หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 48 และแล้วก็พบหมิงซิวอีกหน
ตอนที่ 48 และแล้วก็พบหมิงซิวอีกหน
สาเหตุที่ดินเค็มไม่เหมาะสำหรับการเพาะปลูกเพราะมีปัญหาเกี่ยวกับน้ำและความเค็มสูง การจะลดปริมาณเกลือในดินต้องขับเกลือหรือชะล้างเกลือออก การพลิกหน้าดินและการเติมดินจากแหล่งอื่นจะช่วยปรับปรุงคุณภาพดิน ส่งเสริมให้ล้างเกลือได้เร็วขึ้น นอกจากนั้นยังใช้สารปรับสภาพดินปรับปรุงดินด้วยกระบวนการทางเคมีได้อีกด้วย
หรือไม่ก็ ปลูกพืชที่ทนต่อดินเค็มโดยตรง
การปรับปรุงดินเป็นโครงการขนาดใหญ่เกินไป ต้องใช้เงินและทรัพยากรมากมาย เฉียวเวยยากจนไม่มีปัญญาควักเงินออกมาลงทุนตรงนี้ นางจึงเลือกวิธีที่ง่ายและมีความเป็นไปได้ที่สุด นั่นก็คือการปลูกข้าวฟ่างหวาน
ข้าวฟ่างหวานมีความทนทานต่อดินเค็มในระดับที่สูงกว่าข้าวโพด ทนต่อความแห้งแล้ง ทนต่อน้ำขัง ทนต่อสภาพดินที่ย่ำแย่ อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นต้นพืชแสนน่ารักที่ไม่เรื่องมาก
พื้นที่ดินเค็มขนาดใหญ่ ถ้าปลูกข้าวฟ่างหวานทั้งหมดจริงๆ ต้องมีรายได้มหาศาลแน่ คิดแล้วก็ตื่นเต้นเหลือเกิน!
อดใจรอไม่ไหวแล้ว นางต้องรีบไปซื้อเมล็ดพันธุ์!
เฉียวเวยพาลูกกลับขึ้นไปบนเขาอย่างตื่นเต้น
ทว่าเมื่อนางเปิดกระเป๋าลีบแบนของตัวเองแล้วเทเหรียญทองแดงที่นอนอยู่เดียวดายออกมา นางก็ค้นพบปัญหาที่ร้ายแรงมาก การเจ็บป่วยครั้งนี้ทำให้นางใช้เงินไปจนหมด อย่าว่าแต่ซื้อเมล็ดพันธุ์ แม้แต่ซาลาเปานางก็ซื้อไม่ได้
โรงน้ำชาหรงจี้เริ่มเปิดกิจการหลังวันที่สิบห้าเดือนหนึ่ง ไม่รู้ว่าเมื่อใดนางจึงจะมีเงินพอซื้อเมล็ดพันธุ์
ตอนนั้นป้าหลัวเคยถามติดตลกว่าหากเงินหมดจะทำเช่นไร
นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีวันนั้น จึงพูดติดตลกว่าหากเงินหมดจริงๆ ท่านก็ให้ข้ายืมสักหน่อยสิ
ผู้ใดจะรู้ว่าเรื่องตลกกลับกลายเป็นความจริง
แต่ตอนนี้ทุกคนต่างหลบหน้านาง นางยืมเงินไม่ได้ นางต้องหาทางด้วยตัวเอง
เฉียวเวยเปิดหีบแล้วหยิบกล่องที่ใส่กลอนใบหนึ่งด้านล่างสุดออกมา ภายในกล่องใบนั้นยังมีกล่องอยู่อีกใบ เห็นได้ชัดว่าสมบัติต่างๆ ของนางอยู่ในนี้
ตั้งแต่เกิดมาสองชาติ นี่เป็นครั้งแรกที่มีชายหนุ่มรูปงามมอบของขวัญให้นาง นางต้องการเก็บไว้เป็นของที่ระลึก แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้แล้ว
วันที่หกเดือนหนึ่ง เฉียวเวยพกปิ่นปักผมเข้าไปในตัวเมืองพร้อมกับลูกน้อย เดิมทีต้องการว่าจ้างรถม้าของตาเฒ่าซวนจื่อ แต่ตอนนี้เกือบทุกคนในหมู่บ้านต่างหลบเลี่ยงนาง ตาเฒ่าซวนจื่อก็ไม่เว้น ช่วยไม่ได้ นางต้องเดินไปกับลูกๆ
เพิ่งออกจากหมู่บ้าน เฉียวเวยก็รู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังสะกดรอยพวกเขาอยู่ นางแอบชำเลืองมอง พร้อมกับกุมมีดสั้นในแขนเสื้อ
เดินไปได้อีกหนึ่งลี้ระหว่างที่อยู่บนถนนเปลี่ยวไร้ผู้คน จู่ๆ คนผู้นั้นก็วิ่งพรวดเข้ามาหา! เพียงชั่วพริบตาเฉียวเวยก็หันกลับไป ยกมีดสั้นจ่อลำคอของอีกฝ่าย!
