หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 460-1 ต้าไป๋ปรากฏตัว ชาติกำเนิด
ตอนที่ 460-1 ต้าไป๋ปรากฏตัว ชาติกำเนิด
ภายในตำหนักใหญ่ที่เคร่งขรึม เฉียวเวยกับจีหมิงซิวได้พบกับราชาเยี่ยหลัวในตำนาน
ราชาเยี่ยหลัวอยู่ในชุดมังกรสีแดงสดปักดิ้นทอง บนชุดปักดอกไม้เล็กๆ สีทองเรียงเป็นแถวๆ ตรงหน้าอกมีกระดุมขนาดเท่ากำปั้นเรียงแถวกันอยู่ บนกระดุมแกะสลักเป็นตัวอักษรฝูเหวิน
เขาสวมมงกุฎราชาอยู่ ข้างใต้มงกุฎ เส้นผมสีน้ำตาลเข้มม้วนเป็นลอนธรรมชาติไม่ใหญ่นัก เมื่อตัดกับผิวสีข้าวโอ๊ต จึงแผ่ไอความป่าเถื่อนและมีพลังอันงดงามออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
เขาไว้หนวดเล็กน้อย แต่ไม่ดูเกรอะกรัง กลับยิ่งทำให้มีเสน่ห์แผ่กระจายออกมา
ต้องบอกว่า นี่เป็นบุรุษที่มีเสน่ห์มากล้นคนหนึ่ง ทั้งยังมีอำนาจเหนือผู้คนทั้งปวง สตรีเยี่ยหลัวน่ากลัวว่าคงจะคลั่งไคล้เขากันทั้งนั้นกระมัง
เฉียวเวยมองประเมินราชาเยี่ยหลัวอย่างเปิดเผย ราชาเยี่ยหลัวก็มองทั้งสองอย่างไม่หลบเลี่ยงเช่นกัน ตอนสายตาราชาเยี่ยหลัวหยุดมองใบหน้าเฉียวเวยนั้น ไม่รู้เหตุใดถึงมีแววประหลาดวาบผ่าน เขาเลื่อนสายตาหนีไปอย่างรวดเร็ว แล้วหันไปมองจีหมิงซิวที่อยู่ด้านข้าง
จีหมิงซิวเปลี่ยนไปใส่ชุดขุนนางสีม่วงของต้าเหลียง ด้วยสีที่ดูสูงค่าทำให้รัศมีของเขาดูดุดันขึ้นหลายส่วน รูปร่างที่สูงโปร่ง ลักษณะที่งดงามไม่ดาษดื่น ตรงแขนเสื้อมีมือที่เรียวยาวประหนึ่งหยกคู่หนึ่งทิ้งตัวออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้บุรุษผู้นี้มองดูแล้วคล้ายเดินลงมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ ดูน่าเกรงขามจนไม่อาจล่วงเกิน
สายตาของราชาเยี่ยหลัวหยุดมองที่หน้ากากของจีหมิงซิว
จีหมิงซิวยังคงดูสบายๆ ไม่กดดัน ท่าทางดูไม่แปลกไปสักนิด แต่เฉียวเวยรู้ดี บุรุษบนบัลลังก์ที่เคยมีคำสั่งให้ไล่ล่าตัวองค์หญิงเจาหมิง ในใจหมิงซิวในเวลานี้ไม่มีทางสงบนิ่งเช่นท่าทางที่แสดงออกมาแน่นอน
พักใหญ่ ราชาเยี่ยหลัวถึงค่อยๆ เอ่ยปาก
ด้านล่างมีขุนนางด้านภาษาเดินออกมาเอ่ยแปลให้ว่า “อัครเสนาบดีโปรดถอดหน้ากากออกด้วย”
เฉียวเวยพบคนใหญ่คนโตมาก็มาก ยังไม่เคยมีผู้ใดมาถึงก็ให้หมิงซิวถอดหน้ากากออกเลยเช่นนี้มาก่อน
จีหมิงซิวถอดหน้ากากออกด้วยท่าทางสงบนิ่ง เผยให้เห็นใบหน้างดงามไร้ข้อติติงของตน
เมื่อได้เห็นใบหน้านั้น ในท้องพระโรงก็มีเสียงสูดหายใจดังขึ้นทันที
ไม่แปลกที่คนในท้องพระโรงจะตกใจ ใบหน้านี้มีส่วนละม้ายฮองเฮาเยี่ยหลัวอยู่มากจริงๆ คนไม่รู้ยังคิดว่าเขาเป็นบุตรชายในอุทรของฮองเฮาเสียอีก
