หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 465-2 ใกล้คลอด
ตอนที่ 465-2 ใกล้คลอด
บนถนนตรงหน้าค่ายใต้ดิน มีนักรบมรณะกับรถม้าคันหนึ่งแล่นเอื่อยๆ เข้ามาก่อนจะหยุดลงตรงหน้าประตูค่าย
นักรบมรณะที่เฝ้าประตูอยู่สองคนเดินเข้ามา เลิกผ้าม่านรถขึ้นแล้วประคองคนในรถม้าลงมา
นั่นเป็นบุรุษหนุ่มรูปร่างกำยำสี่คน แต่ละคนถูกจับมันเอามือไพล่หลังไว้ พร้อมกับใช้ผ้าป่านอุดปาก
นักรับมรณะสองคนที่เฝ้าประตูอยู่ตรวจตราเสร็จ พอมั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดแล้วถึงได้ให้นักรบมรณะที่เป็นคนขับรถม้าจับตัวพวกเขาเข้าไปส่งข้างใน
นักรบมรณะที่ได้เห็นนักรบมรณะก็เพราะพละกำลังกับไอจากตัวพวกเขาต่างไปจากคนธรรมดาทั่วไป ไม่มีนักรบมรณะคนใดแยกแยะพวกเดียวกันไม่ออก นี่จึงเป็นเหตุที่ว่า เหตุใดเยี่ยเฟยเจวี๋ยที่วรยุทธ์สูงส่งเพียงนี้ ถึงไม่อาจแทรกซึมเข้าไปยังค่ายใต้ดินได้
แต่ตอนนี้ ดูเหมือนเฉียวเวยก็คิดวิธีการออกแล้ว
หลังจากนั้นหนึ่งเค่อก็มีรถม้าอีกคันหนึ่งมาหยุดจอดตรงหน้าค่ายใต้ดิน
นักรบมรณะที่เฝ้าประตูสองคนเดินเข้าไป เหลือบมองสหายที่เสื้อผ้าขาดวิ่น ทั่วตัวมีแต่คราบเลือดทีหนึ่ง แล้วค่อยมองบุรุษในรถที่ถูกมัดมือไพล่หลัง รวมถึงคนหนุ่มสองคนที่ถูกจับมัดอยู่เช่นกัน สายตาดูลังเลแวบหนึ่ง คล้ายกำลังคิดอะไรอยู่
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ก็โบกมือแล้วให้พวกเขาเข้าไปข้างใน
พอเข้ามาในค่ายใต้ดินได้ เฉียวเวยก็ถอนหายใจยาว
นักรบมรณะย่อมเป็นสือชี บุรุษที่ถูกจับมัดมือไพล่หลังคือเยี่ยนเฟยเจวี่ย ส่วนเฉียวเวยกับซิ่วฉินก็คือคนที่แต่งกายเป็นเด็กหนุ่มสองคนนั่น
ถึงจะไม่รู้ว่าค่ายใต้ดินแห่งนี้จับตัวคนเป็นๆ ไปทำอะไร แต่สุดท้ายก็ใช้โอกาสนี้แทรกซึมเข้ามาได้แล้ว ซึ่งก็ไม่ง่ายเอาเสียเลย
พวกเขากลัวว่าจะทิ้งรอยเท้าม้าเอาไว้ จึงเดินตามเข้าไปในกระโจมหลังแรก
ภายในกระโจมกลับยังมีแบ่งเป็นห้องเล็กๆ พอเดินผ่านห้องเล็กๆ ไปจะเป็นทางเดินกำแพงหินยาวๆ
ทางเดินนั้นสูงประมาณเจ็ดฉื่อ กว้างประมาณห้าฉื่อ บนกำแพงฝังไข่มุกราตรีเม็ดใหญ่เอาไว้ ใต้แท่นไข่มุกราตรีแต่ละเม็ดจะมีนักรบมรณะดาบยาวยืนหน้าตาดุดันอยู่
นักรบมรณะดาบยาวเป็นรองเพียงนักรบมรณะที่เป็นราชันอสูร อยู่ข้างนอกต่อให้มีทองนับพันก็ยังหาซื้อได้ยาก แต่ในทางเดินแห่งนี้มียืนอยู่ไม่ต่ำว่าเจ็ดแปดคน
