หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 436-1 เจ้าตุ้ยนุ้ยแผลงฤทธิ์
ตอนที่ 436-1 เจ้าตุ้ยนุ้ยแผลงฤทธิ์
เมืองผูตั้งอยู่ทางเหนือของต้าเหลียง หลายปีก่อนพวกเขาเคยเป็นชนเผ่าเล็กๆ ที่อยู่ใต้ปกครองของเผ่าซยงหนีว์ ต่อมาไม่รู้ว่าเกิดความขัดแย้งอะไรกับเผ่าซยงหนีว์ พวกเขาจึงใจกล้าประกาศขอแยกตัวเป็นอิสระ
เผ่าซยงหนีว์ย่อมไม่พอใจ พวกเขารวบรวมนักรบผู้กล้านับแสน หมายจะบุกลงใต้มากำจัดชนเผ่ากระจ้อยร่อยแห่งนี้ แต่ชนเผ่าเล็กๆ แห่งนี้กลับหัวไว พริบตาเดียวก็หันไปซบต้าเหลียง
พูดกันตามตรงเมืองที่จิตใจโลเลไหวเอนเป็นยอดหญ้าเช่นนี้ย่อมไม่เป็นที่ต้อนรับ ดังนั้นราชสำนักจึงไม่ถือว่ามันเป็นเมืองของตนเองอย่างจริงจังอะไร ฉากหน้าแต่งตั้งเป็นเมืองแห่งหนึ่ง แต่ลับหลังปล่อยให้มันเป็นไปตามยถากรรม แต่ละปีได้บรรณาการมาเล็กน้อยและหากเกิดศึกกับเผ่าซยงหนีว์ขึ้นมาก็ยังยืมเสบียงจากเมืองแห่งนี้ได้ ยืมแล้วยังไม่ต้องคืนอีกต่างหาก แล้วเหตุใดจะไม่ยินดีรับเล่า
ราชสำนักทำเช่นนี้ย่อมกระตุ้นโทสะของเผ่าซยงหนีว์ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างราชสำนักกับเผ่าซยงหนีว์แต่เดิมก็ตึงเครียดอยู่แล้ว แม้ไม่มีเรื่องนี้ ทั้งสองฝ่ายก็ต่อสู้กันไม่หยุดหย่อน พวกเขาจึงไม่เห็นเรื่องน่ารำคาญของเมืองผูอยู่ในสายตา
หากไม่มีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ระหว่างฮ่องเต้กับฮองเฮา เมืองผูก็นับว่าเป็นพันธมิตรและด่านปราการที่ไม่เลวทีเดียวจริงๆ
สิ่งก่อสร้างของเมืองผูกับของชนเผ่าถ่าน่ามีจุดที่คล้ายคลึงกันซ่อนอยู่ในความแตกต่าง พวกเขาก่อสร้างปราสาทสูงที่แข็งแกร่งดุจปราการเหล็ก สี่ด้านของปราสาทขุดคูน้ำป้องกันเมืองกว้างถึงห้าจั้ง กองทัพใหญ่กองใดอยากรุกรานเมืองของพวกขา ยังมิทันข้ามน้ำก็คงถูกห่าธนูจากบนกำแพงเมืองยิงตายเสียก่อนแล้ว
เมืองผูมีประตูเมืองทั้งหมดเพียงสองบาน ประตูเมืองทิศใต้กับประตูเมืองทิศเหนือ ออกจากประตูเมืองทิศใต้มาก็จะเป็นเมืองฉีสุ่ยของต้าเหลียง ออกจากประตูเมืองทิศเหนือไปก็จะเป็นเขาอวี้เซียงของเผ่าซยงหนีว์
ทุกวันประตูเมืองผูจะเปิดออกสองหน แต่ละหนกินเวลาหนึ่งชั่วยาม ตอนเช้าหนึ่งหนและตอนบ่ายอีกหนึ่งหน
ตอนพวกชางจิวยกขบวนเดินทางมาถึงนอกประตูเมืองทิศใต้อย่างเอิกเกริกก็เลยเวลาที่ประตูเมืองเปิดตอนเช้าแล้ว หากพวกเขาอยากจะเข้าเมืองก็จำเป็นต้องรอตอนบ่าย แต่พวกเขาไม่มีเวลารอ ยิ่งรั้งรอนานขึ้นเท่าใดก็มีความเสี่ยงที่จะถูกไล่ตามทันเพิ่มขึ้นเท่านั้น
รถม้าที่สภาพภายนอกไม่สะดุดตาสามคันจอดอยู่ริมถนนหลวง นักรบมรณะกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ด้านข้างอย่างน่าเกรงขาม ชางจิวขี่ม้าเยาะย่างมาด้านหน้า เขามองไปยังทหารรักษาการณ์บนกำแพงเมือง เสียงที่แฝงกำลังภายในเปี่ยมล้นของชางจิวถามว่า “เจ้าเมืองอยู่ที่ใด”
บุรุษสวมชุดเกราะคนหนึ่งเดินออกมา ทหารรักษาการณ์บนกำแพงเมืองหลีกทางให้โดยอัตโนมัติ พร้อมกับประสานมือคำนับ “แม่ทัพเสิ่น”