เหล่าขุนนางไม่รู้ แต่ราชาเยี่ยหลัวอย่างไรก็รู้ดี เด็กคนนี้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจาหมิง ไม่ใช่ของฮองเฮาเยี่ยหลัว
ราชาเยี่ยหลัวอึ้งมองจีหมิงซิว สายตาที่ล้ำลึกมีแววซับซ้อนวาบผ่าน
เฉียวเวยเห็นมือใหญ่ของเขากำที่เท้าแขนเก้าอี้แน่น ก่อนจะค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้น
เกินไปกระมัง ได้พบบุตรชายของหญิงในดวงใจต้องตื่นเต้นเพียงนี้เชียวหรือ
คนที่ตื่นเต้นมิได้มีเพียงราชาเยี่ยหลัวคนเดียว มู่อ๋องที่ทำ “เรื่องเลวร้าย” จนกลัวว่าจะถูกราชาเยี่ยหลัวลงโทษ ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างไร้สุ้มเสียงเช่นกัน เขาพยายามทำให้ตนเองไม่มีตัวตนอยู่ที่นี่ให้มากที่สุด แต่หลังจากได้เห็นใบหน้านั้นแล้ว สีหน้าเขาก็พลันเปลี่ยนไป!
คนในท้องพระโรงเริ่มกระซิบกระซาบกัน นอกจากคนที่รู้เรื่องอยู่ไม่กี่คนแล้ว ใครจะรู้ว่าเหตุใดจีหมิงซิวถึงมีใบหน้าที่คล้ายคลึงกับฮองเฮาเยี่ยหลัวเช่นนี้
หลังจากนั้นทุกอย่างก็ดำเนินไปตามพิธีทางการอันยืดยาวและน่าเบื่อของทางการทูต จีหมิงซิวรับมือได้อย่างดี เฉียวเวยกลับเบื่อหน่ายจนเกือบจะผล็อยหลับไป
พูดตามตรง การพบหน้ากันครั้งนี้ราบรื่นกว่าที่เฉียวเวยจินตนาการไว้มากนัก นางยังคิดว่าราชาเยี่ยหลัวจะสร้างความลำบากให้พวกเขาสักหน่อยเสียอีก เพราะถึงอย่างไรพวกนางก็มาโดยไม่ได้รับเชิญ ทั้งยังไม่มีไพ่ตายอย่าง “องค์หญิงเจาหมิง” อีก ราชาเยี่ยหลัวไม่น่าจะต้อนรับขับสู้พวกเขาอย่างที่ฮ่องเต้ต้าเหลียงต้อนรับขับสู้ขุนนางทูตจากเยี่ยหลัว
หลังจากพิธีการในท้องพระโรงผ่านไปแล้ว ราชาเยี่ยหลัวก็รีบเชิญจีหมิงซิวเข้าห้องหนังสืออย่างแทบทนรอไม่ไหว เหตุผลย่อมเพราะต้องการเจรจาเรื่องการปกครองระหว่างสองแคว้น ส่วนเฉียวเวยเป็นสตรี โดยหลักการแล้วต้องมีฮองเฮามาต้อนรับ แต่จีหมิงซิวจะวางใจให้นางอยู่กับฮองเฮาตามลำพังได้อย่างไร เขาจึงเรียกหานางกำนัลให้มาพานางไปชื่นชมทะเลสาบแทน
ทะเลสาบของเยี่ยหลัวมีอะไรน่าชื่นชมกัน แผ่นดินของต้าเหลียง ทะเลของชนเผ่าลึกลับต่างหากถึงเรียกว่าแดนสวรรค์ที่แท้จริง
เฉียวเวยเดินเล่นไปอย่างเบื่อหน่าย เลยไปหาศาลานั่งพัก
นางกำนัลที่มาด้วยพูดภาษาฮั่นได้ จึงเอ่ยอย่างมีไหวพริบว่า “ฮูหยินเชิญนั่งพักตรงนี้ก่อน ข้าจะไปเอาขนมมาให้”
เฉียวเวยตอบอื้อเรียบๆ
นางกำนัลเดินซอยเท้าออกไป ไม่เท่าไรก็มีเสียงฝีเท้าเดินกลับมา
เฉียวเวยเลิกคิ้ว ไวเพียงนี้เชียวหรือ
มือข้างหนึ่งวางลงบนหัวไหล่ของเฉียวเวยแล้วสะกิดเบาๆ “เสี่ยวเวย!”
