หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 479-2 ปราบฮองเฮา ราชันอสูรปราชัย
ตอนที่ 479-2 ปราบฮองเฮา ราชันอสูรปราชัย
ใต้เท้าเจ้าสำนักสองมือว่างเปล่า หันไปดูอีกทีก็เห็นเพียงกองเลือดบนพื้น ไม่เข้าใจว่าสตรีที่เมื่อครู่ตนฟาดอยู่นั้นหายไปอยู่ที่ใด “เอ๋ ไปไหนแล้วเล่า”
เฉียวเวยมองแผ่นหลังคนสองคนที่หายไปทางตะวันออกเฉียงใต้แล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่ต้องหาแล้ว ชางจิวมาเอาตัวนางไปแล้ว”
วิชาตัวเบาของชางจิวเหนือชั้นกว่าเยี่ยนเฟยเจวี๋ยมากนัก ไม่มีทางที่พวกนางจะไล่ตามได้เลย
ชางจิวพาฮองเฮาไปยังเรือนที่ถูกทิ้งร้าง ป้อนยารักษาบาดแผลให้นางเม็ดหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยด้วยความรู้สึกผิดว่า “ขอโทษด้วย ข้ามาช้าไป นายท่านเลยได้รับบาดเจ็บ”
กินมาตั้งหลายปีเพียงนี้ ยาเม็ดชนิดนี้ไม่ค่อยมีผลในการรักษาเท่าไรนักฮองเฮาไอเป็นเลือดออกมา ขมวดคิ้วมองอีกฝ่าย แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงยากจะแยกออกว่า “ใครให้เจ้ามา ไม่ได้ให้เจ้าคอยคุ้มภัยให้ราชันอสูรหรอกหรือ”
ชางจิวถอนหายใจ “หากข้ายังไม่มา นายท่านคงเอาชีวิตไม่รอด”
ฮองเฮาส่งเสียงเหอะเย็นๆ “พวกเขาฆ่าข้าไม่ได้หรอก”
ชางจิวไม่ได้โต้แย้งอะไรกับนาง เขามองบาดแผลบนตัวนางแล้วถามด้วยความไม่เข้าใจ “เหตุใดเฉียวซื่อถึงกล้าลงมือกับนายท่าน นางไม่กลัวว่าจะตายด้วยมือนายท่านหรือ”
ฮองเฮาเอ่ยอย่างใช้ความคิด “น่ากลัวว่านางคงจะรู้ว่าวันนี้ข้ารักษาอาการป่วย วรยุทธ์จึงไม่เหมือนเมื่อก่อน”
“นางรู้ได้อย่างไร” ชางจิวถาม
ฮองเฮานิ่งไป ก่อนรูม่านตาจะหดตัว “ฟู่เสวี่ยเยียน!”
“นังเด็กนั่นคิดไม่ดีต่อนายท่านมานานแล้ว น่ากลัวว่าคงลอบจับตาดูท่านมาตลอด”
ฮองเฮายิ้มเยาะ “นางคิดจริงๆ หรือว่าการที่นางเข้ากับตระกูลจีก็จะได้นอนหมอนสูงไม่ต้องกังวลสิ่งใดแล้วน่ะ อ่อนหัด!”
ชางจิวไม่ได้พูดอะไร คนที่ทรยศนายท่านจะมีจุดจบเช่นไร เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่คิดดูแล้วคงไม่ดีเท่าไรนัก หลังจากนี้หากเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ก็เป็นนางที่รนหาที่เอง
ชางจิวมองไปรอบๆ แล้วถามว่า “เวลานี้ตำหนักบรรทมคงยังกลับไปไม่ได้ พวกมันจะต้องคอยเฝ้าอยู่ที่นั่นแน่ ท่านคิดจะไปที่ใด”
ฮองเฮาเอ่ยเสียงเรียบ “ผ่านคืนนี้ไปได้ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว อยู่ที่ใดก็ได้ทั้งนั้น”
ถึงจะกล่าวเช่นนั้นแต่นางกลับเดินลมปราณไม่ได้เลย เพราะแค่นางเดินลมปราณเพียงเล็กน้อย แมลงกู่ที่อยู่ในตัวจะก็สับสนวุ่นวายราวกับเสียสติ
ชางจิวรับรู้ได้ว่ามีบางอย่างแปลกไป “นายท่าน ท่าน…”
“ข้าไม่เป็นไร” ฮองเฮาตั้งสติ สายตาดูล้ำลึก “ราชันอสูรเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
ชางจิวมีท่าทีรอคอยอย่างยากจะปกปิด “เมื่อคืนก็เริ่มลองข้ามขีดจำกัดดูแล้ว หากไม่มีอะไรผิดพลาด ก็น่าจะในวันนี้”
ฮองเฮาเอ่ยเตือน “ครั้งนี้อย่าได้ให้เกิดข้อผิดพลาดอะไรเด็ดขาด”
ชางจิวตอบด้วยความมั่นใจ “นายท่านโปรดวางใจ ยาพิษที่ควรกินได้กินไปหมดแล้ว นายท่านรอต้อนรับราชันอสูรคนใหม่ได้เลย! หากมีราชันอสูรคนนี้ ความเจ็บปวดที่พวกเฉียวซื่อกระทำกับร่างกายนายท่านในวันนี้ จะสามารถคืนกลับให้พวกนางได้เป็นสิบเท่าร้อยเท่า! จีหมิงซิว ธนูจันทร์โลหิตหรือกระทั่งเฮ่อหลันชิงก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนายท่านทั้งสิ้น! ท่านกวาดตามองไปทั่วใต้หล้า นายท่านอยากได้สิ่งใด ก็จะได้มาโดยง่ายทั้งสิ้น!”