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าแม่ทัพเสิ่นเดินไปถึงริมกำแพงเมือง มือข้างหนึ่งวางลงบนก้อนหินสี่เหลี่ยมที่ก่อสูงขึ้นมาก้อนหนึ่ง จากนั้นใช้สายตาที่ไม่ค่อยเป็นมิตรนักเหลือบมองคณะเดินทางที่อยู่ใต้กำแพงเมือง
คนที่นำขบวนคือตาเฒ่าคนหนึ่ง มีองครักษ์ท่าทางแข็งแกร่งอยู่อีกสามสิบคน ในดวงตาขององครักษ์สัมผัสถึงกลิ่นอายของคนเป็นไม่ได้สักนิด
รถม้าสามคันที่ถูกองครักษ์ห้อมล้อมอยู่ตรงกลางดูภายนอกไม่สะดุดตา รถม้าทั้งหมดเงียบสงบอย่างยิ่ง แต่เมื่อสายตาของเขาจับลงบนรถม้าคันที่สาม หัวใจก็หนาววูบขึ้นอย่างไร้สาเหตุ
ราวกับว่า…ด้านในบรรจุสิ่งที่น่ากลัวบางอย่าง
แม่ทัพเสิ่นนับว่าเป็นแม่ทัพผู้เจนสนามรบ คนที่อยู่ในรถม้าห่างจากเขาขนาดนี้ แต่กลับทำให้เขาหวาดผวาได้มีอยู่ไม่กี่คนจริงๆ เขาหวังว่าลางสังหรณ์ของตนเองจะผิด
เขาวางสีหน้าขึงขังมองชางจิว น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยขึ้นว่า “โจรกระจอกจากที่ใดกล้ามาถามหาเจ้าเมือง”
ชางจิวเงยหน้าขึ้น ใต้หนังตาที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นคือแววตมคบกริบดุจกระบี่ “พวกข้าต้องการเข้าเมือง”
แม่ทัพเสิ่นแค่นเสียงหยันคำหนึ่งแล้วว่า “ประตูเมืองปิดแล้ว ค่อยมารอบหน้า”
ชางจิวเอ่ยว่า “พวกข้าต้องการเข้าเมืองตอนนี้ เจ้าจงไปแจ้งเจ้าเมืองของเจ้าว่าทูตจากเยี่ยหลัวมาเยือน ขอให้เขารีบเปิดประตูเมืองโดยไว”
“เยี่ยหลัวหรือ” แม่ทัพเสิ่นพึมพำอย่างฉงน ข่าวที่คนเยี่ยหลัวปะปนเข้าไปในต้าเหลียงพร้อมกับคณะทูตซยงหนีว์แพร่มาถึงเมืองผูนานแล้ว เรื่องน่าตกใจอย่างการที่ชาวเยี่ยหลัวหมายตาแผ่นดินอยู่ พวกเขาก็ตกใจจบไปนานแล้ว สิ่งที่ทำให้เขาตกใจตอนนี้ก็คือหากพวกเขาเป็นคนเยี่ยหลัวจริง เหตุใดจึงเดินทางมาเมืองผูเล่า
“ทูตจากต่างเผ่าจะเดินทางผ่านด่านชายแดนก็สมควรเดินทางผ่านเมืองหยวนอันสิ”
เมืองหยวนอันถึงจะเป็นอาณาเขตที่แท้จริงของต้าเหลียง
ชางจิวมองเขาแล้วตอบว่า “เมืองหยวนอันเกรงว่าจะเดินทางไปไม่ได้แล้ว ขอเจ้าเมืองผูช่วยอำนวยความสะดวกให้ด้วย”
แม่ทัพเสิ่นหัวเราะหยัน “จะมีเหตุใดให้เดินทางผ่านไม่ได้ หรือว่าพวกเจ้าเจรจากับราชสำนักล้มเหลว กำลังถูกราชสำนักไล่ล่าอยู่หรืออย่างไร”
ชางจิวจ้องเขาเขม็งแต่ไม่รีบร้อนเอ่ยปฏิเสธ เขาล้วงกล่องใบน้อยใบหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ จากนั้นเคลื่อนกำลังภายในโยนมันส่งให้แม่ทัพเสิ่น
แม่ทัพเสิ่นไม่โง่ถึงขั้นใช้มือออกไปรับ แส้เส้นหนึ่งรัดรอบกล่องหน้าตางดงามเหวี่ยงใส่กำแพง กล่องหน้าตางดงามกระแทกจนแหลกหลาญ จดหมายฉบับหนึ่งกับตราฉางเฟิงสื่อของเยี่ยหลัวร่วงออกมา
ทหารรักษาการณ์หยิบจดหมายกับตราขึ้นมาประคองส่งให้แม่ทัพเสิ่นด้วยสองมือ
แม่ทัพเสิ่นมองดูตราก่อน เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่ใช่ของปลอมจึงเปิดจดหมายฉบับนั้น
หลังจากอ่านจบมุมปากของแม่ทัพเสิ่นก็ผุดรอยยิ้มมีเลศนัยขึ้นมา “ที่แท้ก็แขกผู้สูงศักดิ์ เสียมารยาทแล้ว เสียมารยาทแล้ว ทหาร ทอดสะพาน เปิดประตูเมือง!”
