หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 8 ซื้อของครั้งแรก (1)
เฉียวเวยถามเหตุผลมาไม่ได้จึงเลื่อนสายตาไปจับบนร่างบุตรสาว เฉียววั่งซูส่ายหน้าอย่างมึนงง นางไม่รู้นี่นา นางกับเสี่ยวไป๋เล่นอยู่ด้วยกันอีกด้าน อยู่ๆ พี่ชายก็ต่อยตีกับพวกเขาแล้ว
เริ่มแรกน้าหลิวยังใจเสียอยู่บ้าง นิสัยของจิ่งอวิ๋นเป็นเช่นไรนางรู้ดี เขาไม่ก่อความแค้นกับผู้อื่นง่ายๆ สันดานของลูกชายตน นางก็รู้ดี เขาชอบก่อเรื่องนัก เกรงว่าเจ้าลูกชายคงจะไปทำอะไรที่ผิดต่อจิ่งอวิ๋นจริงๆ จิ่งอวิ๋นถึงโมโหลงไม้ลงมือกับเจ้าลูกชาย แต่พอคราวนี้จิ่งอวิ๋นเงียบ ความกลัวน้อยนิดนั่นในใจนางก็หายไปไร้ร่องรอยในพริบตา
นางยืดอกแล้วแค่นเสียงเหอะอย่างลำพอง “เป็นอะไรไปเล่า ถามไม่ได้คำตอบสินะ ก็เพราะลูกชายเจ้าไม่มีเหตุผล แต่เป็นบ้าทำร้ายคนมั่วซั่ว! แผลของเถี่ยหนิวเจ้าก็เห็นชัดแล้ว เป็นฝีมือลูกชายของเจ้ากับเดรัจฉานนั่น! เรื่องนี้ ข้าจะไปบอกหัวหน้าหมู่บ้าน ไม่จบเท่านี้แน่!”
หัวหน้าหมู่บ้านเป็นลูกพี่ลูกน้องห่างๆ ของนาง นับขึ้นไปห้ารุ่นมีบรรพบุรุษร่วมกัน หัวหน้าหมู่บ้านจะเข้าข้างผู้ใดน่าจะคาดเดาไม่ยาก ยิ่งไปกว่านั้นนางเป็นเพียงคนนอกคนหนึ่งมารังแกคนในหมู่บ้าน ต่อให้นางไม่ผิดก็ไม่สมควร
ครั้งแรกที่เฉียวเวยรู้สึกว่าการมีชีวิตช่างยากลำบาก ไม่ใช่เพราะไม่มีข้าวกิน และไม่ใช่เพราะหาเงินไม่ได้ แต่เป็นเพราะความรู้สึกไร้พึ่งพิงเช่นเดียวกับตอนนี้ ความรู้สึกว่าไม่มีวันมีบ้านเป็นของตัวเอง…นางสู้แทบเป็นแทบตายอยู่ยี่สิบกว่าปีจนหลุดพ้นจากความกระวนกระวายเช่นนี้ได้ ทว่าเพียงพริบตาเดียวที่ย้อนกลับมายังยุคโบราณ นางก็ต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง
นางสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กดความรู้สึกปั่นป่วนกลับลงไปที่ก้นบึ้งจิตใจ แล้วเอ่ยกับน้าหลิวว่า “เจ้าจะเอาอย่างไร”
น้าหลิวเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ลูกชายเจ้าทำลูกชายข้าเจ็บ จะอย่างไรก็ต้องชดใช้เงินมาสิ! เดรัจฉานน้อยตัวนั้นไม่รู้มีโรคหรือไม่ ข้าต้องพาลูกชายข้าเข้าเมืองไปหาหมอดีๆ สักคน ค่าตรวจไม่ใช่ถูกๆ!”
พูดไปพูดมาก็คืออยากรีดไถเงินสักหน่อยนี่เอง เฉียวเวยที่กลุ้มอยู่นานยิ้มออกมาในทันใด “ถ้าอย่างนั้นที่เจ้าถีบลูกชายข้าจะคิดบัญชีอย่างไร ลูกชายข้ายังอายุน้อยเท่านี้ ไม่รู้ว่าถูกเจ้าถีบหนึ่งทีนั่นเป็นอะไรบ้างหรือไม่ ข้าก็อยากจะพาลูกชายข้าเข้าเมืองไปตรวจดูสักหน่อยเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นไปด้วยกันเลยดีหรือไม่”
ไปด้วยกันยังจะหลอกไถเงินได้หรือ น้าหลิวสะอึกแล้วเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เรื่องนี้ฝั่งไหนก็ล้วนทำเรื่องไม่สมควร แต่หากไล่เรียงความผิดจริงๆ ที่น้าหลิวถีบไปหนึ่งครั้งนั่นไม่สมควรที่สุด ไม่ว่าที่เจ้าก้อนน้อยสีขาวกัดคนหรือที่จิ่งอวิ๋นตีคนล้วนเป็นเพราะเถี่ยหนิวให้พรรคพวกมารุม นั่นเป็นเรื่องทะเลาะกันของเด็กๆ ต่อให้น้าหลิวคิดจะสั่งสอนก็สมควรสั่งสอนเจ้าเดรัจฉานน้อยตัวนั้น แต่นางไม่กล้าหาเรื่องเพียงพอนหิมะตัวน้อยที่ดุร้าย กลับเอาจิ่งอวิ๋นมาระบายโทสะ ความจริงตัวนางเองก็รู้ว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด แต่นางใช้อำนาจบาตรใหญ่จนชินจึงระงับโทสะไม่ได้ก็เท่านั้น
