หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 447-1 ครอบครัวพร้อมหน้า (2)
ตอนที่ 447-1 ครอบครัวพร้อมหน้า (2)
ขบวนออกเดินทาง หลังจากเดินทางออกมาได้สิบลี้ ภูมิประเทศก็ค่อยๆ แห้งแล้งและกว้างโล่ง ความเร็วที่เดินทางจึงเพิ่มขึ้นมาก
ตกกลางคืน คณะเดินทางก็บรรลุถึงคฤหาสน์เขาอูเปี๋ยตามกำหนดการ
ดีเลวชาติก่อนเฉียวเวยก็เคยไปพักผ่อนบนคฤหาสน์บนเขามาก่อน หนแรกที่ได้ยินศิษย์เอกเอ่ยถึงคฤหาสน์เขาอูเปี๋ย นางก็คิดว่านามที่ฟังดูยิ่งใหญ่เช่นนี้ต้องคู่กับสิ่งก่อสร้างชั้นยอดของเผ่าซยงหนีว์อย่างแน่นอน แต่เมื่อมาถึงนางกลับพบว่าคฤหาสน์เขาอูเปี๋ยกลับเป็นบ้านดินเก่าผุพังกลุ่มหนึ่ง
เฉียวเวยทำหน้าเหยเก ไหนว่าคฤหาสน์ภูเขา ข้าอุตส่าห์ถอดกางเกงแล้วแต่เจ้ากลับให้ข้าเห็นสิ่งนี้หรือ
“อะแฮ่มๆ ถึงคฤหาสน์ภูเขาแล้ว” ศิษย์เอกเอ่ยย้ำ
เฉียวเวยหันไปมองเขาด้วยสีหน้ามึนงง “เจ้าเข้าใจความหมายของคำว่าคฤหาสน์ภูเขาผิดไปหรือไม่”
ศิษย์เอกงุนงง เขาตอบอย่างไม่สำนึกถึงความผิดสักนิด “บ้านหลังน้อยที่อยู่เชิงเขาอูเปี๋ย ก็คือคฤหาสน์เขาอูเปี๋ยไม่ใช่หรือ”
เฉียวเวยมองดูบ้านดินเก่าผุพังที่เรียงกระจัดกระจายเป็นแถวนั่น….
เฉียวเวย “…”
เฉียวเวย “!”
เฉียวเวย ได้เจ้าชนะแล้ว
ถึงจะเห็นว่าบ้านเหล่านี้ผุพังเช่นนี้ แต่ความจริงแขกที่แวะมาพักมีไม่น้อย ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าที่จะเดินทางไปค้าขายที่เขาอูเปี๋ย เมื่อลองคิดว่าแม้แต่คำนิยามของคำว่าภูเขา ทุกคนก็ยังเข้าใจไม่ค่อยเหมือนกันนัก เฉียวเวยก็รู้สึกว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องถามให้ชัดเจนว่าเขาอูเปี๋ยเป็นสถานที่อย่างไรกันแน่
หลังจากสอบถามจึงได้ข้อสรุปออกมาว่าบนเขาอูเปี๋ยมีเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่มีเส้นทางเชื่อมต่อกับทั้งสี่ทิศ ดังนั้นมันจึงมีชื่อที่ตั้งขึ้นตามลักษณะประการนี้ นามว่าเมืองอูเปี๋ย
“เมืองอูเปี๋ยขนาดใหญ่มาก สิ่งของใดที่ควรมีล้วนมีทั้งสิ้น พวกเราสามารถซื้อหาของที่จำเป็นทั้งหมดได้ เมื่อเป็นเช่นนี้เวลาเข้าไปในทะเลทรายก็จะเดินทางไม่ลำบากนัก” ศิษย์เอกพร่ำพูดไม่หยุด เขาตื่นเต้นที่ในที่สุดก็จะได้กลับเยี่ยหลัวแล้ว
เฉียวเวยไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาอูเปี๋ยมากนัก ก็แค่สถานที่ที่ต้องผ่านหากจะเดินทางไปเยี่ยหลัวก็เท่านั้น
หลังจากจ่ายค่าพักแรมราคาแพงอักโขแล้ว เฉียวเวยก็พาหมิงซิวกับลูกทั้งสองคนเข้าไปในห้อง
ห้องนี้ได้ชื่อว่าเป็นห้องชั้นดีในคฤหาสน์ภูเขาแล้ว แต่ความจริงนอกจากเตียงหลังใหญ่ก็มีแค่ตู้หนึ่งใบ โต๊ะหนึ่งตัวกับม้านั่งอีกสี่ตัวเท่านั้น อุปกรณ์อาบน้ำอาบท่าพวกเขาล้วนพกมาเอง
