หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 462 ความจริงของฮองเฮา (2)
ตอนที่ 462 ความจริงของฮองเฮา (2)
วันต่อมาฟ้าสว่างโร่ เฉียวเวยได้รับจดหมายทางวาจาฉบับหนึ่ง เฉียวหลิงเป็นคนส่งมา… ฮองเฮาเยี่ยหลัวนัดนางไปโรงพนันอีกครั้งในวันพรุ่งนี้
เฉียวเวยคิดอยากไปสืบหาร่องรอยของต้าไป๋ ฮองเฮาเยี่ยหลัวไม่พูดขึ้นมานางก็จะไป
เฉียเวยตอบรับเฉียวหลิงไป นางนัดกับฮองเฮาเยี่ยหลัวไว้ที่ตอนเช้า นางกินมื้อเช้าอย่างง่ายๆ บอกกล่าวสือชี เสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์ให้ต้องคอยดูแลความปลอดภัยของเด็กทั้งสองให้ดี แล้วจึงออกจากฟางชุ่ยหยวนไป
ของที่นางตกมาจากฮองเฮานางใช้ไปเกือบหมดแล้ว บนตัวนางเหลือเหรียญทองอยู่ไม่มากแล้วจริงๆ ทว่าประเด็นสำคัญคือนางไม่ได้ไปเพื่อเล่นพนัน นางไปเพื่อตามหาต้าไป๋
เจ้าสำนักเฉียวที่นึกปล่อยใจตัวเองเสร็จแล้ว รู้สึกดีขึ้นมากจริงๆ!
นางเงยหน้าก้าวขาออกไป เดินไปยังไม่ทันถึงสองก้าว ก็เจอเข้ากับมู่หยางอ๋องที่ดูอารมณ์แจ่มใส
จะบอกว่าเขาดูแจ่มใสก็ออกจะฝืนเกินไปสักหน่อย ใต้ตาเขาดำคล้ำ มองดูก็รู้ว่าเมื่อคืนไม่ได้นอน แต่สายตาเขาดูเป็นประกาย ก้าวเท้ายาวๆ แผ่ไอตื่นเต้นออกมาให้เห็นทั่วตัว
เฉียวเวยย่อมรู้ว่าเหตุใดเขาถึงดูตื่นเต้น ที่เฉียวเวยอยากรู้ก็คือ ไม่รู้ว่าราชาเยี่ยหลัวรู้หรือไม่ว่าน้องชายคนนี้ของเขาตื่นเต้นเพียงนี้
“เสี่ยวเวย”
กระทั่งคำเรียกขานก็ยังเปลี่ยน!
เพราะพวกนางลักพาตัวบุตรชายของเขาไป เวลาพบหน้ากันเขาไม่เคยทำหน้าดีๆ ใส่เลยสักครั้ง มาวันนี้แต่เรียกขานเสีย เสียน่าขนลุก
เฉียวเวยพลันทำหน้าเคร่งขรึมลงโดยพลัน “ท่านอ๋อง”
ท่านอ๋องมู่อึ้งไป คล้ายรู้สึกว่าคำเรียกขานนี้…ออกจากไม่เหมาะ แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร กระแอมเบาๆ แล้วบอกว่า “จะออกไปข้างนอกหรือ”
เฉียวเวยส่งยิ้มจางๆ ไปให้ “ใช่แล้ว มาถึงเยี่ยหลัวตั้งนานเพียงนี้ ยังไม่ได้ออกไปเดินเล่นที่ไหนเลย”
ท่านมู่อ๋องเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “เป็นข้าที่ไม่ดีเอง ควรจะหาเวลาพาพวกเจ้าออกไปเดินเล่นบ้าง ใช่สิ พวกหมิงซิวเล่า”
ช่างเรียกหมิงซิวได้คล่องปากเหลือเกินนะ!
