หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 434-2 ล่องูออกจากถ้ำ (4)
ตอนที่ 434-2 ล่องูออกจากถ้ำ (4)
เฉียวเวยหันกลับไปเห็นมารดาของตนเองหยิบกริชออกมาเล่นตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบก็ถามว่า “ท่าแม่ ท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่”
เฮ่อหลันชิงลูบคมของกริชเฟิ่นเทียน แล้วตอบอย่างไม่ใคร่ใส่ใจ “แม่กำลังคิดว่า เมื่อใดจึงจะได้ต่อยตีกับสตรีนางนั้นสักยก”
เฉียวเวย “…”
พูดกันมาตั้งนาน ท่านกำลังคิดว่าตนเองกับนางผู้ใดจะเก่งกาจกว่ากันอย่างนั้นหรือ
แน่นอนต้องเป็นท่านสิ ท่านเป็นแม่ของข้าเชียวนะ!
เฉียวเวยยอมรับว่าคิดเข้าข้างตนเองอยู่บ้างเล็กน้อย
มารดาของนางวรยุทธ์แข็งแกร่ง แม้แต่ราชันอสูรก็ยังเอาชนะมาได้ แต่คนผู้นั้นสั่งการราชันอสูรให้ทำงานแทนตนเองได้ พลังของนางย่อมไม่ด้อยกว่าราชันอสูร หากต้องปะทะกันขึ้นมา…
ประเดี๋ยวก่อนนี่มันเวลาใดแล้ว ยังจะคิดเรื่องนี้อยู่อีกหรือ
ต้องรีบตามหาเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคนกลับมาสิถึงจะเป็นเรื่องสำคัญ!
แม้พวกเขาสองคนจะไม่ได้ถูกลักพาตัวเป็นหนแรก แต่สติปัญญาของเจ้าซื่อบื้อจะเทียบกับสติปัญญาของคนผู้นั้นได้หรือ
หากพูดอีกมุมหนึ่งก็คือหนก่อนยังมีบิดาของนางคอยดูแลอยู่ แต่หนนี้มีผู้ใดเล่า
ฟู่เสวี่ยเยียนหรือ ฮ่าๆ!
“จั๋วหม่า”
องครักษ์เกราะทมิฬคนหนึ่งเดินสีหน้าเคร่งขรึมเข้ามา มือขวาทาบตรงหัวไหล่ซ้ายก้มตัวคำนับ
เฮ่อหลันชิงวางกริชเฟิ่นเทียนในมือลง แล้วมองเขานิ่งๆ “เป็นอย่างไรบ้าง”
องครักษ์เกราะทมิฬตอบว่า “พวกเขาออกจากเมืองแล้ว มีขบวนคนสองกลุ่มเดินทางแยกออกไปสองทิศ ไม่แน่ใจว่าคุณชายน้อยกับคุณหนูน้อยอยู่ในขบวนคนกลุ่มไหนขอรับ”
เฮ่อหลันชิงยกมุมปากอย่างชั่วร้าย “คิดจะเล่นกลตบตาอย่างนั้นหรือ”
“ฟู่เสวี่ยเยียนบอกว่าอย่างไร” เฉียวเวยหันไปมองอาต๋าเอ่อร์ที่แอบอุ้มใต้เท้าเจ้าสำนักหนีออกมา
อาต๋าเอ่อร์อึกอักครู่หนึ่งก็ตอบว่า “นางบอกว่านางจะกลับบ้านแล้วขอรับ”
ดูท่าจะออกเดินทางไปเยี่ยหลัวจริงๆ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะเดินทางไปทิศใด จุดหมายสุดท้ายก็ล้วนเป็นเยี่ยหลัว
เฮ่อหลันชิงกับจีหมิงซิวจึงกางแผนที่ วาดวงกลมหารือกันพักใหญ่ จนตัดสินใจเส้นทางและแผนการฉบับสุดท้ายออกมาได้
อีกฝ่ายแบ่งทัพเป็นสองทาง พวกเขาก็แบ่งทัพเป็นสองทางด้วยก็เท่านั้น
เฮ่อหลันชิงกับเฉียวเจิงจะมุ่งไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
จีหมิงซิวกับเฉียวเวยจะไล่ตามขบวนที่เดินทางไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
เฮ่อหลันชิงกับเฉียวเจิงออกเดินทางในคืนนั้นทันที
ฝ่ายจีหมิงซิวยังต้องเตรียมการอีกเล็กน้อย ก่อนอื่นเขาเขียนจดหมายให้จีอู๋ซวงกับอี้เชียนอินบอกให้พวกเขารอสือชีเลิกเก็บตัวฝึกฝนแล้วค่อยเดินทางขึ้นเหนือ หลังจากนั้นเขาก็เขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงฝ่าบาท ในจดหมายชี้แจงเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของ ‘เจาหมิง’ รวมไปถึงเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันนี้ แม้แต่ยาแก้พิษของหยกเถาวัลย์ม่วงก็ส่งไปที่วังหลวงพร้อมกันด้วย