น้ำเสียงที่ราวกับปีศาจนี้!
เฉียวเวยตกใจจนตัวสั่น ตัวแทบจะปริแตก!
ฮองเฮาเยี่ยหลัวยิ้มพริ้มขณะมองหน้าเฉียวเวย “ข้าได้ยินว่าเจ้ากับหมิงซิวมาเข้าวัง เหตุใดเจ้าถึงไม่ไปหาข้า”
ข้ากล้าไปหาเจ้าหรือ เจ้าเกือบยิงฆ่าตายแล้วนะ!
เฉียวเวยก้าวถอยหลังหลายก้าวราวกับเห็นผี เห็นได้ชัดว่าเมื่อคืนที่นางใจดีช่วยเหลือ ยังไม่อาจลบปมในใจที่อีกฝ่ายก่อไว้ไปได้ นางแค่เห็นท่านน้าก็พาให้นึกถึงมุมปากเยาะหยัน กับธนูที่เกือบเอาชีวิตนางไป
ฮองเฮาเยี่ยหลัวเบิกตาโตใสซื่อ เอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “เสี่ยวเวยเจ้าเป็นอะไรไป ข้าทำเจ้าตกใจหรือ ก็ได้ๆ ข้าไม่ทำเจ้าตกใจอีกแล้ว!”
พูดจบนางก็เดินเข้ามาจับข้อมือเฉียวเวย
เฉียวเวยมองมือเรียวที่จับข้อมือตนไว้ด้วยความระแวดระวัง เหงื่อผุดขึ้นเต็มตัว ลังเลระหว่างจะซัดสันมือใส่นางให้สลบกับใช้เท้าถีบนางให้กระเด็นออกไปอยู่พักหนึ่ง
“ซู่ว์ มีคนมา!” ฮองเฮาเยี่ยหลัวทำท่าให้นางเงียบเสียง แล้วดึงเฉียวเวยให้ไปหลบอยู่ตรงพุ่มไม้ด้านหลังศาลารับลม
เฉียวเวยอยากทุบตัวเองให้ตาย นางแรงเยอะเพียงนี้ เหตุใดอีกฝ่ายดึงไปก็ไปกับนางด้วยเสียเล่า
นางกำนัลที่รับใช้เฉียวเวยอยู่ก่อนหน้านี้ยกขนมหน้าตาประณีตเข้ามา นางกวาดตามองไปรอบๆ แล้วไม่เห็นเฉียวเวย จึงงงงันไปทันที “เอ๋ ฮูหยินเล่า ฮูหยิน! ท่านอยู่ที่ใด”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวเอามือปิดปากเฉียวเวยไว้พร้อมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
เฉียวเวยเห็นรอยยิ้มนางแล้ว ใจของนางพลันขนลุกซู่ หมิงซิวกล่าวได้ถูกต้อง สตรีนางนี้อันตรายเกินไปจริงๆ ใครจะรู้ว่านางวางแผนทำการใดอยู่ ตัวนางอย่าได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับอีกฝ่ายเลยจะดีที่สุด!