เฉียวเวยยังคงยิ้มเช่นเดิม “ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เขากับหมิงเยี่ยก็ถูกคนที่ราชาเยี่ยหลัวส่งมาเรียกตัวเข้าวังไปแล้ว”
ท่านมู่อ๋องกัดฟันกรอด
เฉียวเวยมองออกแต่ไม่พูดอะไร
ท่านอ๋องมู่ข่มใจไว้ไม่ถามเฉียวเวยว่านางรู้เรื่องที่เขาเป็นบิดาและบุตรกับหมิงซิวหรือไม่ เฉียวเวยก็ไม่เป็นฝ่ายบอกเขาว่าตนรู้ว่าเขาอยากรู้ว่าแท้จริงแล้วนางรู้เรื่องที่เขากับหมิงซิวเป็นบิดากับบุตรกันหรือไม่
ทั้งสองเลยนิ่งกันไปอยู่อย่างนั้น
แล้วจู่ๆ ในเรือนก็มีเสียงหัวเราะฮ่าๆ ของวั่งซูดังขึ้นมา ดวงตาไร้แววของท่านมู่อ๋องพลันเปล่งประกายขึ้นมา
เขามองเข้าไปในฟางชุ่ยหยวนแล้วมองเฉียวเวย ก่อนจะควักตั๋วทองจากอกเสื้อมาส่งให้เฉียวเวย “เอาไปซื้อของให้ตัวเองสักหน่อยเถิด”
เห็นได้ชัดว่าเขาเริ่มจะติดสินบนลูกสะใภ้แล้ว
เจ้าสำนักเฉียวผู้หน้าเงินมองตั๋วทองด้วยตาเป็นประกายวาววับ จะบอกว่าไม่อยากได้คงเป็นเรื่องโกหก จะบอกว่าเกรงใจที่จะรับก็เป็นเรื่องโกหกเช่นกัน แต่มารยาทอย่างไรก็ต้องแสร้งทำไว้บ้าง
หลังจากปฏิเสธอย่างขอไปทีว่า “เช่นนี้จะดีหรือ” “ข้าจะกล้ารับเงินท่านอ๋องได้อย่างไร” “ตัวข้าก็มีเงิน” “หากท่านยังทำเช่นนี้ข้าจะไม่พอใจแล้วนะ” “ตายจริง เอาล่ะๆ ข้าจะรับไว้ ท่านอย่าได้โกรธไปเลย” แล้ว เฉียวเวยเก็บตั๋วทองนั้นไว้
ท่านมู่อ๋องพอใจยิ่งนัก
เฉียวเวยถือตั๋วทองเดินออกไป ท่านอ๋องมู่หยอกล้อกับหลานๆ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ถึงแม้จะอ้างสิทธิ์ความเป็นบิดาไม่ทันคนแรก แต่กับหลานๆ เขาได้ครอบครองแต่เพียงผู้เดียว
ก่อนหน้านี้เฉียวเวยไม่เป็นกังวลว่าท่านอ๋องมู่จะทำอะไรเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองอยู่แล้ว เวลานี้จึงยิ่งวางใจเข้าไปใหญ่
ท่านปู่กำมะลอผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย ตามข้อมูลที่ไห่สือซานสืบมา จวนมู่อ๋องกุมกำลังทหารกว่าครึ่งของเยี่ยหลัวไว้ในมือ ท่านมู่อ๋องแค่เพียงกางแขน ทรายในเยี่ยหลัวยังต้องสั่นสะท้าน
ซาลาเปาน้อย เอาใจท่านปู่เทพสงครามของเจ้าให้ดีนะ
เฉียวเวยเดินตัวปลิวออกจากจวนมู่อ๋องไป นางขึ้นนั่งรถม้าที่หรูหรากว่าวันแรกไม่รู้กี่เท่า ออกเดินทางไปยังโรงพนันด้วยความสบายใจ
ครั้งนี้นางก็เป็นคนมีตั๋วทองกับเขาแล้ว นางถามสารถีว่าไปแลกตั๋วเงินที่ร้านแลกเงินตรงไหนได้บ้าง
พอ “ชาติกำเนิด” ของหมิงซิวถูกเปิดเผย เฉียวเวยก็พลอยได้รับอานิสงค์ไปด้วย ทุกวันนี้สารถีที่จัดมาให้นางถึงขั้นเป็นบัณฑิตมีความรู้ของเยี่ยหลัวแล้ว เขาพูดภาษาจงหยวนได้ ภาษาซยงหนีว์ได้ ภาษาตงจิ้นและอื่นๆ ก็พูดได้ จึงสื่อสารกับเฉียวเวยได้อย่างไม่มีอุปสรรค
สารถีบอกเฉียวเวยว่า ตั๋วทองประเภทนี้ไม่ต้องเสียเวลาไปแลกที่ร้านแลกเงิน ที่โรงพนันก็สามารถแลกได้
เฉียวเวยเลยเอาไปแลกที่โรงพนัน
นางอ่านภาษาเยี่ยหลัวไม่ออก จึงย่อมไม่รู้ถึงมูลค่าหน้าตั๋วของมัน แต่ตั๋วทองของต้าเหลียง มูลค่าสูงสุดอยู่ที่ห้าร้อย ตั๋วใบนี้…ก็น่าจะพอกันกระมัง
หลังจากนั้นครึ่งเค่อ เด็กในโรงพนันก็ลากเอาถุงกระสอบมาให้ “เหรียญทองหนึ่งหมื่นเหรียญของท่าน!”
