หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 477-2 ลอบสังหารฮองเฮา (1)
ตอนที่ 477-2 ลอบสังหารฮองเฮา (1)
ราชาเยี่ยหลัวคิดว่าเขาไม่ชอบ เลยจับเขายกขึ้นสูงเสียเลย
ศีรษะของจิ่งอวิ๋นขึ้นมาอยู่ท่ามกลางกิ่งไม้
จิ่งอวิ๋นก้มศีรษะลงไปมองคนที่อุ้มตนอยู่ด้วยความหวาดกลัว
ราชาเยี่ยหลัวระบายยิ้ม
จิ่งอวิ๋นลองยื่นมืออกไปจับไข่มุกเม็ดหนึ่ง แต่กลับไม่รีบร้อนจะเด็ดลงมา แค่จับนิ่งอยู่อย่างนั้น
ราชาเยี่ยหลัวพยักหน้า
จิ่งอวิ๋นเข้าใจ เขาอยากให้เป็นคนเด็ดเอง
จิ่งอวิ๋นหันไปมองบิดามารดาของตน
เอาเข้าจริง เฉียวเวยตกใจกว่าจิ่งอวิ๋นเสียอีก ราชาเยี่ยหลัวที่ฆ่าคนราวกับบี้มด ถึงกับเอ็นดูจิ่งอวิ๋นถึงเพียงนี้เชียวหรือ… ช่างเถิด คนเป็นประมุขล้วนแต่อารมณ์แปรปรวนทั้งสิ้น เวลานี้เขาส่งยิ้มมาให้ได้ อีกเดี๋ยวก็ประทานยาพิษมาให้ได้เช่นกัน อย่าไปยั่วโมโหเขาจะดีกว่า
เฉียวเวยเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เด็ดเถิด อย่าลืมขอบคุณท่านด้วยล่ะ”
จิ่งอวิ๋นเลยเด็ดไข่มุกเม็ดที่ทั้งใหญ่ทั้งกลมลงมาจริงๆ
วั่งซูเห็นแบบนั้นก็รีบวิ่งตุบตับๆ เข้าไป “พี่ชาย เจ้าเด็ดอะไรมาน่ะ ข้าก็อยากได้ด้วยๆ!”
ราชาเยี่ยหลัวคงเดาได้ เลยวางจิ่งอวิ๋นลงแล้วเปลี่ยนไปอุ้มวั่งซูแทน
วั่งซูต้องการให้เขาอุ้มเมื่อไรกัน นางวิ่งฉิวไปแล้วกระโดดขึ้นต้นไม้!
ก่อนจะได้ยินเสียงดังเป๊าะ กิ่งไม้หักเสียแล้ว…
เฉียวเวยถึงกับขนลุกซู่ กลัวว่าประมุขผู้นี้จะอารมณ์แปรปรวน จัดการลากพวกตนออกไปสังหาร
โชคดีที่เรื่องที่เฉียวเวยกังวลไม่เกิดขึ้น ราชาเยี่ยหลัวไม่เพียงไม่หงุดหงิด แต่ยังให้คนเอาตะกร้าเข้ามา สองพี่น้องจึงเก็บเม็ดที่ตนชอบกันตามใจชอบ
สองพี่น้องเก็บเม็ดไข่มุกกันอยู่ในสนาม
ผู้ใหญ่ที่เหลือเลยนั่งดูพวกเขาเก็บไข่มุกกันอยู่ในอุทยาน
ภาพเช่นนี้พบเห็นได้ทั่วไปในบ้านคนธรรมดา แต่เขาเป็นถึงประมุข การที่เขาสามารถนั่งอย่างสงบเงียบได้เช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมน่านับถือ
ใต้เท้าเจ้าสำนักส่งสายตาให้เฉียวเวย
เฉียวเวยแสร้งทำเป็นไม่เห็น นางจิบชาอึกหนึ่งแล้วทำเป็นเอ่ยถามเหมือนไม่ได้ตั้งใจว่า “ใช่สิ ข้ามาเยี่ยหลัวตั้งนานเพียงนี้เหตุใดยังไม่ได้พบองค์ชายสามสักที องค์ชายสามท่าน…ยังไม่กลับมาหรือ”
ขันทีช่วยแปลให้ราชาเยี่ยหลัวฟัง ราชาเยี่ยหลัวพูดบางอย่าง ขันทีก็หันมาตอบว่า “เรียนจั๋วหม่าน้อย องค์ชายสามไปเยี่ยมท่านตาที่ชนเผ่าแล้ว”
ท่านตา? หัวหน้าเผ่าหลีซีผู้นั้นน่ะหรือ
ข้ออ้างไม่ได้ความเช่นนี้ มีสตรีนางนั้นเท่านั้นแหละที่คิดได้
