หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 445-2 ตามหาพี่ชายกลับมาได้แล้ว
ตอนที่ 445-2 ตามหาพี่ชายกลับมาได้แล้ว
เมื่อกองโจรทั้งหมดถูกไล่กระเจิงไปแล้ว พวกศิษย์เอกกับสือชีก็กลับมาพักในกระโจม ศิษย์เอกไม่คิดว่าเรื่องที่กระโจมด้านข้างเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเขาจึงไม่ได้บอกกับเฉียวเวยเป็นพิเศษ
เฉียวเวยกลับไปนอนบนเตียงที่ปูด้วยพรมขนสัตว์ ภายในกระโจมยังคงมีกลิ่นหอมของเนื้อแพะลอยอวลอ้อยอิ่ง เมื่อดมกลิ่นหอมนี้ นางก็นึกถึงจิ่งอวิ๋น
วันเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่บนเขาโดยที่ไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อเตียง แกงวุ้นเส้นเนื้อแพะเป็นของหรูหราที่สุดในชีวิตพวกเขา
ความจริงค่ำคืนนี้ไม่ได้มีแต่เฉียวเวยเท่านั้นที่คิดถึงบุตรชาย เสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์ก็คิดถึงสหายสัตว์น้อยของตนเองมากอย่างยิ่งเช่นกัน วันเวลาที่เคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมานับครั้งไม่ถ้วนนั่น พวกมันต่างพึ่งพากันและกัน มันมีกระทะน้อยของมัน ส่วนอีกตัวก็มีกรงเล็บน้อยๆ ของมัน
วันนี้มันยังอยู่ แต่สหายสัตว์ตัวน้อยไม่อยู่แล้ว
พวกเขาไม่รู้สักนิดเลยว่าสหายสัตว์ตัวน้อยก็ดี จิ่งอวิ๋นก็ดีล้วนอยู่ในกระโจมหลังข้างๆ นี่เอง
…
ฝนห่าใหญ่ตกลงมาตลอดทั้งคืน จนฟ้าสางถึงเพิ่งหยุด
ท้องฟ้าใสกระจ่างแล้ว สีฟ้าครามราวกับถูกชะล้าง ทุ่งหญ้าส่งกลิ่นหอมรวยริน
ทุกคนเริ่มเก็บสัมภาระ
เสื้อผ้าเมื่อวานถูกผิงไฟจนแห้งแล้ว ชายหนุ่มจึงผลัดเปลี่ยนให้ตนเองกับจิ่งอวิ๋น
จิ่งอวิ๋นแต่เดิมก็เกิดมารูปงามอยู่แล้ว เมื่อมาใส่อาภรณ์กับเครื่องประดับศีรษะของแม่นางน้อยเหล่านี้ เขาก็งดงามราวกับเจ้าหญิงจากราชวงศ์สักแห่ง!
หากไม่ใช่เพราะแน่ใจว่าเจ้าเด็กน้อยคนนี้มีนกเขาหนึ่งอัน ชายหนุ่มก็เกือบจะคิดว่าตนเองลักพาตัวแม่นางน้อยสักคนมาจริงๆ แล้ว
คู่สามีภรรยาเฒ่าทำอาหารเช้าเสร็จแล้ว พวกเขาไม่เอ่ยถึงเรื่องกองโจรสักคำ ดูท่าแถบนี้จะพบกองโจรบุกปล้นไม่ใช่แค่ครั้งหรือสองครั้ง ทุกคนจึงชินชาเสียแล้ว
อาหารเช้าเป็นแกงวุ้นเส้นเนื้อแพะสองชาม
วุ้นเส้นยืมมาจากลูกสะใภ้กระโจมด้านข้าง ลูกสะใภ้กระโจมด้านข้างบอกว่าฮูหยินใจป้ำคนนั้นมอบอาหารให้พวกเขาเล็กน้อย ในนั้นมีวุ้นเส้นแบบของจงหยวนอยู่ด้วย
