หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 451 คืนดี (4)
ตอนที่ 451 คืนดี (4)
ใต้เท้าเจ้าสำนักคิดว่าตนเองจับจุดอ่อนของจีหมิงซิวสำเร็จแล้ว ไหนเลยจะคิดว่าจีหมิงซิวกลับสั่งให้คนจับเขาขังโดยที่หนังตาไม่กระตุกแม้แต่น้อย แล้วยังสั่งให้อาต๋าเอ่อร์พาเขาออกเดินทางกลับตั้งแต่ฟ้าสางอีกด้วย
ใต้เท้าเจ้าสำนักเหวี่ยงประตูปิดอย่างฉุนเฉียว
เหวี่ยงประตูปิดเสร็จ ก็ดึงประตูเปิดออกมาอีกหน แล้วตะเบ็งเสียงคำรามอย่างคับแค้น “ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้เป็นเช่นนี้! เจ้าเปลี่ยนไป! พวกเจ้าบุรุษตัวเหม็นพวกนี้ก็เป็นเหมือนกันหมด! ได้มาเสร็จก็ไม่ทะนุถนอมแล้ว! ตอนแรกที่เจ้าขอร้องให้ข้ากลับมาเจ้าพูดไว้เช่นไร! เจ้าลืมหมดแล้วสินะ! ไอ้คนสารเลว! ข้าจะไม่สนใจเจ้าอีกแล้ว! ข้าจะตัดขาดกับเจ้า! หลังจากนี้อย่ามายุ่งกับข้าอีก!”
ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมที่ได้ยินเสียงเอะอะสวมเสื้อผ้าฝ้ายถือโคมไฟเดินขึ้นมาที่ชั้นบน เขาฟังภาษาฮั่นเข้าใจอยู่นิดหน่อย ตอนแรกเขาคิดว่าบุรุษกลุ่มนี้ก่อเรื่องอันใดเสียอีก ขณะที่กำลังจะออกปากห้ามปรามก็ได้ยินถ้อยคำกล่าวหาแสนจะน้ำเน่าเช่นนี้พอดี
เขามองจีหมิงซิวอย่างดูแคลน หน้าตาเป็นคนแต่ใจเป็นสุนัข คิดไม่ถึงว่าจะเป็นผู้ชายชั่วช้าเช่นนี้!
แม้แต่บุรุษก็ยังหลอกเอาหัวใจมาล้อเล่น หน้าไม่อายเกินไปแล้วจริงๆ!
จีหมิงซิวสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินกลับไปอย่างช้าๆ
ผู้ดูแลคิดในใจ เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว! ข้าไม่อยากฟังคำแก้ตัวของเจ้า! คำแก้ตัวก็คือการกลบเกลื่อน การกลบเกลื่อนก็คือการหลบหลีก และการหลบหลีกย่อมไร้ความหมาย!
ผู้ดูแลเดินลงไปชั้นล่างอย่างรังเกียจเดียดฉันท์
อัครมหาเสนาบดีผู้รู้สึกว่าตนเองถูกป้ายมลทินเพิ่มให้อีกหลายอย่างในชั่วพริบตา “…”
ช่างไม่ยุติธรรมจริงๆ!
ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีกลับมาถึงห้อง เสียงเอะอะเมื่อครู่ปลุกเฉียวเวยกับจิ่งอวิ๋นให้ตื่นขึ้นมากันหมดแล้ว เฉียวเวยปลอบจิ่งอวิ๋นอยู่พักใหญ่ จิ่งอวิ๋นจึงเข้าสู่ห้วงนิทราอีกหน แต่เฉียวเวยกลับนอนไม่หลับอยู่บ้าง
สองพี่น้องคุยสิ่งใดกันไม่ต้องถามนางก็พอจะเดาได้ เจ้าซื่อบื้อคงจะอยากอยู่ต่อ แต่พี่ใหญ่ของเขาไม่เห็นด้วยน่ะสิ
“ปกติข้าใจดีเกินไปหรืออย่างไร เจ้าสองคนนี้ถึงใจกล้าแล้ว” จีหมิงซิวหยิกใบหน้าเล็กๆ ของบุตรชาย
เฉียวเวยคิดในใจ ก็เรียนรู้มาจากท่านไม่ใช่หรือไร พูดถึงความใจกล้า ผู้ใดใจกล้ากว่าท่านอีก ทั้งที่รู้ว่าสู้ ‘ราชันอสูร’ ไม่ได้ ก็ยังกล้าวิ่งไปจู่โจมจะสังหารอีกฝ่าย คนไม่กลัวตายอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า ไม่ใช่ท่านก็ไม่มีผู้ใดแล้ว
แต่จะว่าไปแล้วเจ้าซื่อบื้อก็น่าโดนตีสักทีจริงๆ ที่ไม่พาเขามาก็ย่อมมีเหตุผลที่ไม่สะดวกจะพาเขามาด้วย เขาไม่รออยู่ที่บ้านดีๆ แต่กลับปลอมตัวเป็นมือสังหาร นี่เขาคิดว่าตัวเองเก่งนักหรืออย่างไร!
ห้องข้างๆ ใต้เท้าเจ้าสำนักยังก่นด่าโฉงเฉงอยู่
จีหมิงซิวแค่นเสียงดังเหอะอย่างอย่างคร้านจะสนใจแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุม
เฉียวเวยพูดขึ้นมาว่า “ข้าจะไปกล่อมเขาหน่อย”
จีหมิงซิวว่าเสียงเฉยชา “ไม่ต้องไปสนใจขา ดูซิว่าเขาจะโวยวายไปได้ถึงยามใด”
เฉียวเวยมองเขาอย่างขบขัน “ข้าพบว่าพักนี้ท่านขี้โมโหขึ้นมากทีเดียว”
จีหมิงซิวได้ยิน สีหน้าบึ้งตึงก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันประหนึ่งเมฆครึ้มจางหายจันทราส่องสว่าง มุมปากยกโค้งขึ้นคล้ายยิ้มแต่ก็ไม่เหมือนรอยยิ้ม ในดวงตามีรอยยิ้มมีเลศนัยแฝงอยู่ “ก็เพราะเอาแต่อดกลั้นอย่างไรเล่า ระบายหน่อยถึงจะดี”
หลังจากเฉียวเวยเข้าใจว่า ‘อดกลั้น’ ที่เขาพูดถึงหมายถึงอดกลั้นไหน แล้ว ‘ระบาย’ ที่ว่าหมายถึงระบายไหน พวงแก้มก็แดงแปร๊ด คนผู้นี้นี่ เหตุใดทำตัวดีๆ สักวันไม่ได้เลยนะ
“ท่านไม่ได้บอกว่าข้าตั้งครรภ์อยู่หรือ” ตั้งครรภ์อยู่แล้วยังคิดจะทำนั่นทำนี่อีกหรือ!
จีหมิงซิวใช้น้ำเสียงไพเราะที่แทบจะทำให้ใบหูคนฟังอุ้มท้องได้เอ่ยขึ้นว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้ายังมี…”
“ท่านไม่ต้องพูดแล้ว!” เฉียวเวยเอ่ยขัดเขา
หากพูดต่อข้าคงทนไม่ได้ต้องจัดการท่านซะ!
เมื่อตกอยู่ใต้สายตาที่ราวกับจะลอกเสื้อผ้านางให้เปลือยล่อนจ้อนของจีหมิงซิว เฉียวเวยก็พ่ายแพ้จนต้องแผ่นหนี
เฉียวเวยเดินไปห้องของเยี่ยนเฟยเจวี๋ย สือชีหลับไปแล้ว ใต้เท้าเจ้าสำนักยังด่าไม่เลิกรา เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหนวกหูจะตายแล้ว เวลานี้เขาเริ่มอิจฉาสือชีที่เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบเล็กๆ ของตนเอง ด้านนอกฟ้าถล่มก็ไม่ได้ยิน
“ตะโกนโวยวายอะไรเล่า” เฉียวเวยปิดประตู
ใต้เท้าเจ้าสำนักยกมือสองข้างขึ้นมากอดอก พิงพนักเก้าอี้ แล้วกลอกตาใส่นาง “เจ้ามาทำอะไร กล่อมให้ข้ากลับหรือ เลิกคิดเรื่องนั้นเสียเถิด!”
เฉียวเวยดึงเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งตรงข้ามกับเขา “เจ้าบอกมาซิว่าเจ้ามาทำอันใด”
ใต้เท้าเจ้าสำนักกระแอม “เจ้า…เจ้าจะสนใจทำไมว่าข้ามาทำอันใด!”
เฉียวเวยหัวเราะเบาๆ “ข้าก็คร้านจะสนใจเจ้าเหมือนกัน ถ้าเช่นนั้นวันพรุ่งนี้ก็ให้พี่ใหญ่ของเจ้าไล่เจ้ากลับไปก็แล้วกัน!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะ “นี่! นางยักษ์! เจ้าทำเช่นนี้จะไม่เห็นใจคนใกล้ชิดเกินไปหรือไม่ ดีเลวข้ากับเจ้า…”
“ข้ากับเจ้าอย่างไร” เฉียวเวยมองเขานิ่งๆ
ใต้เท้าเจ้าสำนักเชิดคาง “ก็ผ่านเหตุการณ์ใหญ่โตมากมายมาด้วยกัน!”
เฉียวเวยจึงตอบว่า “หากเจ้าหมายถึงเรื่องที่จับพิรุธอาเขยได้แล้วพาตัวเองซวยไปด้วย หรือครั้งที่วางยาสวินหลันแต่พาข้าซวยไปด้วย อืม พวกเราสองคนก็ก่อ ‘เรื่องใหญ่โต’ มาด้วยกันไม่น้อยเลยจริงๆ!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักหน้าแดงก่ำ ตอบอึกอัก “ตอนนั้น…ตอนั้นข้าไม่ทันระวัง…”
“เจ้าเคยระวังเมื่อใดเล่า” เฉียวเวยถามแทงใจดำ
บุรุษไม่วิวาทกับสตรี ใต้เท้าเจ้าสำนักตัดสินใจว่าจะไม่ทะเลาะกับนางแล้ว “พวกเจ้ามันไร้คุณธรรมน้ำมิตร ออกมาข้างนอกแต่ละครั้งไม่เคยพาข้ามาด้วย”
เฉียวเวยทั้งฉุนทั้งขัน “พวกเราเพิ่งเดินทางออกมาข้างนอกครั้งเดียวเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นตอนออกเดินทางก็รีบร้อน ตอนนั้นเจ้าสลบยังไม่ฟื้น พวกเราต้องรอเจ้าฟื้นแล้วค่อยออกเดินทางหรือไร”
แน่นอนว่าจะรอเขาฟื้นค่อยออกเดินทางไม่ได้ หลังจากนั้นเขาได้รู้จากปากอาต๋าเอ่อร์แล้วว่าจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูถูกคนผู้นั้นลักพาตัวไป แต่เขาไม่ฟื้นแล้วพามาด้วยไม่ได้หรือ ยัดเขาไว้ในรถม้าจะเป็นอะไรหรืออย่างไร!
ใต้เท้าเจ้าสำนักกดความขุ่นเคืองในหัวใจลงไป แล้วกลอกตาค้อนวงใหญ่ พึมพำว่า “ข้าไม่สน สรุปก็คือข้ามาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่ไป! พวกเจ้าไม่พาข้าเดินทางไปด้วย ข้าก็จะไปเยี่ยหลัวด้วยตนเอง!”
เฉียวเวยมองเจ้าคนโง่ดักดานคนนี้ แล้วสูดอากาศเย็นเข้าปอด “เจ้าคิดว่าเยี่ยหลัวเป็นสถานที่ดีงามหรืออย่างไร”
“ไม่เคยไปแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าดีหรือไม่ดี” ใต้เท้าเจ้าสำนักแค่นเสียงหยัน
เฉียวเวยหรี่ตาลงเล็กน้อย “เจ้าอยากจะไปตามหาฟู่เสวี่ยเยียนล่ะสิ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักแววตาไหววูบ “ผู้ใดจะไปตามหานางยักษ์คนนั้นกัน ข้า…ข้าจะไปเยี่ยหลัวเพื่อตามหาตำราลับต่างหาก!”