ก่อนจะมาถึงเมืองหลวงของเยี่ยหลัว ไห่สือซานส่งคนไปที่ตระกูลหลีมาแล้ว ที่นั่นไม่มีร่องรอยขององค์ชายสามกับยิ่นอ๋องเลย
ดูท่ากระทั่งราชาเยี่ยหลัวก็ยังไม่รู้ว่าองค์ชายสามไปอยู่ที่ใด
นังปีศาจนั่นเอาพวกเขาไปซ่อนไว้ที่ใดกันแน่ ท่านพ่อท่านแม่นางอีกไปอยู่ที่ใดกัน
ราชาเยี่ยหลัวพูดอีกสองสามประโยค สีหน้าขันทีดูอึ้งไป ก่อนจะเอ่ยกับเฉียวเวยเสียงแหยว่า “ฝ่าบาทบอกว่า ‘เจ้าเด็กนั่นไม่สนิทสนมกับข้า’”
ดูออกน่า ตอนองค์ชายสามบอกจะเล่นงานบิดาตน เขาไม่กระทั่งจะกะพริบตาสักนิด
จะบอกว่าราชาเยี่ยหลัวดีกับองค์ชายสามไม่พอก็ไม่เป็นเช่นนั้นสักทีเดียว ตอนราชาเยี่ยหลัวเอ่ยถึงองค์ชายสาม เห็นได้ชัดว่ามีความชื่นชอบแต่ก็ดูจนใจ
เรื่องของเชื้อพระวงศ์ นางยุ่งให้น้อยๆ หน่อยจะดีกว่า
พวกเขานั่งกันอยู่อีกพักหนึ่ง ใต้เท้าเจ้าสำนักก็ใช้ข้ออ้างว่าเครื่องประดับหยกของตนหล่นหาย เรียกเฉียวเวยออกไปช่วยตามหา
พอออกจากตำหนักบรรทมของราชาเยี่ยหลัว ใต้เท้าเจ้าสำนักก็ลากเฉียวเวยไปหลบหลังต้นไม้ “นี่ เจ้าทำอะไรน่ะ คุยกับเขาตั้งนานเพียงนั้นไปไยกัน ลืมธุระสำคัญไปแล้วหรือ”
“ข้าย่อมไม่ลืมแน่ ของล่ะ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักควักเอาขวดหยกเล็กๆ ออกจากอกเสื้อแล้วส่งให้เฉียวเวย แต่แล้วก็ดึงกลับไปอย่างรวดเร็ว “เจ้าใช้เป็นหรือไม่น่ะ”
“ก็แค่วางแมลงกู่ไม่ใช่หรือ ข้าเป็นถึงจั๋วหม่าน้อยแห่งชนเผ่าลึกลับเชียวนะ เรื่องแค่นี้จะทำไม่เป็นเชียวหรือ”
“เอ้า” ใต้เท้าเจ้าสำนักเอาขวดส่งให้นาง
เฉียวเวยถามว่า “เป็นกู่ขับขานราตรีอีกหรือ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักกรอกตาบนใส่นาง “กู่ขับขานราตรีใช้จัดการนักรบมรณะไปหมดแล้ว ตัวใหม่เลี้ยงให้โตไม่ทัน นี่เป็นกู่สลายปราน ไม่ด้อยไปกว่ากู่ขันขานราตรี นางไม่ได้อยากรักษาแผลให้หายหรือ เจ้าเอากู่นี่ปล่อยไว้ที่ตัวนาง รับประกันเลยว่ายิ่งรักษายิ่งแย่!”
เฉียวเวยเขย่าขวดหยกในมือ “ใช้อย่างไร”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเบิกตาโต “ไม่ได้บอกว่าใช้เป็นหรอกหรือ”
เฉียวเวยทำหน้าจริงจัง “ข้าคิดว่านี่คือกู่ขับขานราตรี!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักยืดอกขึ้น เอ่ยอธิบายอย่างภาคภูมิใจและมีน้ำอดน้ำทนว่า “กู่ชนิดนี้ต้องกินลงไป เจ้าหาทางใส่ลงไปในอาหารนางก็พอ เจ้าวางใจได้ กู่ประเภทนี้ตัวเล็กกว่าเม็ดงาเสียอีก ซ้ำยังโปร่งใส คนทั่วไปไม่มีทางรู้ว่ามี เพียงแต่เจ้าอย่าให้ใครเห็นเข้าก็พอ!”