“ท่านพี่! ข้าเอง!” หลัวหย่งเหนียนอุทานด้วยความตกใจ!
เฉียวเวยรีบดึงมีดสั้นกลับ “หย่งเหนียน เจ้าตามข้ามาทำไม”
หลัวหย่งเหนียนถูกเฉียวเวยทำให้ตกใจจนเหงื่อแตกพลั่ก เขาไม่เคยเห็นสตรีนางใดขยับตัวขยับมือได้ว่องไวเท่านี้มาก่อน หากเขาไม่เรียกคงถูกมีดสั้นแทงแล้ว น่ากลัวจริงๆ
เขาตอบทั้งที่ใจยังหวาดผวาไม่หาย “ข้าเป็นห่วงว่าท่านไปคนเดียวจะไม่ปลอดภัย จึงจะเข้าเมืองไปกับท่านด้วย”
ผลกลับกลายเป็นว่าฝีมือของเขาสู้นางมิได้
น่าขายหน้าจริงๆ
เฉียวเวยเหลือบมองหลัวหย่งเนียนอย่างประหลาดใจ “เจ้ามีน้ำใจจริงๆ ขอบคุณมาก แต่ข้าไม่เป็นไร เจ้ากลับไปเถิด ขืนคนอื่นรู้ว่าเจ้าอยู่กับข้าจะแย่เอา”
“ข้าไม่สนใจพวกเขาหรอก!” หลัวหย่งเหนียนพูดอย่างดื้อดึง แล้วอุ้มจิ่งอวิ๋นขึ้นขี่หลัง เดินไปสองสามก้าวไม่เห็นเฉียวเวยกับวั่งซูตามมา จึงพูดอย่างจนปัญญา “ข้าจะเดินไปส่งพวกท่านที่ตัวเมืองแล้วก็กลับ ไม่ให้ผู้ใดรู้ เท่านี้ใช้ได้แล้วหรือไม่”
เฉียวเวยลังเล “หย่งเหนียน เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”
“ข้าเต็มใจ ทำไม่ได้หรือไร” หลัวหย่งเหนียนส่งเสียงฮึดฮัด หมุนตัวกลับไปแล้วเริ่มเดิน
หัวแข็งจริงๆ
เฉียวเวยโคลงศีรษะ จากนั้นไม่พูดอะไรอีก อุ้มวั่งซูเดินตามไปอย่างรวดเร็ว
ระหว่างทางทั้งสองคนไม่ได้สนทนาอะไรกัน
หลัวหย่งเนียนมาส่งพวกเขาถึงเมืองแล้วก็กลับตามที่บอก
ในตัวเมืองคึกคักกว่าที่เฉียวเวยคาดไว้มาก ร้านค้าหลายแห่งเปิดแล้ว บางร้านกำลังเก็บกวาดทำความสะอาดร้าน ร้านต้าฟังกำลังพรมน้ำกวาดพื้น พวกพนักงานกำลังขึ้นบันได ถืออ่างไม้ ถังไม้ เดินทำงานวุ่นวายอยู่ภายในร้าน
เฉียวเวยเดินหลบพวกเขาอย่างระมัดระวัง เมื่อเดินมาถึงโต๊ะคิดเงิน ลูกจ้างที่มาต้อนรับนางก็คือเสี่ยวจวงที่เคยมาดูแลนางเมื่อครั้งที่แล้ว