เฉียวเวยเท้ามือบนโต๊ะ ขยับตัวฟึบเดียวมาอยู่ตรงหน้าเขาแล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตา
ใต้เท้าเจ้าสำนักถูกจ้องจนขนหัวลุก อยากจะดันหน้านางออก แต่กลับดันไม่ออก ได้แต่เบี่ยงหน้าของตนเองหนีแทน “เจ้า เจ้า เจ้า…เจ้าจะทำอันใด”
เฉียวเวยเท้าคางด้วยมือข้างเดียว “เจ้าว่าผ่านมาตั้งนานขนาดนี้แล้ว เหตุไฉนสมองของเจ้าจึงไม่ฉลาดขึ้นบ้าง โกหกทั้งทีก็ยังโกหกได้เท่านี้ ตอนนี้ข้าได้แต่ภาวนาว่าลูก…”
“ลูกอะไร” ใต้เท้าเจ้าสำนักหันมามองนางอย่างฉงน
“ไม่มีอะไร” เฉียวเวยกลับไปนั่งบนเก้าอี้ของตนด้วยท่าทางนิ่งเฉย “เจ้าล้มเลิกความคิดนั่นเสียเถอะ ข้าจะไม่พาเจ้าไปหาฟู่เสวี่ยเยียนหรอก”
ใต้เท้าเจ้าสำนักทำหน้าขึงขัง “ผู้ใดจะไปหานางกัน ข้าไม่ได้จะไปหานางจริงๆ นะ!”
“อ้อ”
คำพูดนี้เหมือนตอนวั่งซูพูดว่า ‘ผู้ใดแอบกินขนมกัน ข้าไม่ได้แอบกินจริงๆ นะ!’ ทุกประการ
ใต้เท้าเจ้าสำนักดูเหมือนจะมองออกว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล สมองของเขาเกิดปฏิภาณไหวพริบขึ้นมา เขาจึงพยายามหลอกล่อ “ถ้าพวกเจ้าให้ข้าอยู่ต่อ ข้าจะบอกพวกเจ้าว่าคนเยี่ยหลัวกลุ่มนั้นอยู่ที่ไหน”
เฉียวเวยไม่หลงกลเขา “ไม่ต้องให้เจ้าบอก พวกเราก็หากันเองได้”
ใต้เท้าเจ้าสำนักพูดอย่างชั่วร้าย “พวกเจ้าหาไม่พบหรอก”
พูดจบ องครักษ์หน้าตามอมแมมคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้อง “ฮูหยิน หาฐานที่มั่นของคนพวกนั้นพบแล้วขอรับ!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักคับแค้นอยู่ในอก!
เจ้ากลับมาช้าอีกสักนิดจะตายหรือไร!
เฉียวเวยยกมุมปากโค้งหันไปมองใต้เท้าเจ้าสำนักที่มีควันทะมึนลอยขึ้นมาเหนือศีรษะแล้วยิ้มหวาน “ดูเหมือนจะไม่มีเหตุผลให้เจ้าอยู่ต่อแล้วจริงๆ เจ้ารีบเก็บข้าวของ…กลับไปเถิด”
ใต้เท้าเจ้าสำนักหน้าอกพองขึ้นยุบลงอย่างรุนแรง “พวกเจ้าจะต้องเสียใจ! ข้ารู้ว่าพวกเขามียอดฝีมือที่เก่งกาจอยู่คนหนึ่ง ธนูจันทร์โลหิตก็ยังสังหารเขาไม่ได้! พวกเจ้าทุกคนไม่มีวิธีจัดการกับเขา! แต่ข้ามี!”