เฉียวเวยไม่คิดเห็นเช่นนั้น “ข้าจะให้คนพบเข้าได้อย่างไร ข้าฝีมือดีเพียงนั้น!”
ทั้งสองจึงแยกกันตรงนั้น
ใต้เท้าเจ้าสำนักทำเป็นตั้งใจหาเครื่องประดับหยกตามพื้น หากมีคนถามถึงเฉียวเวยก็แค่บอกว่าไปหาเครื่องประดับหยกที่อื่นก็เป็นใช้ได้
เฉียวเวยเดินไปที่ตำหนักบรรทมในวังอย่างคุ้นเคย นางปีนต้นไม้ต้นเดิมแล้วข้ามกำแพงเข้าไป
เฉียวเวยรู้มาตลอดว่าในตำหนักบรรทมมีนางกำนัลอยู่น้อย แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้นางจะไม่เจอใครเลยสักคน
คงไม่ใช่เดาได้ว่านางจะมา เลยวางกับดักให้นางมาติดกับกระมัง
เฉียวเวยหลบอยู่หลังภูเขาจำลอง นางคอยสังเกตอย่างละเอียดอยู่พักใหญ่ พอมั่นใจว่าไม่มีใครเล่นลูกไม้อะไรถึงได้เคลื่อนตัวไปทางห้องนอนของฮองเฮา
ก่อนออกมา ฟู่เสวี่ยเยียนวาดแผนที่ตำหนักบรรทมให้นางไว้ หากฮองเฮาไม่อยู่ในห้องนอน ก็น่าจะอยู่ในห้องแดงที่อยู่ในห้องหนังสือ
ห้องแดงเป็นห้องลับห้องหนึ่ง ฮองเฮาไม่รู้ว่าฟู่เสวี่ยเยียนรู้แล้วว่ามีห้องเช่นนี้อยู่ ดูท่าคงยังไม่ทันได้ระวังตัว
ในห้องนอนไม่มีใครอยู่จริงๆ
เฉียวเวยเลยไปที่ห้องหนังสือทันที
“กำแพงทางขวามือในห้องหนังสือมีตู้หนังสือตั้งเรียงอยู่ ด้านหลังตู้มีกลไก เจ้าเปิดกลไกนั้นก็จะเห็นทางเดินที่จะพาเจ้าไปสู่ห้องแดง”
ในหัวมีคำพูดของฟู่เสวี่ยเยียนลอยเข้ามา เฉียวเวยเดินย่องไปข้างตู้หนังสือ กดเปิดกลไก ตรงกำแพงก็มีทางเดินปรากฏให้เห็นจริงๆ
เฉียวเวยเดินเข้าไปในนั้น ระหว่างเดินก็คิดไปด้วยว่าหากข้างในมีนางอยู่คนเดียว ตนจะต้องใช้แมลงกู่เล่นงานนางหรือไม่ หากยังมีคนอื่นอยู่ด้วย น่ากลัวว่าตนคงต้องใช้ลูกไม้อะไรสักนิดหน่อยแล้ว
เฉียวเวยเพิ่งเดินไปได้ครึ่งทาง ประตูห้องก็ถูกอะไรบางอย่างกระแทกเข้าอย่างแรง!
เฉียวเวยตกใจจนขนลุกซู่!
ที่โชคดีก็คือประตูไม่ได้เปิดออก ข้างในมีเสียงโอดครวญด้วยความทรมานของฮองเฮาดังออกมา
เฉียวเวยไม่ได้ยินว่านางพูดอะไร แต่เฉียวเวยรับรู้ได้ว่านางกำลังร้องไห้อยู่
นอกจากนั้นแล้ว เฉียวเวยยังรับรู้ถึงไอบางอย่างที่อันตรายอย่างยิ่งยวด เทียบกันแล้วยังน่ากลัวยิ่งกว่าตอนที่นางจะถูกราชันอสูรสังหารเสียอีก
สิ่งแรกที่เฉียวเวยคิดก็คือ ราชันอสูรผู้นั้นกลับมาแข็งแรงและทะลุขีดจำกัดได้แล้วงั้นหรือ
หากเป็นเช่นนั้นจริง การที่ตนลอบสังหารนายท่านของเขา จะไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรอกหรือ
เฉียวเวยยกเท้าได้ก็จะออกวิ่งทันที! แต่ใครจะรู้ว่ายังไม่ทันก้าวออกไป ไออันตรายนั้นก็พลันพุ่งทะลุบานประตูมาตรึงตัวนางเอาไว้
“ราชาเยี่ยหลัวเสด็จ…”
****************************