาหันไปมองบรรยากาศยามค่ำคืนที่มืดมิด เขาหันกลับมามองพลทหารผู้นั้นอีกครั้ง กลับพบว่าเขาหายวับไปอีกคนแล้ว!
ครั้งนี้ถึงกับหายไปใต้สายตาเขา!
เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
หรือจะมีผีออกอาละวาดจริงๆ งั้นหรือ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยกคบเพลิงสูงขึ้น มองซ้ายมองขวาด้วยความระแวดระวัง “ไอ้อีผู้ใดมาแสร้งทำเป็นผีสางอยู่ที่นี่ ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”
รองแม่ทัพสวีกระชับกระบี่ในมือด้วยความสั่นสะท้าน
จีหมิงซิวยืนอยู่กับที่เงียบๆ เพ่งมองความเคลื่อนไหวรอบตัว ทันใดนั้นสายตาเขาก็พลันเปลี่ยน ยกขาก้าวเดินไปช้าๆ
สายตาของเขาเพ่งมองไปที่เยี่ยนเฟยเจวี๋ย ตอนเขาก้าวถึงก้าวที่สาม จู่ๆ เขาก็ยื่นมือซ้ายออกมา “ออกมา!”
ศีรษะผีอันหนึ่งถูกคว้าขึ้นมา
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับรองแม่ทัพสวีรีบเข้าไปสมทบทันที เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยกไฟสองก่อนจะตาเบิกโต “เป็นเด็กงั้นหรือ”
คนที่นอนอยู่บนพื้นก็คือเด็กชายอายุประมาณเจ็ดแปดขวบคนหนึ่ง เขาอยู่ในชุดสีดำ ทาหน้าด้วยโคลนจนกลืนหายไปกับความมืด ถ้าไม่มีแสงไปส่องหน้าเขา แทบจะดูไม่ออกว่าเขาเป็นสิ่งมีชิวิต
“ยังมีชีวิตอยู่กระมัง” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยลูบจมูกเขา
เด็กน้อยจะงับนิ้วของเยี่ยนเฟยเจวี๋ย
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอุทานพร้อมสะบัดตบหน้าเขาทันที “เจ้าหนู ยังคิดจะกัดกันอีกหรือ เมื่อครู่เป็นฝีมือเจ้ากระมัง บอกมา! เจ้าเอาพวกเขาไปไว้ที่ไหน”
เด็กน้อยมองเยี่ยนเฟยเจวี๋ยด้วยความขุ่นเคือง ไม่ยอมพูดอะไรสักคำ
จีหมิงซิวเดินไปยังจุดที่คว้าตัวเด็กน้อยขึ้นมาได้ เขาออกแรงกระตุกเบาๆ ผืนผ้าสีดำผืนหนึ่งก็หล่นลงมา ด้านหลังผืนผ้ามี “ศพ” ของพลทหารห้าคนนอนระเกะระกะอยู่
รองแม่ทัพสวีรีบเข้าไปดู ตรวจสองลมหายใจของพวกเขาแล้วได้พบว่ายังไม่ตาย แค่เพียงถูกทำให้สลบไปเท่านั้น เขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอาผ้าขึ้นมา “ข้าก็ว่าเหตุใดถึงไม่เห็นอะไรเลย ที่แท้ก็ใช้ผ้านี้บังไว้นี่เอง”
ผ้าผืนนี้เป็นสีดำ ตอนกลางคืนก็มืดมิด พอมองไปแล้วผู้ใดเล่าจะรู้ว่าเป็นผืนผ้า บนผ้านั้นจะมีรูที่ใหญ่พอประมาณอยู่หลายรู พอทำคนสลบแล้วเอาไปซ่อนไว้หลังผ้าทันทีก็ไม่มีใครรู้เห็นแล้ว
ทว่าการที่สามารถปฏิบัติการภายในสายตาของพวกเขาเช่นนี้ อย่างน้อยก็บอกได้ว่าวิชาตัวเบาของพวกเขาร้ายกาจไม่เบา
แน่นอนว่าคนที่ต้องนับถือที่สุดคือนายน้อยของพวกเขา ไม่แปลกใจที่พวกเขาเจ็ดคนถูกเขาควบคุมไว้จนไปไหนไม่ได้ ด้วยมันสมองอย่างเขา ต้องเป็นลิ่วล้อไปตลอดชีวิตก็ไม่เสียหลาย
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยโยนผ้าดำในมือทิ้งแล้วเดินเข้าไปหาเด็กชายคนนั้น เขาเอ่ยข่มขู่เสียงดุว่า “เจ้าคนเดียวจับทหารทั้งห้าคนไม่ได้หรอก สหายของเจ้าเล่า”
เด็กน้อยไม่ยอมพูด
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยแค่นหัวเราะ “ไม่บอกใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าก็จะดูว่าเจ้าไม่มีลิ้นใช่หรือไม่ หากเจ้าเป็นใบ้ไม่มีลิ้นจริงๆ เช่นนั้นก็จะแล้วไป แต่หากเจ้ามีลิ้นแต่ปากแข็งไม่ยอมพูด ข้าก็จะตัดลิ้นเจ้าทิ้งเสีย!”