เฉียวเวยวางจีหมิงซิวลงบนเตียงนอน ชีพจรของจีหมิงซิวมั่นคงขึ้นทุกวัน เขาคงจะตื่นขึ้นมาในสองสามวันนี้
วั่งซูจูงมือจิ่งอวิ๋นมานั่งข้างเตียง เสียงเล็กๆ เอ่ยปลอบพี่ชาย “ท่านพ่อต้องตื่นขึ้นมาแน่ เขาเพียงเหน็ดเหนื่อยเท่านั้น นอนหลับสองสามวันก็หายแล้ว”
จิ่งอวิ๋นไม่พูดไม่จา
เฉียวเวยมองบุตรชายอย่างเป็นห่วง ตลอดทั้งวันไม่ได้ยินเสียงเขาพูดสักคำ เฉียวเวยอยากถามบุตรชายว่ามีตรงไหนไม่สบายหรือไม่ แต่ตอนนั้นเองด้านนอกก็มีเสียงเอะอะดังลอยมา นางเดินออกไปดูก็พบว่าเยี่ยนเฟยเจวี๋ยมาแล้ว!
แผนเดิมคือเยี่ยนเฟยเจวี๋ยจะตามมาพบกันที่เมืองฉีสุ่ย แต่หลังจากเข้าเมืองผูแผนการก็เปลี่ยนไป นางจึงส่งพิราบสื่อสารบอกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยให้มาพบกันที่เขาอูเปี๋ย
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดินทางผ่านด่านเมืองหยวนอันเพราะว่าเมืองหยวนอันมีเส้นทางที่สั้นกว่าหากจะเดินทางไปเขาอูเปี๋ย ด้วยเหตุนี้แม้ว่าพวกเขาจะออกเดินทางช้ากว่าเล็กน้อย แต่กลับเร่งเดินทางมาถึงได้ในวันเดียว
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยลงจากม้าก็ตรงไปที่ห้องของเฉียวเวย “ตามหาวั่งซูกับจิ่งอวิ๋นพบหรือไม่”
วั่งซูหันมาเห็นเขาก็ยิ้มตาหยีกระโดดโลดเต้น เรียกเสียงหวาน “ท่านปู่เยี่ยน!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยดีใจแทบแย่ เขารีบเร่งเดินทางจนจอมยุทธ์แห่งยุทธภพผู้องอาจสง่างามอย่างเขาถูกลมตีจนสภาพเหมือนคนเชือดหมู ตัวเขาเองส่องกระจกแล้วยังตกใจจนสะดุ้งโหยง แต่เจ้าตัวน้อยคนนี้อุตส่าห์ไม่รังเกียจ เขายิ้มแย้มเอาถังหูลู่ที่ห่อกระดาษไว้อย่างดีสองไม้ออกมาจากในห่อผ้าแล้วส่งให้วั่งซู
วั่งซูยิ้มตาหยีรับมา แล้วกระโดดโลดเต้นกลับไปบนเตียง แบ่งไม้หนึ่งในนั้นให้พี่ชาย
จิ่งอวิ๋นไม่ยกมือขึ้นมารับ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหันไปมองเฉียวเวยอย่างฉงน “นี่เป็นอะไรไป ล้มป่วยหรือ”
เฉียวเวยมองบุตรชายหนหนึ่ง แล้วตอบเสียงเบาว่า “ความเย็นกัดมือ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยย่อมเข้าใจไปเองว่าเพราะความเย็นกัดมือ ทั้งเจ็บ ทั้งทรมาน ดังนั้นเขาจึงอารมณ์ไม่ค่อยดี เขามองมือน้อยๆ สองข้างที่ถูกพันจนกลายเป็นบ๊ะจ่างของจิ่งอวิ๋น แล้วถามเบาๆ ว่า “วั่งซูเป็นคนพันใช่หรือไม่นั่น”
เฉียวเวยตอบในใจว่า ใช่แล้ว นอกจากเจ้าอ้วนคนนี้ยังจะมีผู้ใดพันแผลได้น่าเกลียดเช่นนี้อีกหรือ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองจีหมิงซิวที่อยู่บนเตียง “นายน้อยอาการเป็นเช่นไรบ้าง”