สองสามีภรรยาต้มแล้วชิมดูก็พบว่านุ่มลื่นอร่อยลิ้นกว่าเส้นหมี่ที่นวดมาจากแป้งเก่าๆ แม่นางน้อยคนนั้นน่าจะชมชอบ
คิดไม่ถึงว่าพอจิ่งอวิ๋นเห็นแกงวุ้นเส้นเนื้อแพะบนโต๊ะก็นิ่งไปเนิ่นนานไม่ยอมขยับตะเกียบ
ชายหนุ่มมองเขาอย่างแปลกใจ “เจ้าเป็นอะไรถึงไม่กิน”
จิ่งอวิ๋นไม่พูดไม่จา แต่ลุกขึ้นไปเก็บข้าวของ
ชายหนุ่มตะโกนว่า “เจ้าไม่กินข้ากินแล้วนะ”
จิ่งอวิ๋นเก็บข้าวของเสร็จก็ยกให้เสี่ยวไป๋เฝ้า
ชายหนุ่มอุตส่าห์คิดว่าจะฉวยโอกาสฉกเงินมาได้อีกสักหน่อย พอเห็นลูกสุนัขน้อยที่หมอบอยู่บนกองสัมภาระตัวนั้น มือที่เอื้อมออกไปก็หดกลับมา
จิ่งอวิ๋นไปเข้าห้องส้วมที่ด้านหลัง
ระหว่างทางเขาก็ทักทายศิษย์เอกที่เพิ่งออกมาจากการเข้าส้วมเสร็จ
ศิษย์เอกเคยเห็นวั่งซูแต่ไม่เคยเห็นจิ่งอวิ๋น ในตอนนั้นเขาจึงจำจิ่งอวิ๋นไม่ได้ เพียงคิดว่าแม่นางน้อยนางนี้หน้าตางดงามจริงๆ แม้จะสวมเสื้อผ้าอย่างชาวบ้านของเผ่าซยงหนีว์ แต่สง่าราศีที่แผ่ออกมาจากทั่วร่างนั่นกลับเหมือนลูกของชนชั้นสูง
จิ่งอวิ๋นเองก็ไม่เคยเห็นศิษย์เอก พวกเขาสองคนจึงเดินสวนกันไป
ตอนที่ศิษย์เอกกลับมาถึงในกระโจมก็เห็นว่ากระโจมด้านข้างมีรถม้าจอดอยู่หนึ่งคัน เขาจำได้ว่าเมื่อวานตอนมาถึงที่แห่งนี้กระโจมหลังด้านข้างยังไม่มีรถม้า หรือว่าลูกชายกับลูกสะใภ้ของสองสามีภรรยาเฒ่าคู่นั้นกลับมาแล้ว
ไม่นานชายหนุ่มก็ขนสัมภาระออกมาจากกระโจม คู่สามีภรรยาเฒ่าตามมาด้านหลังช่วยเขาคนของขึ้นรถ พอเขาเอ่ยปากขอบคุณ ศิษย์เอกจึงทราบว่าคนผู้นี้ก็มาขออาศัยค้างแรมเช่นกัน
ศิษย์เอกถามตัวตนของอีกฝ่ายอย่างสงสัยใคร่รู้ แม่เฒ่ากับลูกสะใภ้จึงบอกศิษย์เอกว่าเมื่อคืนวานกระโจมด้านข้างมีแขกมาขอพักแรมสองคนเป็นพี่ชายกับน้องสาวคู่หนึ่ง ได้ยินว่าเป็นพ่อค้ากำลังจะเดินทางไปทำการค้าที่เขาอูเปี๋ย
ศิษย์เอกนึกฉงนอย่างช่วยไม่ได้ว่าแม่นางน้อยคนงามเมื่อครู่คนนั้นเป็นพี่น้องกับเจ้าหนุ่มคนนี้หรือ
พี่ชายอัปลักษณ์ปานนั้นมีน้องสาวงดงามถึงขนาดนี้ได้เช่นไรกัน
ชายหนุ่มยังไม่รู้ว่าตนถูกเรียกว่า ‘อัปลักษณ์ปานนั้น’ หน้าตาของเขาแม้ไม่นับว่างดงามดุจพานอัน[1] แต่ก็นับว่าหน้าตาเกลี้ยงเกลาหล่อเหลา เพียงแต่เมื่อเทียบกับจิ่งอวิ๋นแล้วก็เหมือนก้อนโคลนอยู่จริงๆ