หมิงซิวเคยบอกไว้ หลังจากสือชีทะลุขีดจำกัดไปได้แล้ว ความสามารถก็จะเข้าใกล้เคียงกับศิษย์มรณะดาบยาว
ดังนั้นในทางเดินแห่งนี้จึงไม่ใช่ศิษย์มรณะเจ็ดแปดคน แต่เป็นสือชีเจ็ดแปดคน
อีกเดี๋ยวจะออกไปอย่างไรหนอ…
คณะของพวกเขากลั้นใจเดินหน้าต่อไป ไม่รู้เดินไปนานเท่าไร ในที่สุดก็เดินมาถึงปลายทางเสียที
พอออกจากทางเดินมาแล้ว ก็เป็นห้องศิลากลมๆ ที่ภายในมีแสงทองประกาย บนผนังห้องมีประตูศิลาเปิดกว้างอยู่แปดบาน ห้องที่กลุ่มคนเมื่อครู่เข้าไปคือประตูศิลาบานแรกทางซ้ายมือ อย่าถามว่าเฉียวเวยรู้ได้อย่างไร ด้วยความหูดีของสือชี เขาเลยได้ยินเสียงที่ดังมาจากที่ไกลๆ
ห้องศิลากลมๆ แห่งนี้ไม่มีนักรบมรณะเฝ้าอยู่ เฉียวเวยเลยตัวเสี่ยวไป๋ที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อออกมา
เสี่ยวไป๋ทำแก้มป่องด้วยความไม่พอใจ ลูกตาถลึงแทบจะถลนออกมา
“เอาหน่า” เฉียวเวยกดท้องของมันไว้
เสี่ยวไป๋พ่นลมหายใจยาวออกมา!
เสี่ยวไป๋ที่ชอบซุกไซ้หน้าอกคุ้นเคยกับกลิ่นของฟู่เสวี่ยเยียน หลังจากเดินวนอยู่ในห้องรอบหนึ่งมันก็วิ่งเข้าไปในประตูบานที่สามทางขวามือ
ด้านหลังประตูก็เป็นทางเดินยาวๆ อีกเส้นหนึ่ง ไม่มีนักรบมรณะคอยเฝ้า พวกเขาเดินไปถึงปลายทางได้อย่างราบรื่น แล้วก็ได้เห็นห้องขังห้องหนึ่ง ส่วนบนพื้นของห้องขังก็มีฟู่เสวี่ยเยียนกำลังนอนตะแคงหน้าซีดอยู่
“คุณหนู!” ซิ่วฉินพุ่งเข้าไปหาทันที สองมือกำลูกกรงเหล็กของประตูไว้แน่น
เฉียวเวยตะคอกเสียงต่ำ “ส่งเสียงดังทำไม กลัวจะไม่ได้ตายเร็วสมใจหรือ”
ฟู่เสวี่ยเยียนได้ยินเสียงพวกเขาสองคน ขนตาก็พลันขยับ ลืมตาคู่ที่นิ่งสงบขึ้นมา
นางหันไปก็เห็นว่ามีคนยืนอยู่หน้าประตูห้องขังหลายคน นางพลันอึ้งไปชั่วขณะ เอ่ยด้วยความเสียงแหบพร่าว่า “พวกเจ้ามาได้อย่างไร”
เฉียวเวยดึงกลอนประตูออก เปิดประตูแล้วเดินเข้าไปหาฟู่เสวี่ยเยียน นางมองคนบนพื้นด้วยสายตาเรียบเฉย “ไม่ได้อยากมาช่วยเจ้าหรอกนะ แค่ไม่อยากติดค้างน้ำใจเจ้าเท่านั้น”
ฟู่เสวี่ยเยียนหลุบสายตาลง
สายตาของเฉียวเวยหยุดมองหน้าท้องที่นูนสูง นางนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือออกไป
ฟู่เสวี่ยเยียนลังเลอยู่พักหนึ่ง แล้วถึงค่อยๆ ยื่นมือออกไป
