หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 444-1 หาจิ่งอวิ๋นพบแล้ว
ตอนที่ 444-1 หาจิ่งอวิ๋นพบแล้ว
หลังออกจากเมืองผูเดินทางขึ้นเหนือราวยี่สิบลี้ก็บรรลุถึงเมืองไป๋มั่ว เมืองแห่งนี้เป็นเมืองเล็กแห่งแรกตรงชายแดนของเผ่าซยงหนีว์ มันไม่นับว่าเป็นเมืองที่รุ่งเรือง แต่เพราะอยู่ใกล้ค่ายหทารจึงมีม้าชั้นดีไม่น้อย
เฉียวเวยใช้เงินที่ค้นเจอจากรถม้าของฮองเฮา นางจึงไม่ปวดใจเวลาจ่ายเงินเลยสักนิด ไม่เพียงเอารถม้าทั้งสามคันไปแลกเป็นอาชาชั้นยอดที่ดีที่สุดจากระยะพันลี้มาได้ แต่ยังแลกอาชาศึกชั้นเยี่ยมมาให้องครักษ์ห้านายที่ติดตามมาได้อีกด้วย
รถม้าสามคัน เฉียวเวยหนึ่งคัน ราชครูหนึ่งคัน อีกคันหนึ่งบรรจุสัมภาระและเงินทอง
สือชีไม่ขี่ม้าแล้วก็ไม่นั่งในรถม้า เขาชอบเหาะเหิน
ตลาดทางเห็นเขาคอยกระโดดขึ้นกระโดดลง ประเดี๋ยวก็โฉบผ่านเหนือศีรษะของทุกคนไป ประเดี๋ยวก็พุ่งถลาผ่านไปด้านข้างของรถม้าประหนึ่งค้างคาวสีดำตัวหนึ่ง
เฉียวเวยคิดว่าเขากำลังฝึกฝนวิชาตัวเบาจึงไม่ได้ขัดขวาง
การเดินทางจากเมืองไป๋มั่วไปถึงเขาอูเปี๋ย หากหวดแส้เร่งม้าจะใช้เวลาเพียงห้าวัน แต่บนรถม้ามีคนเจ็บอยู่ด้วย พวกเขาจึงควบตุเลงๆ เร็วเกินไปไม่ได้
ศิษย์เอกปลอบเฉียวเวยว่าไม่ได้มีแต่พวกเราที่มีคนเจ็บเสียหน่อย พวกเขาเองก็มีเหมือนกัน แล้วยังเจ็บหนักกว่าอีกด้วย
จะเจ็บหนักกว่าหรือไม่นั้นเฉียวเวยไม่รู้ แต่นางเคยได้ลิ้มรสความร้ายกาจของธนูคันที่สองมาแล้ว มันยิงคนให้ร่อแร่ใกล้ตายได้จริง แต่เจ้าหมอนั่นพลังบรรลุถึงขั้นราชันอสูรแล้วน่าจะไม่ตกตายง่ายดายเช่นนั้น เพียงแต่ว่าก็คงต้องเร่งรีบรักษาและดูแลอย่างใส่ใจเช่นกัน หากมองจากเรื่องความเร็วของรถ อีกฝ่ายคงจะไม่ใช่ฝ่ายที่ได้เปรียบ
ยามเที่ยงวันนี้คณะเดินทางกินเสบียงที่เป็นของแห้งสองสามคำกลางทุ่งหญ้ากว้าง ทุกคนที่นั่นมีเพียงเฉียวเวยที่ทำอาหารเป็น แต่นางดันไม่มีอารมณ์จะทำอาหาร ท่านราชครูกับศิษย์เอกผู้ใช้ชีวิตอย่างหรูหรากินดีอยู่ดีมาตลอด พอต้องทนกินเสบียงแห้งที่แข็งโป้กก็รู้สึกเหมือนการกินเทียนไขอยู่กลายๆ
เฉียวเวยกินหมั่นโถวเย็นชืดในมือหมดก็หยิบถุงน้ำขึ้นมาดื่มอึ้กๆ หลายคำ แล้วหันไปถามราชครูที่กินด้วยสีหน้าทุกข์ทรมานอยู่ว่า “ยังอีกไกลหรือไม่กว่าจะถึงเขาอูเปี๋ย”
ราชครูผู้เคี้ยวหมั่นโถวคำหนึ่งอยู่แต่ยังไม่ทนกลืนลงไปเกือบจะติดคอตายแล้ว
เฉียวเวยช่วยหยิบถุงน้ำให้เขาแล้วดึงจุกออก เขารับไปกรอกน้ำลงคอคำโต เขารู้สึกเหมือนหมั่นโถวแห้งๆ ลงไปจุกที่หน้าอกจนมันแทบปริ เขาตั้งสติหอบหายใจแล้วพูดออกมาสองสามประโยค