ศิษย์เอกถามตัวตนของอีกฝ่ายกระจ่างชัดแล้วก็พอจะเข้าใจแล้วว่าโจรเมื่อคืนวานถูกผู้ใดไล่กระเจิงไป เขาก็ว่าแล้วว่าคู่สามีภรรยาเฒ่าคู่นั้นจู่ๆ จะฝีมือเก่งกาจขึ้นมาในชั่วพริบตาได้อย่างไรกัน
เฉียวเวยเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วก็เปิดประตูกว้าง นางเหล่มองรถม้าที่อยู่เยื้องกันฝั่งตรงข้ามแวบหนึ่ง บังเอิญว่าจังหวะนั้นศิษย์เอกเดินผ่านหน้าประตูกระโจมของนางมาพอดี นางจึงเรียกศิษย์เอกมาถามว่า “ด้านนั้นผู้ใดมาพัก”
ศิษย์เอกขานอ้อคำหนึ่งแล้วว่า “พี่ชายกับน้องสาวคู่หนึ่งมาขออาศัยพักแรม เป็นพวกพ่อค้า”
“พี่ชายกับน้องสาวหรือ…” เฉียวเวยหลุบตาลงอย่างผิดหวังแล้วอุ้มวั่งซูเดินออกมาจากกระโจม
จิ่งอวิ๋นเพิ่งกลับมาจากห้องส้วม เมื่อเห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคยของใครบางคน ร่างกายเล็กจ้อยของเขาก็แข็งเป็นหินในพริบตา!
เขายืนนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น มือน้อยกำเข้าหากันแน่น แววตาสั่นไหว ลมหายใจก็สั่นระริก
เฉียวเวยกำลังจะอุ้มวั่งซูก้าวขึ้นรถม้า ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ ในหัวใจก็เกิดความรู้สึกประหลาด นางหันหลังกลับ หันไปยังทิศทางที่ทำให้นางเกิดความรู้สึกประหลาดเบาบางนั่น
“มีสิ่งใดหรือ” ศิษย์เอกเดินเข้ามาถาม
เฉียวเวยมองทุ่งหญ้าอันว่างเปล่า หัวใจบีบรัดอย่างทุกข์ทรมาน นางเรียกสติแล้วตอบเรียบๆ ว่า “ไม่มีอะไร”
ด้านหลังกระโจม จิ่งอวิ๋นปลายจมูกแดงก่ำ เขาใช้มือน้อยๆ ปาดดวงตาที่แดงระเรื่อป้อยๆ แล้วเดินอ้อมด้านหลังกระโจมไป
“นี่ ข้าเปลี่ยนความคิดแล้ว” ชายหนุ่มบรรจุเสบียงไปพลางก็พูดไปพลาง “พวกเราจะไม่ไปเขาอูเปี๋ยแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปเมืองหลวง!”
เมืองหลวงมีพวกคนโง่ที่รวยมากกว่า เด็กน้อยคนหนึ่งบวกกับสัตว์ที่เก่งกาจอีกตัวหนึ่ง เงินที่ขายได้ คงทำให้เขาไม่ต้องกังวลกับเรื่องกินอยู่ตลอดช่วงชีวิตที่เหลือ!
เขาพูดจบแล้ว แต่ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไม่ได้คำตอบของจิ่งอวิ๋น เขาจึงหันไปมองจิ่งอวิ๋นอย่างมึนงง พอเห็นเขาขอบตาแดงระเรื่อก็อึ้ง “เจ้าเป็นอันใดไป เจ้าไม่อยากไปเมืองหลวงหรือ ข้าขอบอกเจ้าเมืองหลวงดีมากนะ ดีกว่าเขาอูเปี๋ยมาก! มีของกินอร่อยๆ มากมาย ของเล่นสนุกๆ อีกเยอะแยะ แล้วก็ยังหาเงินได้ด้วย! พอไปถึงเมืองหลวงแล้ว ไม่ว่าเจ้าต้องการสิ่งใดข้าก็จะซื้อให้เจ้า!”