ก่อนที่มือของนางจะถูกมือของเฉียวเวยนั้น เฉียวเวยก็เอ่ยเสียงเรียบว่า “เจ้าคิดให้ดีนะ หากตัดสินใจก้าวไปแล้ว ก็จะไม่มีโอกาสได้หวนกลับมาอีก”
ปลายนิ้วฟู่เสวี่ยเยียนสั่นน้อยๆ จับมือเฉียวเวยไว้
เฉียวเวยดึงตัวนางขึ้นมา หันไปมองเยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่อยู่ด้านข้าง “จัดการเรียบร้อยแล้วหรือ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยคว่ำขวดลง “ไม่เหลือสักอัน”
เฉียวเวยสูดหายใจลึกๆ ทีหนึ่ง หวังว่าครั้งนี้จะไม่เกิดข้อผิดพลาดใดๆ อีก
พวกเขาพากันชักอาวุธออกมา เฉียวเวยดึกกริชเฟิ่นเทียนออกมาส่งให้ฟู่เสวี่ยเยียน
ฟู่เสวี่ยเยียนมองมาด้วยสีหน้าซับซ้อน แต่เฉียวเวยกลับไม่ได้มองนาง นางไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่รับกริชเอาไว้
พวกเขามาถึงห้องกลม ในตอนนั้นมีนักรบมรณะอีกคนหนึ่งพาตัวบุรุษที่ถูกมัดเดินเข้ามา พวกเขารีบเร้นกายกลับไปอยู่ตรงทางเดินแล้วกลั้นหายใจกันเอาไว้
โชคดีที่คนกลุ่มนั้นไม่ได้เดินมาทางประตูที่พวกเขาอยู่
หลังจากนั้นไม่นาน สือชีก็เดินออกไปก่อน แล้วมุ่งหน้าไปยังทางเดินที่มุ่งหน้าไปสู่กระโจมหลังเล็กแห่งนั้น ตอนเดินผ่านนักรบมรณะดาบยาวคนแรก เขาลูบต้นคออีกฝ่ายไปด้วยความรวดเร็ว
ดาบนี้หากเป็นคนอื่น บางทีอาจจะไม่ถึงตาย
แต่สือชีเป็นนักรบมรณะ เขารู้ว่าต้องทำอย่างไรนักรบมรณะถึงจะตาย
สือชีสังหารอีกฝ่ายอย่างไร้สุ้มเสียง เดิมทีคิดว่าจะแบกออกไปได้ ไหนเลยจะรู้ว่ากลิ่นคาวเลือดได้แผ่กระจายไปด้วย นักรบมรณะข้างหน้าจับสังเกตถึงความผิดปกติได้ในทันที เลยเงื้อดาบยาวพุ่งเข้ามาหาสือชี!
พอเขาพุ่งเข้ามา นักรบมรณะทั้งหมดในทางเดินก็ขยับตัวกันด้วยความตกใจ แล้วพากันกรูเข้ามาทางนี้
นี่เป็นถึงนักรบมรณะดาบยาวนับสิบคนเชียวนะ!
ใจของเฉียวเวยเต้นตุบตับๆ ขึ้นมาทันที!
ในขณะที่ไอมรณะคุกรุ่น ใกล้จะสับพวกเขาเป็นชิ้นๆ เต็มทีนั้น ด้านนอกค่ายใต้ดิน จู่ๆ ก็มีเสียงขลุ่ยโหยหวนดังขึ้น เสียงนั้นกังวานใสลอยไม่ไกล ทำให้คนจิตใจสงบขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
เรื่องอันน่าอัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้ว นักรบมรณะที่เมื่อครู่ยังเงื้อดาบยาวพุ่งเข้าใส่พวกเขาอยู่นั้น เวลานี้ทุกคนพลันสองขาอ่อนแรง น้ำลายฟูมปาก ล้มลงกับพื้นด้วยสภาพน่าเวทนา
ทุกคนพากันตะลึงค้าง!