ศิษย์เอกพูดว่า “ท่านอาจารย์ของข้าบอกว่า หากเดินทางได้เร็วคืนวันนี้ก็คงไปถึงคฤหาสน์เขาอูเปี๋ย ค้างที่คฤหาสน์หนึ่งคืน วันพรุ่งนี้ก็เข้าไปในเขาอูเปี๋ยได้แล้ว”
เฉียวเวยพยักหน้าเงียบๆ
ทว่าพริบตาต่อมาก็ได้ยินศิษย์เอกพูดอีกว่า “แต่วันนี้อากาศไม่ดี อาจจะมีฝนตก”
คำพูดนี้เพิ่งถูกเอ่ยออกมายังไม่ทันถึงหนึ่งชั่วยามก็มีฝนห่าใหญ่ตกลงมาจริงๆ อากาศเช่นนี้ต่อให้อยู่บนทุ่งหญ้าก็เดินทางไม่สะดวกอย่างยิ่ง หากตอนดึกหาที่พักไม่ได้ขึ้นมา อุณหภูมิบนทุ่งหญ้าคงทำให้คนแข็งตายทั้งเป็น
คณะเดินทางจำเป็นต้องหาหมู่บ้านสักแห่งใกล้ๆ คนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านล้วนมีแต่คนเลี้ยงสัตว์ ไม่มีอาคารกำแพงแดงก่ออิฐมุงกระเบื้อง มีแต่กระโจม
ศิษย์เอกใช้ภาษาซยงหนีว์งูๆ ปลาๆ หาครอบครัวที่ยินดีให้หยิบยืมกระโจมพักค้างแรมได้หนึ่งครอบครัว บุรุษในครอบครัวนี้ออกไปล่าสัตว์ ในบ้านจึงเหลือแม่เฒ่ากับลูกสะใภ้และทารกที่ร้องอุแว้ๆ รอคอยอาหาร ตอนแรกแม่เฒ่ากับลูกสะใภ้เห็นบุรุษมากมายขนาดนี้ก็คิดว่าเป็นกองโจรบุกมาเสียอีก ต่อมาพอเห็นเฉียวเวยกับเด็กน้อยที่นางอุ้มไว้ในอ้อมแขนถึงยอมเชื่อว่าพวกเขาไม่ใช่คนเลวอะไร
เฉียวเวยมอบค่าที่พักให้มากพอ แม่เฒ่ากับลูกสะใภ้จึงต้มสุรานมม้าหม้อใหญ่ เชือดแพะหนึ่งตัวมาทำแพะหัน แล้วยังต้มน้ำแกงเครื่องในแพะให้อีกหลายถ้วยเพื่อต้อนรับแขกที่จ่ายเงินใจป้ำกลุ่มนี้
ราชครูกับศิษย์เอกที่ต้องกินเสบียงแห้งๆ มาหลายวันประคองน้ำแกงเครื่องในแพะหอมฉุยเอาไว้ พวกเขาตื้นตันจนน้ำตาไหลพราก
เฉียวเวยไม่มีความอยากอาหารเท่าไรนัก นางฝืนกินลงไปหนึ่งชามก็กลับไปพักที่กระโจมของตนเอง
นางคิดถึงจิ่งอวิ๋น คิดถึงจนหัวใจเจ็บไปหมด…
บุตรสาวนอนสบายอยู่ในอ้อมแขนของนางกับจีหมิงซิวแล้ว แต่บุตรชาย…กลับยังอยู่กับพวกคนเลือดเย็นไร้หัวใจ พวกเขาจะทำอะไรกับจิ่งอวิ๋นบ้าง จะรังแกเขาหรือไม่ จะทำร้ายเขาหรือเปล่า
เฉียวเวยขยำผ้าห่มขนสัตว์แน่น…
…
เผ่าซยงหนีว์เป็นชนเผ่าเร่ร่อนที่มีดินแดนกว้างขวางเผ่าหนึ่ง ไม่เพียงมีทุ่งหญ้า แต่ยังมีทะเลทราย แล้วยังมีภูเขากับแหล่งน้ำอีก
บนภูเขาเขียวขจีที่มีต้นไม้งอกงามลูกหนึ่ง เงาร่างเล็กผอมร่างหนึ่งมุดลอดไปตามแมกไม้อย่างอิสระเสรี บางครั้งเขาก็ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่แล้วเด็ดผลไม้ลงมาสองสามลูก
“เอ้า เสี่ยวไป๋”
เสี่ยวไป๋อ้าปากใหญ่โต (เสียที่ไหน) สีแดงสดของตนเองออก แล้วกัดผลไม้ลูกน้อยสีดำปี๋ที่จิ่งอวิ๋นส่งให้หนึ่งคำ
ติ๊ง!