“…”
ตอนฮองเฮาไปถึงโรงพนัน เฉียวเวยเอาเงินส่วนใหญ่เก็บไว้แล้ว เหลือแค่หนึ่งร้อยติดตัวไว้ใช้
พอมีสารถีคอยแปลภาษาให้ เฉียวเวยจึงสืบข่าวต้าไป๋มาได้ไม่น้อย ต้าไป๋เพิ่งมาปรากฏตัวที่โรงพนันแห่งนี้ในเดือนนี้ เจ้าของมันเป็นบุรุษวัยกลางคนท่าทางธรรมดาสามัญ เขาจะมาที่นี่ทุกสามวันห้าวัน กำหนดเวลาไม่แน่ชัด แต่จะไม่มาติดต่อกัน ดังนั้นเมื่อวานต้าไป๋มาที่นี่แล้ว วันนี้จึงเป็นไปได้มากที่จะไม่มาที่นี่
เฉียวเวยถามข้อมูลเกี่ยวกับบุรุษผู้นั้นต่อ แต่ที่นี่เป็นร้านค้าอิสระ ใครก็สามารถมาได้ ไม่จำเป็นต้องขึ้นทะเบียนประวัติ
“เจ้าไปหาพวกเขาแล้ววาดภาพเหมือนของบุรุษผู้นั้นมาที”
เฉียวเวยเพิ่งสั่งการเสร็จ หันไปอีกทีก็เห็นฮองเฮาเยี่ยหลัวในชุดจั๋วสีฟ้าอ่อนยืนอยู่หน้าประตูแล้ว
ต่อให้นางอยู่ในชุดจั๋ว เผยให้เห็นเพียงดวงตา แต่นั่นก็ยังเป็นดวงตาคู่ที่งดงามที่สุดในใต้หล้านี้
ฮองเฮาเยี่ยหลัวดวงตาโค้งลง ส่งยิ้มยินดีมาให้
เฉียวเวยรู้ว่าตนจำคนไม่ผิด จึงเดินเข้าไปเอ่ยทักทายนาง “ท่านน้า”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวยิ้มพร้อมหันมามองนาง “วันนี้เหตุใดถึงไม่ใส่ชุดจั๋วเล่า”
ในเยี่ยหลัว สตรีที่อายุเต็มสิบขวบ เวลาออกข้างนอกมักใส่ชุดจั๋วกันทั้งสิ้น มีเพียงบ่าวไพร่เท่านั้นที่ไม่ใส่
เฉียวเวยไม่ถือสาหากมีใครคิดว่านางเป็นบ่าวไพร่ ถึงอย่างไรต่อให้เป็นบ่าวไพร่ แต่ก็เป็นบ่าวไพร่ของจวนมู่อ๋อง ไม่มีใครที่ไม่ดูตาม้าตาเรือเข้ามาหาเรื่องนางแน่นอน
เฉียวเวยยิ้มบอกว่า “ไม่ชินน่ะ!”
“เมื่อครู่เจ้าคุยกับใครอยู่หรือ” ฮองเฮาเยี่ยหลัวถาม
เฉียวเวยยังคงไม่คิดจะบอกเรื่องต้าไป๋กับอีกฝ่าย เพียงยิ้มบอกว่า “สารถีจวนท่านอ๋องน่ะ ข้าให้เขาช่วยเอาเงินไปเก็บไว้หน่อย”
“เช่นนั้นหรือ” ฮองเฮาเยี่ยหลัวเอ่ยด้วยความตื่นเต้นว่า “พวกเราไปเล่นกันเถิด!”