นี่เป็นถึงศิษย์มรณะดาบยาวเชียวนะ!
เป็นยอดฝีมือที่กระทั่งอาจารย์ตาฮั่วก็ยังสังหารให้ตายในกระบวนท่าเดียวไม่ได้ ถึงกับล้มกันระเนระราดเช่นนี้เลยหรือ!
นี่ไม่ได้ล้มลงแค่คนหรือสองคน แต่เป็นทั้งสิบเจ็ดสิบแปดคน!
เฉียวเวยตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว แล้วชี้บอก “อย่ามัวอึ้งอยู่สิ! ไปเร็ว!”
เสียงขลุ่ยยังคงดำเนินต่อไป ภายในท่วงทำนองที่ดูเหมือนจะสงบนิ่ง ดูซ่อนความสงัดเงียบที่หลุดออกจากโลกมนุษย์ได้เอาไว้ ทั้งยังเจือไอสังหารที่เพียงแตะจะระเบิดออกมาได้อีกด้วย
พวกเขาหนีออกจากค่ายใต้ดิน ไกลออกมาจะเห็นเงาในอาภรณ์สีน้ำตาลยืนสบายๆ อาบแสงจันทร์อยู่ตรงกลางเขา คล้ายเซียนที่อยู่บนวังทั้งเก้า และคล้ายเทพมารที่ควบคุมอเวจี
เฉียวเวยไม่เคยรู้สึกว่ามีช่วงเวลาไหนที่อีตาทึ่มดูจะยิ่งใหญ่เช่นนี้มาก่อน ทั้งฟ้าทั้งดินเวลานี้ดูคล้ายฉากประกอบของเขา แต่กระนั้นความยิ่งใหญ่นี้ก็ไม่ได้ดำเนินอยู่นานนัก ถึงอย่างไรการที่ใครคนหนึ่งยืนเป่าขลุ่ยอยู่กลางเขาเช่นนั้น ก็เป็นเรื่องที่ถึงแม้จะเรียกความฮือฮา แต่ก็ง่ายที่จะเปิดเผยตัวเช่นกัน
มีนักรบมรณะเห็นใต้เท้าเจ้าสำนักเข้าเสียแล้ว และกำลังเงื้อดาบยาวเข้ามาหา!
“อ๊า! ทำอะไรน่ะ!” ใต้เท้าเจ้าสำนักกระโดดหลบแด่วๆ หากสู้กันตัวต่อตัว เขาไม่ใช่คู่ปรับของนักรบมรณะ เขาร้องโหยหวน กระโดดแด่วๆ ไปราวกับกระโดดเชือก
เฉียวเวยเอามือปิดตา เท่ห์ได้ไม่เกินสามวินาทีจริงๆ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยใช้วิชาตัวเบาลอยตัวเข้าไปหาใต้เท้าเจ้าสำนัก
อีกด้านหนึ่ง นักรบมรณะกรูกันเข้ามาจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ สือชีกับพวกเขาต่อสู้พัวพันกันขึ้นมา
เฉียวเวยประคองฟู่เสวี่ยเยียนขึ้นนั่งบนรถม้า ซิ่วชินเป็นคนบังคับรถม้าแล้วพุ่งทะยานเข้าสู่ความมืด
ที่น่าเสียดายก็คือ วิ่งไปได้ไม่เท่าไร ล้อรถก็ถูกดาบยาวเล่มหนึ่งฟันจนหัก
รถม้าเอียงตะแคงลงพื้น ฟู่เสวี่ยเยียนจับไหล่เฉียวเวยไว้ แล้วใช้วิชาตัวเบากระโดดออกจากรถม้า
ซิ่วฉินกลิ้งไปกับพื้น ไม่นานก็ลุกขึ้นมา
มีนักรบมรณะวิ่งอ้อมสือชีไล่ตามพวกนางเข้ามา
ซิ่วฉินกระชับดาบโค้ง “คุณหนู พวกท่านไปกันก่อน!”