เฉียวเวยหน้าตาอ่อนวัยกว่าอายุจริง อีกทั้งนางยังไม่ชอบเกล้ามวยผมทรงเดียวกับสตรีที่ออกเรือนแล้ว เสี่ยวจวงจึงคิดว่านางเป็นแม่นางน้อยคนหนึ่งมาตลอด เมื่อเห็นนางจูงเด็กตัวน้อยสองคนมาด้วย คนหนึ่งในนั้นยังหน้าตาเหมือนนางยิ่งนัก จึงทักอย่างไม่ทันคิด “พาน้องชายกับน้องสาวออกมาเที่ยวเล่นหรือขอรับ”
เฉียวเวยงุนงง ก่อนจะคลี่ยิ้มตอบว่า “ลูกชายกับลูกสาวของข้าเอง”
เสี่ยวจวงตกตะลึง
เฉียวเวยหยิบปิ่นดอกเหมยหยกน้ำผึ้งออกมาวางตรงหน้าเขา แล้วถามอย่างปวดใจ “สิ่งนี้คืนได้หรือไม่”
เสี่ยวจวงถามด้วยความสงสัย “นี่มิใช่ปิ่นดอกเหมยที่คุณชายท่านนั้นซื้อให้หรอกหรือ เหตุใดนำมาคืนเสียเล่า”
เฉียวเวยทำท่าทางมีลับลมคมใน “เหตุผลนั้น…ข้าไม่สะดวกบอก เจ้าบอกข้ามาก็พอว่าคืนได้หรือไม่!”
เสี่ยวจวงหยิบปิ่นดอกเหมยขึ้นมาตรวจดู มันถูกเก็บรักษาอย่างดี ไม่มีร่องรอยความเสียหาย “สภาพยังดีอยู่เลยนะขอรับ ฮูหยิน”
“ข้ายังไม่เคยใส่สักครั้ง มันย่อมสภาพดีแน่นอน เจ้าจะรับคืนหรือไม่ ตอบมา” เฉียวเวยกำแขนเสื้อ
เสี่ยวจวงฝืนยิ้ม “เครื่องประดับร้านเรา ขายแล้วไม่รับคืนทุกกรณี”
เฉียวเวยเงยหน้าขึ้น แล้วเอ่ยอย่างเอาแต่ใจ “ดูเหมือนเจ้าจะไม่อยากให้ข้าแนะนำลูกข้าให้อีกแล้ว ครั้งหน้าหากมีผู้สูงศักดิ์มาถามเรื่องเครื่องประดับกับข้าอีก ข้าจะพาไปซื้อร้านตรงข้าม”
“โธ่ อย่านะ อย่าๆ! ข้าให้ท่านคืนแล้วดีหรือไม่” ครั้งก่อนเฉียวเวยพานายท่านเงินหนามาซื้อของ เสี่ยวจวงย่อมไม่ต้องการล่วงเกินเฉียวเวยแม้แต่น้อย “แต่…ข้าไม่สามารถให้ราคาเดิมแก่ท่านได้ ข้าต้องคิดค่าเสื่อมราคา ท่านไม่ต้องกังวล ได้ราคาดีกว่าไปโรงรับจำนำแน่นอน!”
“เท่าใด” เฉียวเวยถามเหมือนไม่ใส่ใจ
เสี่ยวจวงว่า “ข้าให้มากสุดห้าสิบตำลึง”
เฉียวเวยตบโต๊ะคิดเงิน “ห้าสิบตำลึง? ข้าไปโรงรับจำนำยังจะดีเสียกว่า!”