พูดจบ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็ชักกริชจากอกเสื้อ ชันคางเด็กชายขึ้น ใช้นิ้วดึงลิ้นเขาออกมา
“ช้าก่อน!”
น้ำเสียงแก่ชราดังออกมาจากในป่าที่อยู่ห่างไปไม่ไกล จากนั้นหญิงชราคนหนึ่งก็ถือไม้เท้าเดินออกมาด้วยสีหน้าดุดัน ครั้งนี้เป็นหญิงชราตัวจริงเสียงจริงไม่ผิดแล้ว
ข้างกายนางมีชายหญิงแต่งกายประหลาดคู่หนึ่งเดินตามอยู่ รวมถึงเด็กชายสามคนที่ใช้โคลนทาหน้าเช่นเดียวกับเด็กชายคนแรก เด็กชายทั้งสามถือคบเพลิงเดินอยู่ด้านหน้าสุด หนึ่งในนั้นชี้ไปทางจีหมิงซิวแล้วกระซิบบางอย่างกับหญิงชรา
หญิงชราหันไปพยักหน้าให้เด็กหนุ่ม ไม่ได้รีบร้อนจะหันมองจีหมิงซิว แต่มองไปยังเด็กน้อยที่เกือบจะถูกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยตัดลิ้นก่อน แล้วจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึมว่า “ปล่อยหลานข้า!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหัวเราะหึหึ “ที่แท้เขาก็เป็นหลานชายเจ้านี่เอง บอกมาตามตรง พวกเจ้าเป็นใครกันแน่ ที่มาหลบอยู่ในภูเขานี้มีจุดประสงค์อะไร คนของพวกเราถูกเจ้าจับไปใช่หรือไม่”
หญิงชราตะคอกกลับว่า “เจ้าบุกรุกเข้ามาในเขตแดนของข้ายังยังจะกล้าถามถึงฐานะของข้าอีกหรือ หากรู้ว่าต้องทำเช่นไรก็ปล่อยหลานข้าเสีย! ข้าจะยอมไว้ชีวิตพวกเจ้า ไม่เช่นนั้นวันนี้พวกเจ้าอย่าได้คิดจะรอดกลับไปเลย!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยิ้มเยาะ “หึ ช่างปากล้านักนะ! หากเจ้ากล้าฆ่าพวกเรา ข้าก็จะฆ่าหลายชายเจ้าก่อน!”
หญิงชราไฟโทสะสุมทรวง ชี้ไม้เท้าไปทางจีหมิงซิว “จับตัวเจ้านั่นมาให้ข้า!”
ชายหนุ่มข้างกายหญิงชราทะยานตรงเข้าไปหาจีหมิงซิว เยี่ยนเฟยเจวี๋ยคิดว่าวิชาตัวเบาของตนต่อให้เทียบกับอาจารย์ตาฮั่วไม่ได้ แต่ในจงหยวนก็ไม่มีใครเทียบชั้นเขาได้ ไม่คิดเลยว่าเขาไม่ทันกระทั่งได้ลงมือ คนผู้นั้นก็กางกรงเล็บเหล็กพุ่งเข้าไปจะคว้าสะบักของจีหมิงซิวแล้ว!
เช่นนี้เท่ากับหมายใจที่จะแทงทะลุกระดูกหัวไหล่ของจีหมิงซิว
เยี่ยนเผยเจวี๋ยพลันหน้าถอดสี “นายน้อย…”
กรงเล็บเหล็กของบุรุษผู้นั้นจิกเข้าที่หัวไหล่ของจีหมิงซิว แต่กระนั้นเขายังไม่ทันออกแรง จู่ๆ ก็ร้องโหยหวน ดึงกรงเล็กเหล็กกลับแล้วถอยหลังไปหลายก้าว มองจีหมิงซิวด้วยสีหน้านิ่งอึ้ง
รองแม่ทัพสวีอาศัยจังหวะนั้นพุ่งฝ่ามือใส่ชายหนุ่มทันที!
ชายหนุ่มถอยไปอยู่ข้างกายหญิงชรา กระซิบบางอย่างที่ข้างหูก่อนที่สายตาหญิงชราจะสั่นไหว มองจีหมิงซิวด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ
วินาทีต่อมานางได้กระทำสิ่งที่ทำให้ทุกคนตะลึงงัน
นางโยนไม้เท้าทิ้ง เดินซวนเซเข้ามา
จีหมิงซิวมองนางนิ่งๆ
สายตานางเต็มไปด้วยความตกตะลึง ยิ่งเดินเข้ามาใกล้ก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ “เจ้าก็คือ…คุณชายใหญ่บ้านตระกูลจี?”
“ถูกต้อง” จีหมิงซิวตอบ
นางจับแขนจีหมิงซิวไว้ คุกเข่าลงด้วยตัวสั่นเทา “บ่าว…คารวะนายน้อย!”