สตรีนางเดียว ใช่คู่ฝีมือของนักรบมรณะได้อย่างไร
เฉียวเวยคว้าคอเสื้อนางไว้ “ไปกันเถิด!”
ทั้งสองกระโดดเข้าไปในซอกเขา
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเห็นอย่างนั้นก็ตะโกนลั่นด้วยความตกใจ “เห้ย! ซอกเขานั่นเข้าไปไม่ได้นะ! เดี๋ยวหลงทาง!”
หลงทางเป็นเรื่องหลังจากนี้ แต่ตอนนี้ถ้าไม่เข้าไป คงรักษาชีวิตไว้ไม่ได้
เฉียวเวยยังคงพุ่งตัวเข้าไปในซอกเขา
ใต้เท้าเจ้าสำนักเห็นพวกเขาพุ่งเข้าไปก็ไล่ตามไปโดยไม่มีลังเล
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอยากตีพวกเขาให้ตายนัก “เจ้าเล่นสนุกอะไรกัน ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยื่นมือไปคว้าตัวเขาไว้ แต่ก็จนใจที่นักรบมรณะดาบยาวซัดฝ่ามือเข้าใส่ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจึงถูกบังคับให้ต้องชักดาบเข้าสู้
คนที่ไล่ตามคณะของเฉียวเวยไม่ใช่นักรบมรณะดาบยาว เฉียวเวยนับจำนวนคน ตนพอจะรับมือไหว…
รับมือไหวพักหนึ่ง
เฉียวเวยหยุดฝีเท้า “ซิ่วฉิน พานายหญิงเจ้าไปก่อน”
ซิ่วฉิน “แต่ว่าเจ้า…”
เฉียวเวยเลยตะคอกว่า “ไปสิ!”
ซิ่วฉินกัดฟัน เหลือบมองฟู่เสวี่ยเยียนที่หน้าตาซีดขาวและกำลังเอามือกุมท้องอยู่ จึงตัดสินใจประคองฟู่เสวี่ยเยียนเดินออกไป
ใต้เท้าเจ้าสำนักแทรกตัวมาจากทางเดินเล็กๆ จึงบังเอิญเจอเข้ากับซิ่วฉินและฟู่เสวี่ยเยียนเข้าอย่างจัง
“ระวัง!”
ฟู่เสวี่ยเยียนตาแข็งค้าง ยื่นมือขวา ส่งผ้าขาวออกไปรัดตัวนักรบมรณะด้านหลังใต้เท้าเจ้าสำนักที่กำลังหมายใจจะลอบโจมตีเอาไว้
นักรบมรณะถูกฟู่เสวี่ยเยียนใช้ผ้าขาวโยนตัวตกหน้าผาไป
ฟู่เสวี่ยเยียนออกแรงสองครั้งติดๆ กัน ใบหน้าที่ซีดขาวอยู่แล้ว เวลานี้เลยยิ่งไม่เหลือสีเลือดอยู่อีกเลย
ใต้เท้าเจ้าสำนักคว้าแขนนางไว้ สายตาเลื่อนจากใบหน้าที่ขาวซีดไปมองหน้าท้องที่นูนสูง ครั้งนี้ไม่มีทั้งเสื้อคลุม ไม่มีที่อุ่นมือ ท้องที่ทั้งกลมทั้งใหญ่จึงปรากฏสู่สายตาเขาทั้งอย่างนั้น
เขารู้สึกว่าในหัวเขาคล้ายมีบางอย่างระเบิดออกมา “เจ้า…”
ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ ของเหลวอุ่นร้อนพลันไหลออกมาจากตัวฟู่เสวี่ยเยียน
เขามองแอ่งน้ำที่พื้นด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ “เจ้าฉี่ราด?!”
*************************