หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 454-2 ความลับของฮองเฮา
ตอนที่ 454-2 ความลับของฮองเฮา
จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ “เรื่องที่ต้องการจะไหว้วานท่านอ๋องมีมากมายนัก มิสู้พูดถึงฮองเฮาก่อนเถิด ท่านอ๋องรู้เรื่องของนางมากน้อยเพียงใด”
มู่อ๋องคลี่รอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนรอยยิ้ม “ข้าคิดว่าเจ้าจะถามเรื่องตระกูลกู่เสียอีก”
จีหมิงซิวยิ้มจางๆ “ตระกูลกู่เกี่ยวอันใดกับข้าเล่า”
ใต้เท้าเจ้าสำนักอ้าปากหาว ทำอะไรกัน พูดถึงเรื่องพวกนี้ทำไม พวกเจ้าคนใหญ่คนโตเหล่านี้รู้จักเบื่อหน่ายกันหรือไม่ หากรู้ก่อนข้าคงไม่ตามมาแล้ว!
บนโต๊ะมีขนมวางอยู่จานหนึ่ง เฉียวเวยส่งให้เขาหนึ่งชิ้น แต่เดิมตั้งใจจะให้เขาหยิบมากินเอง แต่เขากลับก้มหน้าลงมางับจากมือของนาง
เฉียวเวย “…”
ยอมเจ้าแล้ว!
เฉียวเวยยัดขนมใส่ปากเขา ส่วนตนเองก็หยิบขึ้นมากินชิ้นหนึ่งอย่างอ้อยอิ่ง กินไปก็ฟังมู่อ๋องเล่าเรื่องฮองเฮาไปด้วย
เรื่องมีอยู่ว่ามู่อ๋องคนนี้ก็รู้เรื่องชาติกำเนิดของฮองเฮามานานแล้วเช่นกัน เพียงแต่ว่าภาพจำเกี่ยวกับฮองเฮาที่เขามีดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมือนที่พวกเขารู้นัก
ปกติฮองเฮามักจะอาศัยอยู่ในวังหลวง น้อยครั้งมากที่จะออกไปข้างนอก บวกกับอีกฝ่ายเป็นพี่สะใภ้ของเขา ทำสิ่งใดล้วนต้องเลี่ยงคำครหา ทั้งสองคนจึงมีโอกาสพบกันไม่มาก ต่อให้พบกันก็เพียงถามไถ่สารทุกข์สุกดิบสั้นๆ เพียงไม่กี่คำเท่านั้น
แต่พระชายาของเขามักจะไปนั่งเล่นที่ตำหนักของฮองเฮาทุกสามวันห้าวัน หลังจากกลับมาก็จะคุยเรื่องฮองเฮากับเขาทุกที คำพูดที่เล่ามีแต่ความชื่นชมต่อฮองเฮา บอกว่าฮองเฮาเป็นยอดสตรีอันดับหนึ่งแห่งเยี่ยหลัว เพียบพร้อมทั้งบุ๋นบู๊ นิสัยก็เด็ดเดี่ยวตรงไปตรงมาอย่างที่หาได้น้อยยิ่ง
“หากพูดเช่นนี้ก็มีแต่ตอนอยู่ต้าเหลียงที่นางเสแสร้งทำตัวเช่นนั้นน่ะสิ” เฉียวเวยลอบถอนหายใจ คิดว่านางเสแสร้งได้แนบเนียนถึงเพียงนั้นเพราะฝึกฝนที่เยี่ยหลัวมาก่อนจนชำนาญแล้วเสียอีก ที่แท้ผู้อื่นเพิ่งเคยเล่นละครเป็นดอกบัวขาวครั้งแรกก็เล่นได้ยอดเยี่ยมถึงขนาดนั้น