โลกสว่างไสวแล้ว! สว่างไสวแล้ว! สว่างไสวแล้ว!
จิ่งอวิ๋นถอนหายใจเบาๆ เสี่ยวไป๋ชอบกินถึงขนาดนี้จะต้องมีพิษแน่นอน
เสี่ยวไป๋กระโจนเข้ามากินผลไม้น้อยสีดำปี๋จนหมดเกลี้ยง!
จิ่งอวิ๋นหิวโซ ท้องร้อง จ๊อกๆ!
เดินมาได้อีกระยะหนึ่งก็พบผลไม้น้อยสีแดงก่ำพุ่มหนึ่ง แต่ละผลมีขนาดประมาณไข่ไก่หนึ่งฟอง สีสันสดสวย มองแวบแรกเหมือนกับโคมไฟสีแดงดวงน้อยที่ห้อยอยู่บนใบไม้สีเขียว
จิ่งอวิ๋นป้อนให้เสี่ยวไป๋หนึ่งลูก สีหน้าของเสี่ยวไป๋ปกติอย่างยิ่ง
อันนี้ดูท่าจะกินได้แล้ว
จิ่งอวิ๋นเด็ดมาตุงกระเป๋าแขนเสื้อ แต่ยังไม่รีบกินทันที เขาเดินไปด้านหน้าอีกระยะหนึ่ง พอเห็นต้นไม้ต้นหนึ่งที่หน้าตาคล้ายต้นพุทรา แต่ผลที่ออกมาคล้ายกับผลสองภพ เขาก็ปีนขึ้นไปบนต้นไม้
รอจนปีนเข้ามาใกล้แล้วถึงค้นพบว่าไม่ใช่ผลสองภพ แค่กลิ่นหอมก็ด้อยกว่าผลสองภพมากแล้ว เมื่อเห็นเสี่ยวไป๋ไม่ทำหน้าน้ำลายไหล เขาก็ตัดสินใจเด็ดมาเจ็ดแปดผล
ห่อผ้าบรรจุผลไม้ตุงแน่น
หนึ่งมนุษย์ หนึ่งเดรัจฉานตามหาลำธารสายน้อยจนพบ จิ่งอวิ๋นย่อตัวลงแล้วใช้มือน้อยที่หนาวจนใกล้แห้งแตกหยิบผลไม้สีแดงลูกน้อยสี่ลูกกับผลไม้สีขาวสองลูกมาล้างในน้ำของลำธารอันใสกระจ่างและเย็นเฉียบ
เขามองเงาสะท้อนบนผิวน้ำแล้วหวนนึกถึงตอนที่ท่านแม่พาเขาไปจับปลาที่ลำธารสายน้อย ขอบตาพลันแดงระเรื่อ
เขาใช้มือน้อยที่แช่อยู่ในน้ำเย็นจนแดงก่ำเช็ดน้ำตา กินผลไม้เสร็จเขาก็พกผลไม้ที่เหลือลงจากภูเขา
นับว่าโชคดีจริงๆ ที่วันนี้บังเอิญมีตลาดนัดพอดี
จิ่งอวิ๋นกับเสี่ยวไป๋เดินเข้าไปในตลาด
เขาสวมเสื้อผ้าของคนฮั่น เมื่อเดินเข้ามาในตลาดก็พบกับสายตาแปลกใจของผู้คน ไม่เคยมีใครเห็นเด็กน้อยชาวฮั่นในสถานที่เล็กๆ เช่นนี้มาก่อน แล้วยังเป็นเด็กน้อยที่รูปงามจนแทบจะทำให้คนหยุดหายใจคนหนึ่งอีกด้วย
นี่ลูกบ้านไหนกัน!
