หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 446-1 ครอบครัวพร้อมหน้า (1)
ตอนที่ 446-1 ครอบครัวพร้อมหน้า (1)
เสียงเด็กน้อยแฝงความอ่อนเยาว์ดังก้องและใสกังวาน
ชั่วพริบตาที่จิ่งอวิ๋นได้ยินคำเรียกขานว่าท่านพี่คำนั้น ร่างเล็กๆ ก็เซวูบเกือบจะสะดุดล้ม!
เจ้าตุ้ยนุ้ยโง่งมคนนี้รู้ว่าเป็นเขาได้อย่างไรกัน
เขา ‘แปลงโฉมเปลี่ยนหน้า’ มาแล้วแท้ๆ …
มาจำกันได้ในสถานการณ์เช่นนี้มันจะกระอักกระอ่วนเกินไปแล้ว
ใบหน้าน้อยๆ ของจิ่งอวิ๋นทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เขาไม่พูดพร่ำคำใดก็สับขาวิ่งทันที!
แต่เขาจะวิ่งชนะเจ้าตุ้ยนุ้ยคนนี้ได้อย่างไรกัน
วิ่งไปทางตะวันออก
“ท่านพี่!”
วิ่งไปทางตะวันตก
“ท่านพี่!”
วิ่งไปทางใต้
“ท่านพี่!”
วิ่งไปทางเหนือ…
“ท่านพี่ข้าหิวแล้ว! รอกินข้าวเสร็จแล้วค่อยวิ่งเล่นเป็นเพื่อนท่านนะ!”
วั่งซูพูดจบก็อุ้มพี่ชายของตัวเองขึ้นมาแล้ววิ่งตึงตังกลับไปที่รถม้าของตัวเอง
ความจริงนางก็อยากให้พี่ชายเดินมาเองอยู่หรอก แต่พี่ชายช้าเกินไปแล้วจริงๆ นางรอไม่ไหวแล้ว นางหิวมากๆ!
ตอนที่เดินออกมาจากกระโจมของแม่เฒ่ากับลูกสะใภ้คู่นั้น เฉียวเวยก็มองเห็นเงาร่างเล็กๆ ของเจ้าตัวอ้วนบ้านตนกำลังอุ้มแม่นางน้อยคนหนึ่งวิ่งฉิวอยู่บนทุ่งหญ้า นางวิ่งเร็วเกินไปแล้วจริงๆ เห็นเพียงแวบเดียวก็เหลือแต่เงาเลือนรางเล็กๆ เงาหนึ่ง
ด้านบนของเงาเลือนรางเล็กๆ นั่นอุ้มเงาเลือนรางเล็กๆ อีกร่างหนึ่งอยู่ด้วย
เมื่อสายตาของเฉียวเวยจับบนร่างของเงาเลือนรางเล็กๆ ร่างนั้น หัวใจก็กระตุกอย่างรุนแรงหนึ่งหน
นางสาวเท้าวิ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว
วั่งซูเองก็มาถึงหน้ารถม้าแล้ว นางวางพี่ชายลง มือน้อยๆ ปาดเหงื่อที่ไม่มีอยู่จริงบนหน้าผาก แล้วพูดเหมือนกับว่าเหนื่อยยิ่งนัก “ฟู่ เหนื่อยจริงๆ เชียว!”
พวกองครักษ์ทั้งหลายมุมปากกระตุก หน้าก็ไม่แดง หายใจก็ไม่หอบ จะโกหกทั้งทีก็ใส่ใจหน่อยจะได้หรือไม่…
ว่าแต่แม่นางน้อยที่ท่านไปลักตัวกลับมาคือผู้ใดเล่า เหตุใดจึงดูคุ้นตาถึงเพียงนี้
สีหน้าที่ดูเหมือนจะร้องไห้ของจิ่งอวิ๋นแดงก่ำ แต่งตัวเป็นผู้หญิงมาให้คนคุ้นเคยเห็นเข้าแล้ว เจ้า เจ้าเด็กอ้วนคนนี้นี่!