เสียงของเฉียวเวยเบายิ่งนัก มู่อ๋องไม่ได้ยินว่านางพึมพำสิ่งใด แล้วก็ไม่สะดวกจะถาม
จีหมิงซิวถามขึ้นมาว่า “ก่อนนางจะแต่งงานกับราชาเยี่ยหลัวมีฐานะเป็นใคร ท่านอ๋องทราบหรือไม่”
มู่อ๋องส่ายหน้า “ได้ยินว่าเป็นคุณหนูของเผ่าหลีซี แต่ในเมื่อนางเป็นน้องสาวของเจาหมิง ฐานะนี้ก็คงเป็นของปลอมเช่นกัน ข้าเคยส่งคนออกไปสืบเรื่องของนางแล้ว น่าเสียดายไม่ได้สิ่งใดกลับมาเลย”
จีหมิงซิวคิดอะไรขึ้นมาได้จึงถามอีกว่า “นางรู้จักกับตระกูลกู่หรือไม่”
มู่อ๋องส่ายหน้า “ตระกูลกู่ใต้ล่มสลายไปตั้งแต่ก่อนนางจะแต่งงานกับพี่ใหญ่ของข้า ตระกูลกู่เหนือก็ไม่ค่อยมีความสัมพันธ์อะไรกับนางนัก ดังนั้น…จึงไม่ได้ไปมาหาสู่กันเท่าไร”
“ถ้าเช่นนั้น…พวกท่านคนเยี่ยหลัวรู้กันหมดหรือไม่ว่านางเป็นคุณหนูตระกูลกู่” เฉียวเวยถาม
มู่อ๋องส่ายหน้าอีกหน “ไม่ ความลับประการนี้แม้แต่บุตรชายของข้าก็ไม่ทราบ ข้าเองก็บังเอิญได้ยินบทสนทนาระหว่างพี่ใหญ่กับราชครูถึงทราบว่าที่แท้นางคือน้องสาวฝาแฝดของเจาหมิง ฐานะของนางที่เยี่ยหลัวยังคงเป็นคุณหนูจากเผ่าหลีซี”
จุดที่สตรีสนใจกับบุรุษสนใจคงจะไม่เหมือนกัน เมื่อเทียบกับสิ่งอื่นทั้งหลาย เฉียวเวยสนใจมากกว่าว่าเหตุใดราชาเยี่ยหลัวทราบแล้วว่าฮองเฮาเป็นตัวปลอมแต่กลับไม่สังหารฮองเฮาทิ้ง
มู่อ๋องถอนหายใจ “บางที…พี่ใหญ่คงมีใจให้นางจริงๆ กระมัง”
เฉียวเวยกัดลิ้น ตกหลุมรักผู้หญิงที่ใจเด็ดโหดเหี้ยมขนาดนี้ รสนิยมของราชาเยี่ยหลัวช่างมีเอกลักษณ์อะไรเช่นนี้
จีหมิงซิวจิบชาคำหนึ่ง “พูดมามากมายถึงเพียงนี้ แต่ไม่มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์สักอย่าง มู่อ่องล้อพวกข้าเล่นหรือ”
เฉียวเวยถูกมู่อ๋องพาลงคลองไปแล้ว นางรู้สึกว่าทุกประโยคที่มู่อ๋องคนนี้พูดออกมาเป็นเรื่องจริง แต่ตอนนี้พอได้ยินคำพูดของจีหมิงซิวจึงฉุกคิดขึ้นมาได้ มู่อ๋องคนนี้ฉากหน้าพร่ำพูดมาตั้งมากมาย แต่ความจริงแต่ละอย่างที่พูดมาเป็นสิ่งที่พวกเขารู้มาก่อนแล้ว บ้างก็เดาออกแปดเก้าในสิบส่วน ไม่แปลกที่นางจะรู้สึกว่าทุกสิ่งเป็นเรื่องจริง!
ท่านอ๋องช่างเจ้าเล่ห์นักนะ!