…
ขณะที่ขบวนเดินทางของชาวเยี่ยหลัวเดินทางข้ามสะพานเข้าประตูเมืองผูไปอย่างยิ่งใหญ่ เฉียวเวยกับจีหมิงซิวก็ค้นหาจุดที่เหมาะสมเตรียมตัวจะเข้าเมืองผูเช่นกัน
เพราะฐานะในราชสำนักที่ชวนให้กระอักกระอ่วนของทั้งสองคน การจะเดินเข้าเมืองผูอย่างสง่าผ่าเผยย่อมเป็นไม่ได้อย่างสิ้นเชิง การตรวจสอบของเมืองผูเข้มงวดกว่าเมืองอื่นมาก ต่อให้ปลอมตัวก็มีความเสี่ยงที่จะถูกตรวจพบอยู่ดี แทนที่จะเป็นเช่นนั้น มิสู้เลือกหนทางที่เหมาะสมกว่า
ด้านหลังเนินเขาขนาดเล็กแห่งหนึ่ง เฉียวเวยมัดเปียอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเสียบกริชไว้ในรองเท้าหุ้มข้อสั้น จีหมิงซิวถอดผ้าคลุมกันลมออกไปแล้ว เผยให้เห็นร่างกายสูงเพรียวกับชุดจอมยุทธ์ทะมัดทะแมง เมื่อก่อนมักจะคิดว่าเขาเป็นพวกที่สวมอาภรณ์แล้วดูผอม ยามถอดอาภรณ์กลับมีกล้ามเนื้อ แต่วันนี้เห็นแล้วถึงเพิ่งตระหนักว่าต่อให้สวมอาภรณ์อยู่ก็ปกปิดกล้ามเนื้อแข็งแกร่งทั่วร่างเขาไม่ได้
จิ๊ๆ ยั่วยวน ยั่วยวนไปเสียทุกส่วน!
เฉียวเวยแอบหยิกตนเองไปหนึ่งหน ต้องช่วยลูกทั้งสองคนก่อนสิ ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้นางยังจะถูกเสน่ห์ของบุรุษยั่วยวนได้อีก จะเป็นสัตว์ร้ายเกินไปแล้ว!
สองสามีภรรยาเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว เฉียวเวยก็เข้าไปหลบหลังเนินเขา จีหมิงซิวอาศัยกิ่งไม้อำพราง จับตาดูความเคลื่อนไหวบนกำแพงเมือง รอจนกระทั่งทหารรักษาการณ์ที่เฝ้ากำแพงเมืองคนนั้นหันกลับไปทำอะไรบางอ่าง จีหมิงซิวจึงจับมือของเฉียวเวยดำลงไปในคูเมืองด้วยกัน
สิ่งที่ควรเอ่ยถึงสักหน่อยก็คือ น้ำของคูเมืองเป็นน้ำนิ่ง คุณภาพน้ำไม่ดีเท่าไรนัก ด้วยเพราะเหตุนี้ทั้งสองคนจึงดำน้ำข้ามไปได้สำเร็จ มิเช่นนั้นยังไม่ทันดำได้ถึงครึ่งทางก็คงถูกทหารรักษาการณ์บนกำแพงพบตัวแล้ว
ทว่าเรื่องนี้ก็ทำให้ทั้งสองคนลำบากแสนสาหัสเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีหมิงซิว ระดับความรักสะอาดของเขาสู้กงซุนฉางหลีไม่ได้ก็จริง แต่การแหวกว่ายอยู่ในน้ำสกปรกที่มีปลาตายลอยตุ๊บป่องกับการแช่อยู่ในน้ำที่มีสิ่งปฏิกูลก็ไม่ต่างกันเท่าใดนัก
ในตอนที่คุณชายหมิงเกือบจะอดทนไม่ไหวแล้วนั่นเอง ในที่สุดทั้งสองคนก็ดำลงมาถึงใต้กำแพงเมือง ศีรษะของทั้งสองคนรีบโผล่ขึ้นมาที่ผิวน้ำสูดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่
ตรงจุดนี้นับว่าเป็นจุดอับสายตาของกำแพงเมืองที่ถูกสร้างอยู่เหนือผิวน้ำ
เฉียวเวยลูบแผ่นหินเขียวเหนือศีรษะ “หนาพอสมควร”
จีหมิงซิวลูบน้ำสกปรกบนใบหน้าอย่างขนลุกขนพอง พลางข่มกลั้นความรู้สึกอยากจะอาเจียนเอาไว้แล้วถามว่า “เจาะได้หรือไม่”
“ข้าจะลองดู” เฉียวเวยชักกริชออกมาจากรองเท้าหุ้มข้อของตนเอง
จีหมิงซิวดันเอวของนางเป็นหลักให้หยัดกาย
เฉียวเวยไม่ต้องสิ้นเปลืองแรงลอยตัวอยู่ในน้ำแล้ว นางจึงจดจ่อสมาธิกับการตัดแผ่นหินเขียวเหนือศีรษะ ความจริงพวกเขาก็ไม่แน่ใจว่าหากตัดแผ่นหินออกแล้วจะไปโผล่ที่ใด บางทีอาจเป็นห้องห้องหนึ่ง หรืออาจเป็นคุกสักแห่งหนึ่ง หากเป็นอย่างหลังพวกเขาก็โชคดีจนน่าตกใจจริงๆ
กริชเฟิ่นเทียนตัดเหล็กได้ประหนึ่งโคลน ก้อนหินจึงไม่ใช่ปัญหา หลังจากกรีดดังฉึบๆ อยู่หลายครั้ง เฉียวเวยก็เจาะช่องเล็กๆ ช่องหนึ่งออกมาได้ นางแนบลูกตาข้างหนึ่งกับช่องเล็กๆ นั่นเพื่อส่องดู แสงตะวันแสบตาทิ่มแทงดวงตาของนางจนเกือบบอด!
“ซี้ด…” นางหลับตาลง แล้วสูดปากเสียงดัง
จีหมิงซิวเพ่งสมาธิฟังก็พบว่าเสียงค่อนข้างเอะอะ แต่ฟังอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่เห็นมีผู้ใดเดินเข้ามาด้านบนนี้
“นี่มันสถานที่บ้าอะไรกันแน่” เฉียวเวยขยี้ตา
ฝ่ามือใหญ่ของจีหมิงซิวทาบทับลงบนดวงตาของนางให้นางหลับตาได้อย่างสบายขึ้น แล้วตอบว่า “เป็นสถานที่กลางแจ้งสักแห่ง ใกล้ๆ มีถนนเส้นหนึ่ง”
เฉียวเวยตกตะลึง “ถนนหรือ ถ้าเช่นนั้นพวกเราขึ้นไปจะไม่ถูกคนจับได้หรือ”
จู่ๆ บนพื้นมีคนโผล่ออกมาสองคนอย่างไม่มีที่มา ผู้ใดเห็นก็ต้องคิดว่าเป็นโจร ถ้าเช่นนั้นเรื่องต้องแดงไปถึงหูทหารรักษาการณ์ที่เฝ้าเมืองแน่
จีหมิงซิวเอามือที่ปิดอยู่บนดวงตาของนางออก จากนั้นก็เกลี่ยเส้นผมเปียกโชกที่ติดอยู่บนแก้มของนาง แววตาฉายความรู้สึกผิดและเจ็บปวดใจจางๆ แต่เขาปกปิดมันไว้ดีอย่างยิ่งจนนางมองไม่ออก “ไม่มีทาง เสียงอยู่ค่อนข้างไกล แถวนี้ไม่มีคน เคลื่อนไหวเร็วสักหน่อยก็น่าจะไม่ถูกพบตัว”