เฉียวเวยแสร้งทำเป็นว่าตนเองเชื่อ ตบหัวไหล่เขาแล้วบอกว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็เก็บไว้ปกป้องตนเองเถิดนะ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักยืนกรานหนักแน่น “ข้าพูดความจริงนะ! ข้ามีวิธีจัดการเขาจริงๆ!”
“วิธีอะไรหรือ” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถามขึ้นมา
เฉียวเวยตวัดสายตาคมกริบไปทันที
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถูจมูก “ปากไวไปหน่อย พอดีมันอดไม่ไหว”
“ข้ามีจริงๆ” ใต้เท้าเจ้าสำนักพูดขึ้นมาอย่างขุ่นเคือง “พวกเจ้าฟังก่อนก็ได้นี่ หากคิดว่าข้าพูดไม่ถูก อย่างมากที่สุดก็ไม่ใช้เท่านั้น! สตรีนางนั้นน่าชังถึงเพียงนี้ พวกเจ้าไม่อยากจะจัดการนางหรือไร”
จะไม่อยากจัดการได้อย่างไรเล่า พอคิดถึงเรื่องที่นางหลอกใช้ความรู้สึกของพวกเขาทั้งครอบครัว แล้วยังลักพาตัววั่งซูกับจิ่งอวิ๋นไป ทำให้จิ่งอวิ๋นต้องทุกข์ทรมานขนาดนั้นอีก เฉียวเวยก็อยากจะสับนางเป็นชิ้นๆ
ใต้เท้าเจ้าสำนักพูดต่อว่า “บุรุษคนนั้นบาดเจ็บหนักแล้ว เป็นเวลาเหมาะที่จะจัดการ จะปล่อยให้เขากลับไปถึงเยี่ยหลัวไม่ได้ พอเขากลับไปถึงแล้วหายดี ต่อให้พวกเจ้าไล่ตามทันแล้วจะทำอันใดได้อีก ไม่ใช่ว่าต้องถูกเขาจัดการจนราบคาบหรือ”
เรื่องนี้ก็จริง ที่นอกเมืองผูคนผู้นั้นเหลือกำลังภายในเพียงห้าส่วนยังจัดการยากเย็นแสนเข็ญขนาดนั้น หากเขาอยู่ในสภาพพร้อมที่สุด แล้วเลื่อนขั้นไปสู่ขอบขั้นของราชันอสูรแล้ว เช่นนั้นแม้แต่ธนูจันทร์โลหิตบางทีก็อาจจะทำอันใดเขาไม่ได้อีกต่อไป
เฉียวเวยคิดคำนวณในใจทันที “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ลองพูดมาสิว่าเจ้ามีวิธีอันใด”
ใต้เท้าเจ้าสำนักยิ้มอย่างลำพอง หยิบกล่องใบหนึ่งในอกเสื้อออกมา
“นี่คือสิ่งใด” เฉียวเวยถาม
ใต้เท้าเจ้าสำนักส่งกล่องไปที่มือของนาง “ดูเองสิ”
เฉียวเวยเปิดออกดู แล้วพบว่ามันคือกู่ขับขานราตรีตัวหนึ่ง!
นางจำได้ว่าแมลงกู่ชนิดนี้ถูกตนเองกำจัดไปจนหมดเกลี้ยงแล้ว เจ้าหมอนี่คิดจะทำอันใด ถึงขนาดแอบเลี้ยงพวกมันไว้ลับหลังนางเชียวหรือ
ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่รู้สักนิดว่าในใจพี่สะใภ้ใหญ่กำลังครุ่นคิดว่าจะซ้อมเขาอย่างไรดีถึงจะคลายโทสะได้ เขายืดหน้าอก บอกอย่างมั่นอกมั่นใจ “ใครก็ตามที่ถูกใส่กู่ขับขานราตรีเข้าไปในตัวล้วนจะกลัวเสียงขลุ่ยของข้า ขอเพียงเอาแมลงกู่ตัวนี้ใส่เข้าไปในร่างของคนผู้นั้น ข้าก็มีวิธีจัดการเขาแล้ว!”
———————————–