น่าเสียดายดันมาพบกับจีหมิงซิวที่เจ้าเล่ห์กว่า
มู่อ๋องกระแอมเบาๆ แล้วจิบชาหนึ่งคำ “ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้ารู้เรื่องพวกนี้แล้ว แต่มีเรื่องหนึ่งที่พวกเจ้าน่าจะไม่เคยได้ยินมาก่อน”
จีหมิงซิวเอ่ยว่า “กำลังอยากฟังอยู่พอดี”
“แต่เดิมฮองเฮากับอวิ๋นจูเคยอาศัยอยู่บนเขาไฉ่เหลียน…”
“พูดเรื่องสำคัญเถิด” จีหมิงซิวขัดมู่อ๋อง
“คนหนุ่มอย่างเจ้านี่ ช่าง…” มู่อ๋องส่ายหน้าอย่างจนปัญญา แล้วบอกออกมาว่า “ฮองเฮาป่วยเป็นโรคบางอย่าง”
ใต้เท้าเจ้าสำนักที่พิงพนักเก้าอี้นอนหลับทั้งที่คาบขนมครึ่งชิ้นคาปากสะดุ้งพรวดตื่นขึ้นมา เขานั่งตัวตรง สองตาทอประกายเจิดจ้าเผยแววตาชั่วร้าย “สตรีบ้าคนนั้นป่วยอยู่หรือ ป่วยเป็นอะไร”
มู่อ๋องมองเขาอย่างหมดคำจะพูด นี่คือโหราจารย์จริงหรือ เหตุใดจึงรู้สึกว่าบุตรชายของตนก็เป็นโหราจารย์ได้กันนะ
ใต้เท้าเจ้าสำนักถลึงตาโต้สายตาจ้องจับผิดของเขา แล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าหยุดทำอะไร รีบพูดสิ นางป่วยเป็นอะไร!”
มู่อ๋องพูดต่อ “รายละเอียดว่าป่วยเป็นอันใดข้าไม่ทราบ แต่จะต้องเป็นโรคที่รักษายากอย่างยิ่งแน่นอน ในอดีตมารดาของนางก็ลงจากเขาไฉ่เหลี่ยนไปเพื่อหายามารักษาโรคให้นาง น่าเสียดาย…นางไปแล้วไม่เคยได้หวนกลับมา เรื่องนี้แม้แต่พี่ใหญ่ของข้าก็ไม่ทราบ”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้ารู้ได้อย่างไร” ใต้เท้าเจ้าสำนักถาม
มู่อ๋องไม่ใช่คนจิตใจคับแคบพรรค์นั้น เขาไม่สนใจท่าทีแคลงใจของเด็กรุ่นหลังคนหนึ่ง เขาถอนหายใจแผ่วเบาแล้วบอกว่า “นี่เป็นเรื่องบังเอิญ ข้ามีหูตาของตนเองอยู่ในวังหลวง ถึงแม้ผ่านไปหลายปีแล้วจะไม่เคยสืบข่าวอันใดมาได้ แต่วันนั้นเขาบังเอิญได้ยินฮองเฮาพึมพำเรื่องเหล่านี้ออกมาหลังจากดื่มสุรามากเกินไป”
เฉียวเวยพยักหน้าอย่างเงียบๆ ที่แท้อวิ๋นจูก็ออกจากเขาไฉ่เหลียนไปเพราะเหตุผลนี้นี่เอง ไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงจากไปแล้วไม่หวนกลับมา
ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่ได้เติบใหญ่มาที่ตระกูลจี เขาเป็นอิสระและมีความผูกพันกับครอบครัวเพียงน้อยนิดจึงไม่สนใจว่าอวิ๋นจูจะไปอยู่ที่ไหนสักเท่าไร แต่เขาอยากรู้มากกว่าว่าผู้หญิงบ้าคนนั้นแท้จริงแล้วป่วยเป็นอะไร เขาตบหัวไหล่ของเฉียวเวย “นี่ นางยักษ์ เจ้าเคยจับชีพจรของนางไม่ใช่หรือ เจ้ามองไม่ออกหรือว่านางป่วยอยู่”
เฉียวเวยส่ายหน้า
หากไม่ใช่ว่าบุตรชายของมู่อ๋องอยู่ในกำมือของพวกเขา นางคงจะคิดว่ามู่อ๋องกำลังแต่งเรื่องหลอกพวกเขาอยู่ด้วยซ้ำ เพราะชีพจรของสตรีนางนั้นปกติจนปกติกว่านี้ไม่ได้อีกแล้วจริงๆ มีอาการเหมือนคนป่วยเสียที่ไหนเล่า
ใต้เท้าเจ้าสำนักต่อว่าอย่างรังเกียจ “วิชาแพทย์ของเจ้าก็ไม่เท่าไรนี่! แม้แต่โรคที่อาการหนักขนาดนี้ก็ยังตรวจไม่เจอ!”