ไม่ว่าฮ่องเต้จะอนุญาตหรือไม่เขาก็จะเดินทางออกจากเมืองหลวง ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำเช่นนี้เสียหน่อย
ต่อจากนั้นจีอู๋ซวงจึงส่งเยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดินทางไปที่คฤหาสน์กลางภูเขา คุมตัวมู่ชิวหยางคนนั้นมา
หากพวกเขาไล่ตามทนจนได้ตัวเด็กๆ กลับมากลางทางก็แล้วไป แต่หากทำไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นก็ทำได้เพียงพบกันที่เยี่ยหลัว มู่ชิวหยางเป็นซื่อจื่อของจวนมู่อ๋อง มีเขาเป็นโล่บังธนู คงลดเรื่องลำบากให้พวกเขาได้ไม่น้อย
เฉียวเวยกับสาวใช้หลายคนเก็บข้าวของในห้อง ปี้เอ๋อร์ดวงตาแดงระเรื่อ “ฮูหยิน ท่านพาข้าไปด้วยเถิดเจ้าค่ะ! ข้ารับประกันว่าจะไม่เพิ่มความลำบากให้ท่าน!”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “สาวน้อยโง่เขลา เจ้ากำลังจะแต่งงานแล้ว จะตามข้าขึ้นเหนือล่องใต้ ไม่กลัวเสี่ยวเว่ยมาเอาเรื่องข้าหรือ”
ปี้เอ๋อร์หน้าแดง “ถ้าเขากล้ามาเอาเรื่อง ข้า…ข้า…ข้าก็จะไม่แต่งงานแล้ว!”
เฉียวเวยหลุดหัวเราะพลางตบหัวไหล่ของนาง ก่อนจะเก็บข้าวของต่อโดยไม่กล่าวคำใด
ปี้เอ๋อร์รู้ดีว่าเฉียวเวยไม่คิดจะพานางไปด้วย แม้จะอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง แต่ก็เข้าใจว่าตัวภาระอย่างตนไปด้วยก็มีแต่จะเพิ่มความลำบากให้ฮูหยิน แล้วอีกฝ่ายก็ไม่ใช่สตรีที่จะมีชีวิตอยู่ไม่ได้หากขาดสาวใช้ ฮูหยินทำเป็นทุกสิ่ง นางดูแลตนเองและท่านเขยได้ดีอย่างยิ่ง ดังนั้นตนเองไปหรือไม่ไปก็ไม่สำคัญจริงๆ
นางเก็บสัมภาระจนเรียบร้อยอย่างเงียบๆ
เฉียวเวยนำผลสองภพกับยาที่จำเป็นติดตัวไปด้วยเล็กน้อย
ใต้เตียงมีตุ๊กตาผ้าที่หัวถูกกระชากจนขาดครึ่งนอนแอ้งแม้งอยู่ตัวหนึ่ง ไม่ต้องบอกก็ทราบว่าเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของเจ้าตุ้ยนุ้ยบางคน
บนกำแพงมีถุงใส่หนังสือแขวนอยู่สามใบ จิ่งอวิ๋นเป็นระเบียบเรียบร้อยเสมอ เขาไม่วางของระเกะระกะสักนิด บนโต๊ะมีตัวอักษรที่เขาคัดเมื่อคืนวางอยู่ ตัวอักษรแต่ละตัวบรรจงขึงขัง ลายเส้นแข็งแกร่งเหมือนจะทะลุไปถึงหลังกระดาษ
เฉียวเวยพับแผ่นกระดาษเก็บไว้ในอกเสื้ออย่างแผ่วเบา
ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้นทุกสิ่งก็ตระเตรียมเรียบร้อย เฉียวเวยลูบหน้าผากของหลิวเกอร์ หลิวเกอร์ยังหลับสนิทโดยไม่รู้ว่าค่ำคืนที่ผ่านมาเกิดเรื่องใดขึ้น วันพรุ่งนี้เมื่อตื่นมา…เขาก็คงไปอยู่ที่เรือนถงแล้ว
ตอนที่หมิงอันจูงรถม้ามาถึงบ้านชิงเหลียน จีหมิงซิวก็กลับมาจากฝั่งเรือนถงพอดี
ด้านหลังเขามีจีซั่งชิงตามมาด้วย
สิ่งที่สมควรพูดคุยกัน สองพ่อลูกได้คุยกันหมดแล้ว จีซั่งชิงกำชับหลายหนให้เฉียวเวยระวังตัวระหว่างทาง จากนั้นเขาก็เข้าไปในห้องอุ้มหลิวเกอร์ที่หลับสนิทกลับไปเรือนถง