ฮองเฮาหรี่ตาลง “ราชันอสูรผู้นี้ร้ายกายเพียงนั้นจริงหรือ”
คำถามนี้ ฮองเฮาเคยถามตั้งแต่ตอนอยู่เมืองผู่แล้ว ชางจิวคิดว่าเขาสามารถเก่งกาจได้ถึงราชันอสูรขั้นสามขั้นสี่ แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ หากเขาทะลุขีดจำกัดได้เมื่อไร อย่างน้อยก็ต้องมีขั้นหกขึ้นไป
ชางจิวจึงพยักหน้าด้วยความมั่นใจ “ร้ายกาจกว่าที่ข้าเคยประเมินไว้เสียอีก น่าจะใกล้เคียงกับท่านที่…มีอยู่ในตำนานผู้นั้นแล้ว”
พอพูดจบ ด้านหลังป่าเล็กทางตะวันออกเฉียงใต้ก็มีขุมพลังอันยิ่งใหญ่พัดหอบมาราวกับพายุ ท้องฟ้าก็พลันมืดลง สายลมโหมกระหน่ำ พัดหินดินทรายให้ปลิวว่อน สัตว์ทั้งหลายพากันร้องโหยหวนด้วยความหวาดกลัว นกกระพือปีกบินขึ้นฟ้าอย่างขวัญผวา แค่บินไปได้เพียงครึ่งทางก็พากันร่วงกราวลงมาที่พื้น
อากาศยังคล้ายหยุดชะงัก
ทั้งสองอดเย็นวาบๆ ที่สันหลังไม่ได้
ขุมพลังนี้คือ…
สายตาฮองเฮาเป็นประกาย “เร็ว! เขาใกล้จะทะลุแล้ว!”
ชางจิวแบกตัวฮองเฮาแล้วรีบวิ่งไปยังป่าผืนเล็กที่อยู่หลังตำหนักเย็น
ว่ากันว่าที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด ผู้ใดจะคิดว่าราชันอสูรที่ใกล้จะทะลุขีดจำกัดจะถูกซ่อนตัวอยู่ใต้เปลือกตาราชาเยี่ยหลัวนี่เอง
“เก็บสิเก็บสิเก็บไข่มุก เก็บได้ไข่มุกเม็ดใหญ่ ล้าลาหล่า ล้าลาหล่า”
ภายในอุทยานเล็ก วั่งซูถือตะกร้ากระโดดเก็บไข่มุกตามพื้นอยู่
แล้วจู่ๆ ก็มีนกกระจอกตกลงมาจากท้องฟ้า
วั่งซูหันมองพื้นก็เห็นนกกระจอกตัวนั้น จึงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แต่ไม่เจออะไรทั้งสิ้น
วั่งซูเลียริมฝีปาก เอานกกระจอกใส่ลงตะกร้า แล้วเก็บไข่มุกต่อ
แผล่ะ!
ไม่ไกลออกมีนกกระจอกอีกตัวตกลงมา
วั่งซูหิ้วตะกร้าเดินเข้าไป เก็บนกตัวนั้นลงตะกร้ามาด้วย ตัวหนึ่งตุ๋นน้ำแดง ตัวหนึ่งเอาไปนึ่ง ดีที่หนึ่ง!
แผล่ะ!
นกขุนทองตัวหนึ่งตกลงมา
วั่งซูก็เก็บนกขุนทอง
แผล่ะ!
นกฮว่าเหมยตกลงมา
วั่งซูก็เก็บฮว่าเหมยอีก
วั่งซูเก็บไปเรื่อยๆ จนเดินเข้าไปในป่าผืนเล็ก
เดิมทีป่าแห่งนี้เอาไว้ใช้ฝึกสัตว์ ข้างนอกมีตาข่ายล้อมไว้ แต่ตาข่ายเช่นนี้จะขวางวั่งซูไว้ได้อย่างไร
วั่งซูก้มลงกับพื้น ส่ายก้นน้อยๆ แล้วมุดเข้าไป
จากนั้นนางก็ได้ค้นพบแผ่นดินแห่งใหม่ บนพื้นมีแต่นก ในป่าเต็มไปด้วยสัตว์ที่กำลังแตกกระเจิง
อุดมสมบูรณ์ อุดมสมบูรณ์ที่สุด!
สิงโตลายเสือตัวหนึ่งวิ่งขวัญหนีดีฝ่อมาทางวั่งซู พูดให้ชัดก็คือ มันกำลังวิ่งไปหาตาข่ายด้านหลังวั่งซู มันอยากหนีออกไป!