“ฮูหยิน! ฮูหยินนน”
นางกำนัลถือขนมไปตามหาเฉียวเวย
เมื่อมั่นใจว่านางเดินไปไกลแล้ว ฮองเฮาเยี่ยหลัวก็ดึงเฉียวเวยให้ลุกขึ้นแล้วปัดมือด้วยความได้ใจ
หันกลับมาอีกที เฉียวเวยก็ไม่รู้หมุนตัวเขย่งปลายเท้าเดินหนีไปตั้งแต่เมื่อไรแล้ว
“เสี่ยวเวย! เจ้าจะไปไหน”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวเรียกเฉียวเวยไว้
เฉียวเวยหยุดฝีเท้าด้วยความหัวเสีย ก่อนจะหันกลับไปส่งยิ้มให้ “ข้า…ข้าจะไปเดินเล่นสักหน่อย”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวทำเสียงเหอะๆ “วังหลวงมีอะไรน่าเดินเล่นกัน ข้าอยู่ที่นี่มานานปีเพียงนี้ เดินจนเบื่อไปหมดแล้ว! ข้าพาเจ้าไปที่หนึ่งดีกว่า!”
เจ้าเดินเบื่อแล้วแต่ข้ายังนี่ ปล่อยข้าไปจะได้หรือไม่!
ฮองเฮาเยี่ยหลัวจับมือเฉียวเวยไว้ ตรงมือที่อ่อนนุ่มมีเนื้อผ้าบางๆ ชั้นหนึ่งขวางอยู่ ห่อคลุมมือที่เย็นจัดเอาไว้
เมื่อได้สัมผัสกับมือเช่นนี้ เฉียวเวยถึงกับปฏิเสธไม่ออก
ดังนั้นเจ้าสำนักเฉียวที่ตัวแข็งเกร็งและเย็นวาบ จึงถูกฮองเฮาเยี่ยหลัวลากเดินไปจนถึงกำแพงวัง
“ท่านคิดจะทำอะไร”
หลังจากปรับตัวให้คุ้นชินกับปฏิกิริยาอันน่าประหลาดของนางได้แล้ว เฉียวเวยก็บังคับตนเองให้สงบลงได้
คงจะเล่นลูกไม้อะไรอีก เล่นมาอย่างไรตนก็รับอย่างนั้นแล้วกัน!
นางเข้ามาในวังหลวงอย่างเปิดเผย นางไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะกล้าทำอะไรตน!
ฮองเฮาเยี่ยหลัวกระซิบกระซาบบอกว่า “ปีนกำแพงน่ะสิ ข้ารู้สถานที่สนุกๆ แห่งหนึ่ง ข้าจะพาเจ้าไป”
เล่ห์กล!
ต้องมีเล่ห์กลเป็นแน่!
เฉียวเวยลูบคาง หรี่ตามองนางด้วยความระแวง ภายในวังหลวงนางไม่กล้าทำอะไรตนแน่ แต่หากออกจากวังไปแล้ว ตนจะไม่ต้องรับผิดชอบความเป็นความตายของตนเองแล้วหรือ
หรือไม่…หลอกล่อให้นางปีนกำแพงออกไปก่อน แล้วอาศัยจังหวะนั้นวิ่งหนีไป
ความคิดนี้ดี เอาแบบนี้ก็แล้วกัน!
เฉียวเวยที่ตัดสินใจแล้วว่าจะหนี อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกระซิบจากนอกกำแพงว่า “เสี่ยวเวย ข้าปีนออกมาแล้วนะ! เจ้ารีบออกมาสิ!”