พูดจบ มือเรียวประหนึ่งหยกของนางก็จับข้อมือเฉียวเวยไว้เบาๆ
มือของนางยังเป็นมือเดิม แต่กลับเย็นจัดกว่าเมื่อวานอยู่เล็กน้อย
ในตอนนั้นนักพนันคนหนึ่งแพ้ให้เจ้ามือจนหมดตัว กำลังเดินชนนู่นชนนี่มาทางพวกนาง ฮองเฮาเยี่ยหลัวดึงเฉียวเวยเข้าหาตัว คนผู้นั้นล้มลงตรงจุดที่เฉียวเวยยืนอยู่ก่อนหน้านี้
เฉียวเวยกระแอมเบาๆ “ขอบคุณมาก”
“ไม่เป็นไร ไปกันเถิด” ฮองเฮาเยี่ยหลัวระบายยิ้ม พาเฉียวเวยไปยังจุดที่เมื่อวานพวกนางเล่นพนันกัน เริ่มต้นด้วยสูงต่ำ ตามตัวตีไก่ ตีงู ตีเหยี่ยว…
วันนี้ไม่มีอะไรไม่เหมือนกับเมื่อวาน ฮองเฮาเยี่ยหลัวยังคงแทงฝั่งไหนชนะฝั่งนั้น เฉียวเวยแทงตามนาง ชนะได้เงินมาไม่น้อย
คนในโรงพนันอิจฉาตาร้อนไปหมด แต่เฉียวเวยใช้ตั๋วทองของจวนมู่อ๋อง ในเยี่ยหลัวยังไม่มีโรงพนันใดกล้าทำอะไรคนของจวนมู่อ๋อง เฉียวเวยชนะจนถือเงินไม่ไหว แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปหาเรื่องนาง
ทั้งสองเล่นกันอยู่ในโรงพนันพักหนึ่ง พอได้เวลากลับก็พากันเก็บถุงคาดเอวแล้วออกจากโรงพนันไป
อีกด้านหนึ่ง สารถีวาดภาพเหมือนเสร็จแล้ว และลอบเอากลับขึ้นมาไว้บนรถ แต่ที่ทำอะไรไม่ได้ก็คือ ล้อของรถพวกเขาเกิดพังขึ้นมา จึงยังไปไหนไม่ได้อีกพักหนึ่ง
ฮองเฮาเยี่ยหลัวเลิกผ้าม่านขึ้นเอ่ยกับเฉียวเวยว่า “เสี่ยวเวย ข้าไปส่งเจ้ากลับไปก็แล้วกัน! ข้ารู้จักทางกลับจวนมู่อ๋อง!”
เฉียวเวยระบายยิ้ม “ไม่ต้องหรอก”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวกระโดดลงจากรถม้า คว้ามือเฉียวเวยไว้แล้วลากนางไปขึ้นรถอย่างไม่ยอกให้ถกเถียง “เจ้าจะเกรงใจข้าไปไย ข้าพักอยู่ในบ้านตระกูลจีตั้งนานเพียงนั้น ก็ไม่เห็นว่าเจ้าจะถือสาว่าข้าเป็นภาระเลยนี่! เวลานี้เมื่อเจ้ามาเยี่ยหลัว ก็ถือตาข้าต้อนรับขับสู้เจ้าบ้างแล้ว! เจ้าให้ข้าได้ทำหน้าที่เจ้าบ้านอย่างเต็มที่บ้างเถิด!”
รถม้าเคลื่อนตัวแล้ว
ฮองเฮาเยี่ยหลัวปลอกส้มผลหนึ่งให้เฉียวเวย “ส้มของเยี่ยหลัวหวานมากเลยนะ!”
เฉียวเวยเคยกินส้มหวานฉ่ำเช่นนี้ในจวนอ๋องมาแล้ว รสชาติไม่เลวเลยจริงๆ แต่ของที่นางส่งมาให้มีหรือเฉียวเวยจะกล้ากิน จะไม่กลัวว่าใส่ยาพิษมาให้หรือ
“เหตุใดเจ้าถึงไม่กินเล่า หวานมากจริงๆ นะ!” ฮองเฮาเยี่ยหลัวเอากินเองกลีบหนึ่ง “ง่ำ!”