จิ่งอวิ๋นเหมือนไม่รู้สึกถึงสายตาสำรวจของผู้คน เขาเดินไปทางใจกลางตลาดอย่างเงียบๆ
“โอ๊ะ นี่เด็กบ้านไหนกัน” สตรีหน้าตางามเย้ายวนคนหนึ่งสะกิดนิ้วที่ทาสีบนเล็บบนหัวไหล่ของจิ่งอวิ๋นเบา แล้วถามด้วยท่าทางที่ไม่เหมือนเจตนาดีสักนิด “หน้าตางดงามจริงนะ พ่อแม่เจ้าอยู่ที่ใดเล่า”
จิ่งอวิ๋นตวัดสายตาเย็นชาไปมอง
หญิงผู้นี้เป็นพวกค้ามนุษย์ ปกติจะขายแต่หญิงสาวไปยังหอคณิกา วันนี้ไม่พบแม่นางน้อย แต่กลับพบเด็กน้อยที่พลัดหลงอยู่คนเดียว หากเป็นเมื่อก่อนนางคงไม่สนใจ แต่หน้าตาของเด็กน้อยคนนี้ทำให้ผู้ที่ได้ยลโฉมลืมไม่ลงจริงๆ นางจึงอยากพาเขากลับไปบ้านยิ่งนัก
เพียงแต่นางคิดไม่ถึงว่าแววตาของเด็กคนนี้จะน่ากลัวถึงเพียงนี้ ข่มนางจนขวัญสะท้าน
นางนิ่งอึ้งไปเพียงพริบตาเดียว พอได้สติหันกลับมามองเด็กคนนั้นอีกหน ก็ไม่มีเงาของเด็กน้อยคนนั้นแล้ว
นางถูกข่มขวัญเช่นนี้หนหนึ่งก็ไม่มีอารมณ์จะทำอันใดแล้ว นางจึงหมุนตัวเดินไปจากตลาดนัด ตอนที่เดินไปถึงปากทางเข้าตลาด นางก็ถูกผู้เฒ่าที่แต่งตัวด้วยอาภรณ์สีเทาคนหนึ่งขวางทางไว้
ผู้เฒ่าคนนี้ท่าทางแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เพียงยืนอยู่เบื้องหน้านาง นางก็เริ่มแข้งขาอ่อนแรง
นางไม่เข้าใจว่าผู้เฒ่าขวางนางไว้ทำอะไร แต่รู้สึกว่าวันนี้ตนเองโชคร้ายจริงๆ ก่อนหน้านี้ก็เจอเด็กดุร้ายคนหนึ่ง ตอนนี้ยังมาเจอตาเฒ่าที่ดุร้ายยิ่งกว่าอีกคนหนึ่ง
เผ่าซยงหนีว์มีคนน่าชังมากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด
“ข้าถามหาคนกับเจ้าหน่อย” ชางจิวใช้ภาษาซยงหนีว์ที่ไม่ค่อยได้มาตรฐานนักถามนาง
นางงุนงงชั่ววูบ
ชางจิวไม่สนใจท่าทางงุนงงของนาง เขาล้วงภาพวาดแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ “เจ้าเคยเห็นเด็กคนนี้หรือไม่”
สตรีนางนั้นมองภาพวาดแล้วพยักหน้าหงึกหงัก
“เขาอยู่ที่ใด” ชางจิวรีบถาม
สตรีนางนั้นแสร้งไม่ตอบ
ชางจิวโยนเงินหนึ่งตำลึงทองให้นาง นางหยิบก้อนทองมามองดูซ้ำไปมาหลายรอบ ก่อนจะแย้มรอยยิ้มยินดีปรีดา ชี้ไปทางตลาดนัดแล้วบอกว่า “ข้าเห็นเขาไปทางด้านนั้นแล้ว! ท่านเดินตามทางเส้นนี้ไป ต้องหาเขาพบแน่!”
ชางจิวมุ่งหน้าไปที่ใจกลางตลาดนัด
*****************************