เฉียวเวยเปิดถุงเงินออกแล้วหยิบเงินหนึ่งตำลึงโยนใส่มือนาง “นี่ไม่ใช่ค่าหมอหรอกนะ เห็นแก่ที่ลูกชายเจ้าน่าสงสาร เลยให้เขาไว้ซื้อขนมกินก็เท่านั้น”
น้าหลิวเตรียมใจจะกลับไปมือเปล่าอยู่แล้ว แต่กลับได้เงินหนึ่งตำลึงมาเปล่าๆ นับว่าได้ลาภลอยตกจากฟ้าโดยแท้ นางยิ้มร่าทันที
เฉียวเวยคร้านจะมองหน้านางอีกจึงจูงบุตรสองคนจากไป
ระหว่างทางเด็กทั้งสองนิ่งเงียบอย่างยิ่ง
เฉียงจิ่วอวิ๋นมีเรื่องในใจ ส่วนเฉียววั่งซูไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น
เฉียวเวยไม่พูดคำใด ครอบครัวสามคนจึงเงียบกริบอย่างหาได้ยาก
สุดท้ายเฉียวจิ่งอวิ๋นก็ทนไม่ไหวเอ่ยออกมาเสียงเบา “ขออภัยขอรับ ท่านแม่”
เฉียวเวยเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “ขออภัยเรื่องอะไร ขออภัยที่ข้าต่อยตีกับผู้อื่น หรือขออภัยที่ข้าบอกท่านแม่ไม่ได้ว่าข้าต่อยตีกับผู้อื่นทำไม”
เฉียววั่งซูมองพี่ชายอย่างสงสัยใคร่รู้ แต่ก็เห็นพี่ชายขบริมฝีปากแน่น
เฉียวเวยเอ่ยว่า “ไม่อยากบอกก็ช่างเถิด แม่ไม่บังคับเจ้า แม่ยังจะบอกเจ้าคำเดิม แม่เชื่อว่าเจ้าไม่ใช่เด็กที่ก่อเรื่องอย่างไร้เหตุผล เจ้าทำเช่นนี้จะต้องมีเหตุผลที่จำเป็นต้องทำเช่นนี้แน่นอน เมื่อไรที่เจ้าคิดตกแล้วค่อยมาบอกแม่”
เฉียวจิ่งอวิ๋นอยากจะพูดแต่ก็หยุด ลังเลอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายก็ยังไม่เอ่ยออกมา พอคิดอะไรขึ้นมาได้จึงเปลี่ยนเรื่อง “ท่านแม่ เหตุใดต้องให้เงินพวกเขาเล่า” กว่าจะหาเงินได้ลำบากมากนัก แต่ให้พวกเถี่ยหนิวไปครั้งหนึ่งตั้ง…
ความจริงแล้วเฉียวเวยก็เจ็บปวดกับเรื่องเงินเช่นกัน แต่เถี่ยหนิวเจ็บตัวจริง ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายผิดก่อน สัตว์เลี้ยงของลูกไปข่วนผู้อื่นบาดเจ็บ ลูกชายก็จำต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้ นางไม่ต้องการให้อนาคตลูกชายเติบโตไปเป็นคนที่ทำตามอำเภอใจ บนโลกนี้มีอาชญากรมากมายนัก อาชญากรคนไหนบ้างไม่มีความทุกข์ที่ซ่อนอยู่ในใจ แต่ทุกข์ใจแล้วจะปล่อยให้พวกเขาหลบเลี่ยงความรับผิดชอบกับผลที่ตามมาได้หรือ
ลูกชายยังเล็ก เฉียวเวยไม่ทราบว่าจะอธิบายให้เขาฟังอย่างไรถึงจะดี นางใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยว่า “แม่ผิดเอง ครั้งก่อนตอนน้าหลิวขึ้นเขามาหาเรื่อง แม่เป็นตัวอย่างที่ผิดให้เจ้าดู แม่ไม่ควรลงไม้ลงมือกับนางจนเจ้าเอาเยี่ยงย่างไปลงไม้ลงมือกับผู้อื่น”
ความจริงนี่เป็นเพียงการคาดเดาของนางเท่านั้น นางก็ไม่แน่ใจว่าบุตรชายเอาอย่างตนจึงกล้าทะเลาะวิวาทกับผู้อื่นจริงหรือไม่ แต่ไม่ว่าอย่างไร หลังจากนี้หากจะสั่งสอนใครคงต้องหลบให้พ้นบุตรชายสักหน่อย
“ลงไม้ลงมือ…ไม่ดีหรือ” จิ่งอวิ๋นเอ่ยถาม
เฉียวเวยขบคิดครู่หนึ่งก็อธิบายว่า “นั่นต้องดูว่าเป็นเวลาใด เมื่อเจ้าตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงย่อมต้องลงมือเพื่อปกป้องตนเอง”
“วันนี้ข้าไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นข้าไม่ควรลงมือ” ในที่สุดจิ่งอวิ๋นก็ตระหนักถึงความผิดพลาดของตนแล้ว
เฉียวเวยพยักหน้าอย่างปลื้มใจ “วิธีแก้ปัญหามีมากมายนัก หากเจ้าต้องการเรียนรู้ แม่สอนให้เจ้าได้ทั้งหมด ตอนนี้บอกแม่ได้หรือยังว่าที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
จิ่งอวิ๋นพยักหน้าแล้วเล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวให้ฟัง
ที่แท้สาเหตุเกิดขึ้นเพราะมื้ออาหารมื้อเดียวระหว่างนางกับสวีต้าจ้วง