เฉียวเวยเห็นอีกฝ่ายกินแล้ว จึงรับมาด้วยความลังเล แล้วตัดสินใจชิมกลีบเล็กๆ
“ข้าไม่ได้หลอกเจ้าใช่หรือไม่เล่า” นางยิ้มจนดวงตาโค้งไปหมด
“อื้อ” เฉียวเวยตอบรับเรียบๆ
ฮองเฮาเยี่ยหลัวเอ่ยต่อว่า “ใช่สิ ข้าได้ยินว่าหมิงซิวกับหมิงเยี่ยไปเข้าวัง พวกเขาเข้าวังไปทำอะไรหรือ เหตุใดถึงไม่เห็นมาหาข้ากันเลย”
เข้าวังไป “รับเป็นพ่อลูก” กับสามีเจ้าน่ะสิ ส่วนที่ว่าเหตุใดถึงไม่ไปหาเจ้า เจ้าเองรู้ดีแก่ใจมิใช่หรือ
เฉียวเวยหัวเราะแห้งๆ สองที “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนข้าตื่น พวกเขาก็ออกไปกันแล้ว”
“อ้อ” ฮองเฮาเยี่ยหลัวยอมรับคำอธิบายของเฉียวเวยอย่างรวดเร็ว นางเปิดกล่องอาหารอีกอันหนึ่ง “นี่เป็นขนมเกาลัดที่ข้าทำเองกับมือ เจ้าชิมดูสิ!”
เฉียวเวยคิดในใจว่า ของธรรมชาติข้ายังกลัวเจ้าจะวางยา แล้วของที่เจ้าทำกับมือข้าจะกล้ากินได้อย่างไร
เฉียวเวยวางส้มลง ไม่สนใจกิน แล้วหันหน้าไปทางผ้าม่าน ฮองเฮาเยี่ยหลัวกอดมือเฉียวเวยไว้ แล้วเอ่ยอย่างน่าสงสารว่า “ข้าจำได้ว่าเจ้าชอบกินสิ่งนี้! เหตุใดเจ้าถึงไม่กินเล่า”
“…”
เช่นนี้จะตอบอย่างไรดี กลัวเจ้าวางยา?
ฮองเฮาเยี่ยหลัวยังคงตื้อไม่เลิก “เจ้ากินสิ! เจ้ากินสิ! ข้าทำนานมากเลยนะ!”
เฉียวเวยจึงบอกว่า “ข้าอึดอัดนิดหน่อย อยากสูดอากาศสักนิดแล้วค่อยกิน”
“เช่นนั้นก็ได้” ฮองเฮาเยี่ยหลัวเบ้ปาก พึมพำขึ้นว่าเจ้ารังเกียจฝีมือข้านั่นแหละ
เฉียวเวยเลิกผ้าม่านขึ้น พอเพ่งสายตามองก็พลันเอะใจทันที นี่ไม่ใช่ทางกลับจวนอ๋อง!
“หยุดรถ!” เฉียวเวยตะโกนเสียดัง
“มีอะไรหรือ เฉียวเวย?” ฮองเฮาเยี่ยหลัวยื่นศีรษะออกไปนอกรถ มองซ้ายมองขวาแล้วถามด้วยความสงสัย “นี่กำลังไปที่ใดกัน”
เฉียวเวยถลึงตาดุใส่นาง ชักกริชจากแขนเสื้อออกมาจ่อคออีกฝ่าย “เสแสร้งให้มันน้อยๆ หน่อย! ไปที่ใดเจ้าไม่รู้หรือ หยุดรถเดี๋ยวนี้!”
รถม้าหักเลี้ยวกะทันหัน ตัวเฉียวเวยเอนไปด้านหลัง ส่วนฮองเฮาเยี่ยหลัวตัวเอนมาข้างหน้า ศีรษะกระแทกกับพนังรถดังปัง
สองตานางพลันดำมืด เป็นลมสลบไป
เฉียวเวยคว้าขอเสื้อนางเอาไว้ “ไม่ต้องมาทำเป็นแกล้งตายนะ! ข้าบอกให้เจ้าหยุดไง!”
นางค่อยๆ ลืมตาขึ้น สายตาแหลมคมดังปลายมีด แทงทะลุเข้าสู่หางตาของเฉียวเวยโดยพลัน
เฉียวเวยพลันใจสะท้าน
มุมปากนางยกขึ้นเป็นยิ้มเยาะหยัน ใช้นิ้วกดกริชของเฉียวเวยไว้
เฉียวเวยมองอีกฝ่ายอย่างไม่อยากเชื่อ จะชกหมัดเข้าใส่นางแต่กับถูกนางจับเอาไว้แน่น
***********************