เฉียวเวยมอง ‘แม่นางน้อย’ ที่ถูกบุตรสาวลักพาตัวกลับมาอย่างเหม่อลอย ความสนใจของนางไม่ได้อยู่ที่เสื้อผ้าของเขาเลยสักนิด ความสนใจของนางรวมอยู่บนใบหน้าน้อยที่ซูบผอมดวงนั้น จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าลมหายใจหยุดนิ่ง
นางสาวเท้าสองสามก้าวมาด้านหน้า จากนั้นย่อตัวลงมารวบบุตรชายเข้ามาในอ้อมแขนแล้วกอดเขาแน่นๆ
วันเวลาที่พรากจากกัน แต่ละห้วงลมหายใจเหมือนมีเปลวไฟแผดเผาดวงใจของนางอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการเลือกอันแสนยากเย็นหนนั้น แม้แต่ในฝันนางก็มิอาจสงบใจได้
ตอนนี้จู่ๆ บุตรชายก็มาปรากฏตัวตรงหน้านางแล้ว นางดีใจจนเอ่ยคำพูดไม่ออก
จิ่งอวิ๋นไม่ขยับ แล้วก็ไม่ส่งเสียง
เฉียวเวยหลั่งน้ำตา นางกอดเขา พร่ำเรียกชื่อของเขา ที่แท้ไม่ว่าตนเองจะเด็ดขาดเย็นชายามอยู่ข้างนอกอีกเท่าใด เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา สุดท้ายนางก็เป็นเพียงมารดาธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น
ชายหนุ่มเพิ่งจะขนสัมภาระขึ้นรถม้าเสร็จ
รถม้าคันเมื่อวานเปียกฝนจนต้องใช้ถาดเตาถ่านผิงไฟตลอดทั้งคืนกว่าจะแห้งอย่างหวุดหวิด เขาจนหนทางจึงต้องยอมเสียเงินใบมีดอีกห้าร้อยเหรียญซื้อฟูกนอนชิ้นหนึ่งกับหนังแพะเก่าผืนหนึ่งจากแม่เฒ่า
นี่ย่อมไม่ได้ไว้ให้ตัวเขาเอง แต่ให้ ‘แม่นางน้อย’ ผู้บอบบางคนนั้น นั่นเป็นต้นเงินต้นทองของเขาเชียวนะ เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายล้มหมอนนอนเสื่อไปหรอก
พอเขาปูพื้นรถม้าเสร็จก็ตะโกนเรียกอย่างเอ้อระเหยลอยชาย “นี่ เจ้าตัวน้อย ขึ้นรถได้แล้ว!”
เรียกสองหนแล้วแต่ยังไม่มีเสียงขานรับ ในใจก็พลันคิดว่า หรือเจ้าเด็กคนนั้นจะหนีไปแล้ว
คนทำชั่วย่อมมีชนักติดหลัง มักกังวลเสมอว่าจะถูกใครบางคนมองออก เขารีบกระโดดลงจากรถม้าไปตามหาจิ่งอวิ๋น คิดไม่ถึงว่าหันหลังกลับมาก็เห็นเด็กน้อยถูกสตรีนางหนึ่งอุ้มอยู่
สตรีนางนั้นสวมอาภรณ์แบบชาวฮั่น กระโปรงคาดเอวสีขาวพิสุทธิ์ เสื้อคลุมขนจิ้งจอกเงินหนึ่งตัว ดวงหน้างามสง่า แม้จะแต่งตัวเรียบง่าย แต่ข้าวของล้วนเป็นของคุณภาพชั้นเลิศ มองปราดแรกก็รู้ว่าไม่ใช่เนื้อผ้าที่คนตระกูลเล็กตระกูลน้อยจะหามาสวมใส่ได้
นางเกล้ามวยผมทรงขดหอยแบบเรียบๆ หนึ่งลูก เส้นผมดำประดุจหมึกเงาแวววาวราวกับไข่มุกสีดำ ไม่มีเครื่องประดับรกรุงรัง มีเพียงปิ่นกล้วยไม้หยกเรียบๆ เล่มเดียว
ใบหน้าของนางถูกเจ้าตัวน้อยคนนั้นบังอยู่ จึงมองเห็นแต่เส้นผมสีดำที่ทิ้งตัวลงมาเหนือคอเสื้อกับผิวประหนึ่งหยกงามตรงบริเวณนั้น
ใบหน้าของชายหนุ่มร้อนผ่าวขึ้นมาในพริบตา
คำผรุสวาทติดอยู่ที่ลำคอ เขายืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น จะเปล่งเสียงพูดก็รู้สึกว่าไม่ถูก จะไม่เปล่งเสียงพูดก็รู้สึกว่าไม่ถูกเช่นกัน