จิ่งอวิ๋นมองลอดช่องหน้าต่างไปทางรถม้าของเฉียวเวย เฉียวเวยอุ้มวั่งซูขึ้นไปแล้ว สายลมหนาวหอบหนึ่งพัดผ่านมาเป่าผ้าห่มขนสัตว์ที่ห่อตัววั่งซูจนเผยอออก นางจึงคลุมปิดให้อย่างอ่อนโยน
“พวกเขาจะไปที่ใด”
จู่ๆ จิ่งอวิ๋นก็เอ่ยปาก มีเสียงสะอื้นแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินแทรกอยู่ด้วย
ชายหนุ่มเป็นคนไม่คิดมากจึงฟังไม่ออกวาจิ่งอวิ๋นมีอาการผิดปกติ เขามองไปทางรถม้าฝั่งตรงข้ามพวกนั้นแล้วตอบว่า “น่าจะมุ่งหน้าไปเขาอูเปี๋ยกระมัง หากเจ้าอยากจะไปเขาอูเปี๋ยจริงๆ…”
“ไม่ต้อง” จิ่งอวิ๋นหยิบสัมภาระห่อน้อยออกมา แล้วยัดเสี่ยวไป๋เข้าไปก่อนจะสะพายขึ้นหลัง
ชายหนุ่มดีใจอย่างยิ่ง ในที่สุดก็จะได้ไปเป็นเศรษฐีที่เมืองหลวงแล้ว! สวรรค์ช่างดีต่อเขาเหลือเกิน!
อีกฝั่งหนึ่งพวกเฉียวเวยเตรียมตัวพร้อมแล้ว องครักษ์สองนายไปเปิดทางด้านหน้า รถม้าของราชครูกับศิษย์เอกเริ่มเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ
รถม้าของเฉียวเวยก็ขยับแล้วเช่นกัน
“เดี๋ยวก่อน” ตอนนั้นเองเฉียวเวยก็สั่งให้สารถีหยุดรถ ก่อนจะก้าวลงจากรถม้า เดินเข้าไปในกระโจมพร้อมกับหอบภาพเหมือนภาพหนึ่ง เงินถุงหนึ่ง และป้ายไม้ของทางการประจำท้องถิ่นหนึ่งแผ่นมาส่งให้แม่เฒ่ากับลูกสะใภ้ จากนั้นใช้ภาษาเผ่าซยงหนีว์งูๆ ปลาๆ กับท่ามือควบคู่กันพยายามบอกว่า “ลูกชาย ข้า ข้าหาเขา หากพวกท่านเห็นเขา พาเขาไปส่งให้ทางการ”
จิ่งอวิ๋นเดินออกมาจากกระโจม เขาเดินตรงไปที่รถม้าของตนเองโดยไม่เหลือบแลมองสิ่งใดแม้แต่น้อย
วั่งซูตื่นขึ้นมาเงียบๆ นางอ้าปากหาวนิดๆ แม้ร่างกายจะตื่นแล้ว แต่สมองยังสะลึมสะลืออยู่ พอเห็นท่านพ่อกับจูเอ๋อร์น้อยที่อยู่ด้านข้าง นางก็ทำหน้ามึนงง
ข้าคือผู้ใด ข้าอยู่ที่ไหน ข้ากำลังจะทำสิ่งใด…
โครกกก!
หิวนักเชียว
วั่งซูกระโดดลงจากรถม้า
ด้านหน้ามีแม่นางน้อยเผ่าซยงหนีว์ยืนอยู่คนหนึ่ง เห็นเพียงแผ่นหลังก็รู้แล้วว่าต้องเป็นคนงามตัวน้อยอย่างแน่นอน!
‘คนงามตัวน้อย’ เห็นนางตั้งแต่พริบตาที่นางลงจากรถแล้ว แต่กลับแสร้งทำเดินไปด้านหน้าต่อ ไม่ยอมหันหลังกลับมาอย่างเด็ดขาด
ถึงอย่างไรแต่งตัวเช่นนี้ เจ้าตุ้ยนุ้ยโง่งมคนนี้ก็คงจำไม่ได้หรอก
ทว่าวั่งซูกลับกระโดดดึ๋งวิ่งไปถึงด้านหลังของคนงามตัวน้อย จากนั้นริมฝีปากกระจุ๋มกระจิ๋มสีชมพูอ่อนก็อ้าปากหวอ เสียงกังวานใสเอ่ยเรียก “ท่านพี่!”
[1]พานอัน บุรุษที่เล่าลือว่ารูปงามที่สุดอันดับหนึ่งในใต้หล้าของจีนสมัยยุคโบราณ
——————————-