จีหมิงซิวกับเฉียวเวยขึ้นรถม้า
เฉียวเวยลูบตุ๊กตาผ้าตัวน้อยในอกเสื้อ มีแต่คอยลูบเช่นนี้จึงเหมือนมองเห็นเจ้าตุ้ยนุ้ยตัวน้อยนั่งหัวเราะฮ่าๆ ให้นางอยู่ตรงนั้น เมื่อนึกถึงภาพนั้น หัวใจของนางก็บีบรัดจนเจ็บปวด “ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดนางต้องทำเช่นนี้ พาจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูไปมีประโยชน์อันใดต่อนางหรือ”
นัยน์ตาของจีหมิงซิวฉายแววเย็นยะเยือก “นางคงต้องการล่อพวกเราทุกคนให้เดินทางไปเยี่ยหลัว ส่วนจะล่อไปทำสิ่งใดนั้น คงต้องไปถามนางต่อหน้าแล้ว”
รถม้าแล่นเร็วดุจโบยบิน เพียงครู่เดียวก็บรรลุถึงประตูเมืองทิศเหนือ
เวลานี้ท้องฟ้ายังไม่ทันสว่าง ประตูเมืองปิดแน่น จีหมิงซิวแสดงป้ายประจำตัวอัครมหาเสนาบดี สั่งการให้ทหารรักษาการณ์เปิดประตูเมือง
ในตอนที่ทุกคนกำลังจะออกจากเมืองนั่นเอง ด้านหลังก็มีเสียงใสเย็นชาฟังเหมือนกังวานมาจากที่ไกลดังขึ้น เสียงนั้นคล้ายธารน้ำไหลรินจากภูเขาสูง ขณะเดียวกันก็คล้ายหยกงามในสระน้ำ
เฉียวเวยมุดศีรษะออกมานอกหน้าต่างรถแล้วหันกลับไปมอง จึงเห็นบุรุษอาภรณ์แดงคนหนึ่งถือร่มกระดาษน้ำมันสีขาววาดลายกิ่งท้อเยื้องย่างอย่างสุขุมสง่างามเข้ามาหา
“เจ้าเองหรือ” เฉียวเวยกระแอม
ชายหนุ่มยกมุมปากขึ้นนิดๆ แววตาลึกล้ำไม่อาจหยั่งถึงความคิดไล่มองข้ามหัวไหล่ของเฉียวเวยไปจับบนใบหน้าของจีหมิงซิว ไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกที่คิดไปเองของเฉียวเวยหรือไม่ แต่นางมักจะรู้สึกว่าเจ้าหมอนี่มองสามีของตนด้วยแววตาที่ไม่ธรรมดา
จีหมิงซิวไม่สนใจจะมองเขา
ริมฝีปากของชายหนุ่มเหยียดออกเป็นรอยยิ้มเย็นชาน้อยๆ จนแทบจะมองไม่เห็น เพียงสายลมพัดผ่านก็มลายหาย เขาหันไปมองเฉียวเวยแล้วพูดขึ้นเรียบๆ ว่า “แม้เจ้าจะเคยกลั่นแกล้งเจ้าหอผู้นี้ แต่เจ้าหอผู้นี้มิใช่คนถ่อยจิตใจคับแคบพรรค์นั้น”
“อ้อ” ท่านไม่พูดถึงเรื่องนี้มานาน ข้าก็เกือบลืมไปแล้วนะนี่ แช่อยู่ในส้วมหนหนึ่ง ท่านอาบน้ำไปนานเท่าไรเล่าหืม คงไม่ใช่ว่าอาบน้ำจนถึงวันนี้เพิ่งจะออกมาจากบ้านกระมัง
ชายหนุ่มแค่นเสียงดังเหอะเรียบๆ แล้วส่งกล่องใบหนึ่งให้เฉียวเวย “เก็บไว้ให้ดี ทะเลทรายอันตราย ถึงเวลาสำคัญบางทีของในกล่องอาจมีประโยชน์”
เฉียวเวยสงสัยใคร่รู้อยากจะเปิดออกดู
เขาบอกว่า “รอถึงเวลาที่จะใช้ค่อยเปิด”
เฉียวเวยมองเขาอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่องครึ่ง “เจ้า คงได้หลอกข้าเล่นกระมัง”
“ไม่ต้องการเจ้าก็โยนทิ้งไปเสีย”
ชายหนุ่มพูดด้วยเสียงราบเรียบจบก็ถือร่มกระดาษน้ำมัน เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
คนเดินจากไปไกลแล้ว แต่คล้ายกับมีคำพูดประโยคหนึ่งลอยมาจากสถานที่ที่ระบุไม่ได้ “เลิกเรียกแบบไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่สักที ข้าก็มีชื่อ นามว่ากงซุนฉางหลี”
—————————