ตัวเขาก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดตนเองจึงไม่เปล่งเสียงออกไป
สตรีนางนี้คือผู้ใดกัน
จู่ๆ นางก็มาอุ้ม ‘น้องสาว’ ของเขา คิดอะไรไม่ดีใช่หรือไม่…
แต่หน้าตาช่างงดงามเสียจริง…
เวลานี้เฉียวเวยสังเกตเห็นชายหนุ่มแล้ว ดวงตาที่แดงระเรื่อหลังจากผ่านการร้องไห้คู่นั้นหันมามองอีกฝ่าย
ดวงตาคู่นั้นช่างงามเสียจริง มันแวววาวดุจน้ำพุใสกระจ่าง ประหนึ่งแสงดาราระยิบระยับร่วงหล่นไปอยู่ด้านใน เขาไม่เคยร่ำเรียนตำรับตำรา แต่ไม่รู้เหตุใดในสมองจึงมีบทกวีที่ตนก็ไม่รู้ว่าไปได้ยินมาจากไหนวรรคหนึ่งผุดขึ้นมา
ระยิบระยับหนึ่งธารา พันมุกแวววาวมิมากเกิน
ทว่าไม่รอให้เขาได้ชื่นชมดวงตาคู่นี้ให้ดีๆ เขาก็ถูกสายตาของอีกฝ่ายกวาดมองตั้งแต่หัวจรดเท้า
ดวงตาคู่นั้นเริ่มแรกฉายแววระแวดระวังอยู่หนึ่งส่วน จากนั้นก็ฉายแววสงสัยขึ้นมาจางๆ
หากเขาเข้าใจไม่ผิด เหมือนนางกำลังจะบอกว่าเจ้าแมลงสาบตัวนี้น่ะหรือที่ลักพาตัวเด็กน้อยบ้านข้า
ใบหน้าของชายหนุ่มแดงแปร๊ดในทันที! ไม่ใช่ด้วยความโมโห แต่เป็นความอับอาย!
องครักษ์ทั้งหลายก้าวเข้ามาหาชายหนุ่มพร้อมกับสีหน้าโหดเหี้ยมถมึงทึง
ขมับของชายหนุ่มเต้นตุ้บๆ เขาบอกอย่างตระหนกลนลาน “อย่าเพิ่งใจร้อน! คนต้าเหลียงด้วยกันเอง! ข้าเป็นคนดีนะ!”
องครักษ์ทั้งหลายหันไปมองเฉียวเวย
เฉียวเวยกลับหันไปมองบุตรชายในอ้อมแขน “หิวแล้วหรือไม่ ขึ้นไปกินอะไรบนรถกับน้องสาวก่อนไป แม้จัดการธุระเสร็จแล้วจะไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”
จิ่งอวิ๋นกับน้องสาวขึ้นรถม้าไปด้วยกัน พูดให้ถูกต้องก็คือถูกน้องสาวลากขึ้นรถม้าไป เฉียวเวยพยักหน้าให้องครักษ์
องครักษ์จึง ‘เชิญ’ ชายหนุ่มมา
ชายหนุ่มยังไม่เคยสนทนากับคนที่เดินทางด้วยขบวนใหญ่โตเช่นนี้มาก่อน เขาตื่นเต้นเล็กน้อย และแน่นอนว่าแอบใจเสียอยู่นิดๆ ด้วย เขากระแอมทีหนึ่ง จากนั้นจึงแสร้งทำท่าทางสุขุมถามว่า “เจ้า เจ้า เจ้าเป็นใครกัน”
เฉียวเวยจ้องเขานิ่งๆ แล้วตอบว่า “ข้าแซ่เฉียว เป็นคนจากเมืองหลวงของต้าเหลียง เด็กคนนั้นเมื่อครู่เป็นลูกชายของข้าเอง”
หา มารดาแท้ๆ หรือ
เจ้าเด็กนั่นบอกว่าไม่มีพ่อไม่มีแม่แล้วไม่ใช่หรือไร
ชายหนุ่มคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าสตรีที่อ่อนเยาว์และงดงามคนนี้จะเป็นมารดาของเด็กคนหนึ่งแล้ว แล้วยังเป็นมารดาของเด็กคนนั้นด้วย
หนนี้โชคร้ายเกินไปแล้ว ลำบากนักกว่าจะจับเด็กน้อยมาได้คนหนึ่ง แต่ดันมาเจอมารดาบังเกิดเกล้าของผู้อื่นเข้าเสียอีก
“ผู้ใดบงการให้เจ้าจับตัวลูกชายข้า” เฉียวเวยจงใจลากเสียงยาว
ชายหนุ่มลนลานโบกมือ “ผิดแล้วๆ ฮูหยินท่านเข้าใจผิดแล้ว! ไม่มีผู้ใดบงการข้า! ข้าเพียง…”
——————————-