เสี่ยวจวงเอ่ยอย่างลำบากใจ “แต่ปิ่นท่านเป็นของมือสอง เราไม่สามารถขายมันในราคาเดิมได้”
เฉียวเวยโต้ “แต่ข้าไม่เคยปัก เจ้าไม่พูด ข้าไม่พูด ผู้ใดจะรู้ว่ามันเคยถูกขายมาแล้ว”
“พวกเรามิอาจทำการค้าที่ผิดต่อหลักมโนธรรม…”
“แล้วทีเจ้าตัดราคาข้าตั้งหลายตำลึง ไม่ขัดกับความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเจ้าบ้างหรือ”
เสี่ยวจวงถูกย้อนจนพูดไม่ออก แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็พูดอีกครั้ง “เห็นแก่ที่ท่านเป็นลูกค้าประจำ หกสิบตำลึง มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
เฉียวเวยลากเสียงยาว “แปดสิบ”
เสี่ยวจวงกล่าวอย่างลำบากใจ “ไม่ได้ขอรับฮูหยิน ให้ท่านคืนสินค้าก็ผิดกฎแล้ว หากให้ราคาสูงเช่นนี้ เถ้าแก่คงไล่ข้าออก”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “เจ็ดสิบ น้อยกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
“หกสิบห้า”
“เจ็ดสิบ” เฉียวเวยชักมีดสั้นในแขนเสื้อออกมาโดยมิให้ผู้ใดสังเกตเห็น พร้อมกับหรี่ตาลงอย่างดุร้าย
เสี่ยวจวงหวาดผวาเนื้อตัวสั่น “เจ็ด…เจ็ดสิบก็เจ็ดสิบ ข้า…ข้า…ข้าจะไปเอาเงินมาให้ท่านเดี๋ยวนี้ ท่านโปรด…รอสักครู่”
พูดจบเขาก็พาใบหน้าซีดเผือดเข้าไปในห้องบัญชี
จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูมองมารดาซุกมีดสั้นกลับเข้าไปในแขนเสื้ออย่างอึ้งๆ
เฉียวเวยแตะดอกเหมยงดงามวิจิตรที่อยู่บนปิ่นปักผม นางถอนหายใจอย่างจนปัญญา ควรจะคิดได้ตั้งนานแล้วว่านางไม่คู่ควรครอบครองของดีๆ เช่นนี้ แม้โชคดีได้มาครอง แต่มิอาจรักษาไว้ได้สักสิ่ง
ลาก่อน ไป๋เยว่กวง[1]
“เจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ”
ทันใดนั้นเสียงอันคุ้นเคยก็ดังขึ้นด้านหลัง น้ำเสียงทุ้มลึกและทรงเสน่ห์ ไพเราะฟังรื่นหูยิ่งนัก
หัวใจของเฉียวเวยสั่นไหว นางหันกลับไปอย่างรวดเร็ว เห็นจีหมิงซิวเดินเนิบๆ มาจากด้านนอก เขาสวมเสื้อตัวยาวสีฟ้าอ่อน ไหล่กว้างเอวสอบ เรือนร่างแข็งแกร่งสูงเพรียว ใบหน้าครึ่งหนึ่งซ่อนอยู่ใต้หน้ากาก กลิ่นอายความเย็นชาแผ่ออกมาจากร่างอยู่เลือนราง
เฉียวเวยคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าจะพบเขาที่นี่ นางตกตะลึงจนนิ่งอึ้ง
“ฮูหยิน ข้าเตรียมเงินเรียบร้อยแล้ว ท่านลองนับดู ทั้งหมดเจ็ดสิบตำลึง” เสี่ยวจวงเดินออกจากห้องบัญชี จากนั้นวางถุงเงินลงบนโต๊ะคิดเงิน
กริ๊ก! เฉียวเวยปิดฝากล่อง แล้วถลึงตาใส่เสี่ยวจวง “เจ้าทำอันใด ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ขาย!”
เสี่ยวจวงงุนงง
เฉียวเวยเอ่ยต่ออย่าง ‘แค้นเคืองต่อความอยุติธรรม’ “พวกเจ้าทำเช่นนี้ได้เช่นไร เพียงเพราะผู้อื่นให้ราคาสูงกว่าก็คิดจะมาบังคับให้ข้าขายเครื่องประดับ! ข้าบอกพวกเจ้าไว้ตรงนี้ พวกเจ้าทำเช่นนี้ ค้าขายไม่มีวันเจริญ!”
[1] ไป๋เยว่กวง (白月光) หมายถึงแสงจันทร์สีขาว มีความหมายโดยนัยถึงคนที่หลงรักแต่ไม่สามารถอยู่ด้วยกัน และไม่มีวันลืมเลือน