เฉียวเวยบอกเรื่องเมื่อคืนนั้นผ่านทางจดหมายแล้ว เขารู้ว่าจีหมิงซิวปะทะตรงๆ กับคนผู้นั้นจนถูกบีบให้ใช้ธนูจันทร์โลหิต เกรงว่าเขาคงจะบาดเจ็บไม่เบา
เฉียวเวยตอบว่า “ก่อนออกเดินทาง กงซุนฉางหลีมอบผลสองภพหนึ่งผลกับน้ำอมฤตหนึ่งขวดให้ข้า บังเอิญใช้ประโยชน์ได้พอดี หมิงซิวรักษาตัวได้พอสมควรแล้ว ผ่านไปอีกสองสามวันก็น่าจะตื่น”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจิ๊ปากหนึ่งหน “เจ้าลูกเต่านั่นก็มีเวลาที่ทำเรื่องดีๆ กับเขาด้วย”
เขาไม่ได้ตั้งตาคอยให้นายน้อยตายหรอกหรือ นี่อุตส่าห์เตรียมของดีขนาดนี้เอาไว้ให้นายน้อยด้วย ขนาดตัวเขาเองยังตัดใจมอบผลสองภพให้คนอื่นไม่ลง เจ้าลูกเต่านี่ตกบ่อส้วมจนกลายเป็นคนโง่ไปแล้วใช่หรือไม่
เฉียวเวยถอนหายใจอย่างจนปัญญา “กงซุนฉางหลีเป็นคนดีคนหนึ่ง น่าเสียดายข้ามีหมิงซิวแล้ว หัวใจที่เขามอบให้ข้า ข้าคงได้แต่ต้องทำผิดต่อมัน”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมุมปากกระตุก ข้าว่าเจ้าน่าจะคิดไปเอง จริงๆ นะ!
หลังจากนั้นสัญชาตญาณของคนฝึกยุทธ์ก็สั่งให้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถามถึงยอดฝีมือลึกลับคนนั้น
“ศีรษะของเขาถูกปกปิดไว้ทั้งหมด ข้ามองเห็นหน้าตาของเขาไม่ชัด แต่วรยุทธ์ของเขา…สูงส่งจนยากหยั่งถึงจริงๆ” หากไม่ใช่ว่าตอนนั้นเขาล้มป่วยจนกำลังภายในลดลงห้าส่วน ธนูจันทร์โลหิตก็ไม่แน่ว่าจะทำร้ายเขาได้
แทนที่จะตื่นเต้นที่บนโลกใบนี้มียอดฝีมือที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกลับใส่ใจการกระทำไม่กลัวตายของจีหมิงซิวมากกว่า “เขาไม่กลัวสักนิดเลยหรือไร”
หากกลัวก็คงไม่ใช่จีหมิงซิวแล้ว
มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่าอย่างไรนะ คนมุทะลุกลัวคนบ้าบิ่น คนบ้าบิ่นเกรงคนไม่กลัวตาย
จีหมิงซิวก็คือคนไม่กลัวตายคนนั้น
หากเจ้าหนูนั่นไล่ราชันอสูรไปไม่สำเร็จ แต่ถูกราชันอสูรตบฝ่ามือเดียวตาย ชีวิตน้อยๆ ของตนก็คงปลิดปลิวไปด้วยกันแล้ว
พอคิดมาถึงตรงนี้ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็เริ่มคิดอยากจะบีบคอเขาให้ตาย!
แต่มองในอีกแง่หนึ่งก็ต้องขอบคุณที่เขาไม่กลัวตายเช่นนั้น มิเช่นนั้นหากเจ้าสิ่งนั้นเลื่อนขั้นเป็นราชันอสูรจริงๆ พวกเขาก็คงไม่ใช่คู่ต่อกรของอีกฝ่ายอีกต่อไป “ต้องรีบหาเจ้าหมอนั่นให้พบแล้วเด็ดชีวิตเขาเสียก่อนที่เขาจะหายดี!”
จุดนี้เฉียวเวยก็เห็นพ้องต้องกัน
ทั้งสองคนหารือมาตรการรับมือกันพักหนึ่ง ระหว่างนั้นศิษย์เอกก็เข้ามายืมยาทาแผลความเย็นกัด มือของเขาก็ถูกความเย็นกัดเหมือนกัน
——————————————–