เฉียวเวย “…”
หากจะหนีไปในตอนนั้นคงเป็นเรื่องแสนง่ายดาย แต่อยู่ๆ เฉียวเวยก็เกิดไม่อยากหนีขึ้นมา นางอยากดูว่าอีกฝ่ายจะเล่นลูกไม้อะไร
เฉียวเวยปีนขึ้นต้นไม้ แล้วข้ามกำแพงวังออกไป
จังหวะที่ปีนกำแพงออกไปนั้น อยู่ๆ ในหัวเฉียวเวยก็มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามา: ยัยคนนี้ตอนอยู่ต้าเหลียงก็ชอบแอบปีนกำแพงวัง คงไม่ได้ฝึกปรือมาตอนอยู่เยี่ยหลัวกระมัง
ฮองเฮาเยี่ยหลัวพอได้ออกจากวังก็ดูราวกับปลากระดี่ได้น้ำ นางถอดเสื้อนอกของฮองเฮาออกแล้วเอายัดใส่ทุ่งหญ้า จากนั้นก็แหวกหาชุดคลุมสีฟ้าอ่อนออกมาจากทุ่งหญ้าเช่นกัน แล้วจึงดึงชุดคลุมสีเดียวกันอีกตัวหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ
ฮองเฮาเยี่ยหลัวสวมชุดคลุมให้ตนเองก่อน แล้วจึงค่อยเอาใส่ให้เฉียวเวย “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามา เลยไม่ได้เตรียมการไว้ก่อน ข้างนอกเลยมีแค่ชุดที่ข้าใช้ประจำ ส่วนชุดนี้ข้างเพิ่งแอบขโมยมาจากห้องนางกำนัลเมื่อครู่ ไว้อีกเดี๋ยวค่อยเอากลับไปคืน เจ้าอย่าทำพังเสียล่ะ”
“ท่านออกมาเป็นประจำด้วยหรือนี่” เฉียวเวยเพิ่งเคยใส่ชุดจั๋วเป็นครั้งแรก รู้สึกแปลกใหม่อยู่มากจึงเผลอถามสิ่งที่อยู่ในใจออกไป
ฮองเฮาเยี่ยหลัวพยักหน้า “ใช่สิ ในวังอุดอู้จะแย่ หากไม่ออกมาข้าคงเบื่อตายพอดี!”
เฉียวเวยคิดในใจว่า แต่งเรื่อง แต่งเรื่องไปเลย กระทั่งค่ายใต้ดินก็ยังสร้างแล้ว ยังจะบอกว่าเบื่อตายอะไรอีก ยุ่งแทบตายล่ะสิไม่ว่า!
ฮองเฮาเยี่ยหลัวพอเห็นสีหน้านิ่งขรึมของเฉียวเวยก็ตีหัวไหล่นาง เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าจะบอกให้นะ อย่างน้อยพวกเขาต้องพูดคุยกันหนึ่งชั่วยาม พวกเราอย่าเที่ยวเล่นกันนานเกินไป กลับมาให้ตรงเวลาก็พอ ไม่มีใครรู้หรอก!”
มีประสบการณ์มามากสินะ!
สุดท้ายเฉียวเวยก็ไปกับนางด้วย
ฮองเฮาเยี่ยหลัวไม่เสียแรงที่เชี่ยวชาญเรื่องการหนีออกนอกวัง นางไปที่เพิงรถม้าที่อยู่ไม่ไกลจากวังหลวงแล้วเช่ารถม้าที่ภายนอกดูแสนจะธรรมดามาคันหนึ่ง ด้านในมีบ่าวมาให้ด้วยหนึ่งคน
ทั้งสองขึ้นนั่งรถม้าโดยมีบ่าวคอยบังคับรถม้าให้ วิ่งโคลงเคลงไปตามถนนเส้นใหญ่
เฉียวเวยไม่รู้จักถนนเส้นนี้เลยสักนิด
ช่วงแรกถนนยังดูคึกคัก แต่ยิ่งรถม้าหักเลี้ยวไป ผู้คนบนถนนก็น้อยลงเรื่อยๆ ร้านค้าก็ยิ่งไม่มีให้เห็น
เฉียวเวยพลันระแวดระวังขึ้นมาทันที
รถม้าจอดอยู่หน้าบ้านหินหน้าตาผุๆ พังๆ หลังหนึ่ง
บ้านหลังนี้ไม่มีกระทั่งประตูดีๆ มีเพียงผ้าสีดำที่ดูมันแผล่บที่แขวนอย่างน่าสงสารอยู่ตรงประตูระเบียง
ฮองเฮาเยี่ยหลัวกระโดดลงจากรถม้าด้วยความลิงโลด นางกวักมือเรียกเฉียวเวย “ลงมาสิ เสี่ยวเวย!”
เฉียวเวยลังเลไม่ยอมขยับ พยายามเงียบทำสมาธิ คอยฟังเสียงความเคลื่อนไหวของด้านใน
นังตัวดี!
บุรุษกำยำสี่สิบกว่าคนเชียวหรือ!
นี่คิดจะหลอกล่อนางให้มาตายงั้นสิ!
เวลานี้จะหนีน่ากลัวว่าคงไม่ทันเสียแล้ว มิสู้…
………………