เฉียวเวยเอ่ยขึ้นเรียบๆ “โรคที่อาการหนักขนาดไหน เจ้าลองพูดมาซิ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักกลอกตาใส่มู่อ๋ออง “ก็เขาพูดไม่ใช่หรือว่ารักษายากอย่างยิ่ง! เจ้าว่าเช่นนี้จะอาการหนักหรือไม่เล่า“
ดวงตาของเฉียวเวยหรี่ลง “เจ้าซื่อบื้อ เจ้าอยากโดนซ้อมใช่หรือไม่”
“เจ้าก็มาสิ!” ใต้เท้าเจ้าสำนักถอยหลังหลายก้าวอย่างรวดเร็ว
เฉียวเวยกัดฟันกรอด “เก่งจริงเจ้าก็อย่าหลบสิ!”
ใต้เท้าเจ้าสำนัก “ผู้ใดไม่หลบก็โง่สิ!”
เฉียวเวยไล่ตีเขาออกไปด้านนอก
มู่อ๋องเพิ่งเคยเห็นพี่สะใภ้กับน้องสามีคู่นี้เวลาอยู่ด้วยกันเช่นนี้เป็นครั้งแรก เขาตกใจจนกัดลิ้น เมื่อหันไปมองจีหมิงซิวที่อยู่ด้านข้างก็ดูเหมือนจะชินชาเป็นเรื่องปกติ แม้แต่หนังตาก็ไม่กระตุกสักนิด ครอบครัวนี้ช่าง…
มู่อ๋องนึกอยู่เนิ่นนานก็คิดหาถ้อยคำเหมาะสมมาเรียกไม่ถูก
อีกด้านหนึ่งจีหมิงซิวก็เอ่ยปาก “พวกเราไม่มีญาติมิตรที่เยี่ยหลัว ต่อจากนี้คงจะต้องรบกวนท่านอ๋องแล้ว”
“พวกเจ้าคงไม่ได้คิดจะมาอาศัยในจวนมู่อ๋องกระมัง” มู่อ๋องมองเขาอย่างตกใจ
จีหมิงซิวยิ้มน้อยๆ “ไม่เช่นนั้น พวกข้าจะไปอาศัยที่ใดเล่า”
โรงเตี๊ยม เหลาสุรา จวน ที่ไหนพักอาศัยไม่ได้บ้าง!
มู่อ๋องกำถ้วยในมือแน่น “หากเรื่องนี้ลอยไปถึงหูพี่ใหญ่ของข้า เจ้าจะให้ข้าอธิบายกับพี่ใหญ่ของข้าว่าอย่างไร”
จีหมิงซิวตอบอย่างสบายใจเฉิบ “นั่นเป็นเรื่องของท่านอ๋องเอง ท่านอ๋องย่อมมีหนทางเอง”
มู่อ๋องกระแทกถ้วยชาลงบนโต๊ะดังปัง หน้าอกพองขึ้นยุบลงอย่างแรงอยู่หลายหน เขาสบสายตาไร้ความหวั่นกลัวของจีหมิงซิวแล้วกำหมัด “ข้าต้องการพบลูกชายของข้า!”
จีหมิงซิวตอบเรียบๆ “ก่อนข้าไปจากเยี่ยหลัว ไม่มีทาง”
มู่อ๋องหน้าบึ้ง “เจ้าอย่าให้มันมากเกินไปนัก!”
จีหมิงซิวลุกขึ้นยืนนิ่งๆ แล้วอมยิ้มมองเขา “พักผ่อนหนึ่งคืน วันพรุ่งนี้เช้าออกเดินทาง”
————————————-