แต่วั่งซูไม่รู้ถึงความตั้งใจของมัน วั่งซูเห็นมันก็เหมือนได้เห็นเนื้อพะโล้ก้อนโตส่งกลิ่นหอมชามใหญ่ เนื้อมันเอาไปผัดได้ ขามันเอาไปตุ๋นน้ำแดงได้ ซี่โครงมันเอาไปผัดพริกเกลือได้ หางก็เอาไปต้มได้…
วั่งซูน้ำลายไหลพราก
หากเป็นเมื่อก่อน สิงโตลายเสือคงงาบเจ้าเหยื่อตัวน้อยนี้ลงท้องไปแล้ว แต่ตอนนี้มันกำลังรีบหนี เลยคิดแต่จะชนนางให้กระเด็นออกไป
สิงโตลายเสือคิดเช่นนั้นก็ทำเช่นนั้นจริงๆ
ใครจะรู้ว่ามันแค่ชนถูกชายเสื้อของเหยื่อตัวน้อย เหยื่อตัวน้อยก็มาหายวับไปกับตา!
สิงโตลายเสืออึ้งงันไปด้วยความไม่เข้าใจ
จังหวะต่อมา วั่งซูขึ้นมาขี่อยู่บนหลังสิงโตลายเสือ
สิงโตลายเสือเคยถูกตี เคยถูกกัด เคยถูกฟาด แต่ไม่เคยถูกใครขี่มาก่อน เลยกระโดดเด้งขึ้นมาทันที
สิงโตลายเสือวิ่งพล่าน วิ่งไปทั่วป่าอย่างบ้าคลั่ง
พอมันวิ่งก็เกิดเรื่องขึ้นทันที
ทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของป่ามีหลุมใหญ่อยู่หลุมหนึ่ง บนหลุมใหญ่มีแผ่นไม้พาดปิดอยู่ ซ้ำยังใช้หญ้ากับใบไม้ทำเป็นปราการพรางตาไว้ ดูเผินจะไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติ เดินผ่านเฉยๆ ก็ไม่ตกลงไป แต่กระนั้นบนหลังสิงโตลายเสือก็ดันมีลูกตุ้มอันน้อยถ่วงอยู่
ได้ยินเพียงเสียงเป๊าะดังสนั่น แผ่นไม้ก็หักลงไปทันที
หนึ่งคนหนึ่งสัตว์ตกลงไปในหลุม
ราชันอสูรที่เพิ่งทะลุขีดจำกัดได้ ยังไม่ทันกระทั่งจะหายใจก็ถูกลูกตุ้มตัวน้อยอย่างวั่งซูหล่นกระแทกใส่ศีรษะ
ราชันอสูรล้มอย่างน่าอนาถอยู่กับพื้น แต่เขายังไม่ตาย แค่เพียงสลบไปช่วงสั้นๆ เท่านั้น
ตอนเขาลืมตาขึ้นมาอีกที เขาก็จำไม่ได้แล้วว่าตนเองเป็นใคร
เขาเห็นแม่นางตัวน้อย แม่นางตัวน้อยคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขา ตากลมโตดำขลับส่องประกาย นั่นเป็นดวงตาที่ทั้งใสสะอาดและบริสุทธิ์ คล้ายดวงดาวตรงขอบฟ้า และก็เหมือนตาน้ำบนภูเขา
แม่นางน้อยมองตรงมาที่เขา นัยน์ตาไร้ซึ่งแววหวาดกลัว
เขาแผ่พลังกดดันของราชันอสูรออกไป สิงโตลายเสือที่อยู่อีกด้านขวัญผวาจนตัวสั่น มันอยากหนี แต่กระทั่งอุ้งมือสักข้างก็ยังขยับไม่ได้
สัตว์นักล่าตัวอื่นๆ บนพื้นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร ทุกตัวถูกกำลังภายในของราชันอสูรกดไว้จนแน่นิ่งอยู่กับพื้น
แม่นางน้อยเอียงศีรษะแล้ววิ่งตุบตับๆ ออกไป นางคว้าเอาถุงน้ำตรงข้างกำแพงแล้ววิ่งตุบตับๆ กลับมา “เจ้าอยากกินน้ำหรือไม่”
เหตุใดนางถึงขยับได้
เพราะเหตุใด!
ราชันอสูรมองอีกฝ่ายด้วยความตกใจ “โฮ่งๆๆๆๆ!”
เจ้าเป็นนายท่านของข้าหรือ
วั่งซูฟังไม่เข้าใจ “โฮ่งๆๆๆๆ!”
เจ้าโฮ่งข้าก็โฮ่ง
ราชันอสูร “โฮ่งๆๆ!”
วั่งซู “โฮ่งๆๆ!”
ราชันอสูร “โฮ่ง!”
วั่งซู “โฮ่ง!”
ราชันอสูรชะงักค้าง ภาษาเดียวกับเขา…พ่อแม่ท้องเดียวกันหรือ!
*********************************