หฤโหดโคตรนักเวทย์ (Mage are too Op) - ตอนที่ 131
ตอนที่ 131 : กําจัดความชั่วร้าย
โรแลนด์ไม่ได้คาดไว้ว่าเวทมนตร์ของเขาในครั้งนี้จะมีพลังมากถึงขนาดนี้
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยู่ห่างจากกําแพงเมืองสามร้อยเมตร แต่ถึงกระนั้นแก้วหูของพวกเขาก็แตกเพราะเสียงระเบิด
อาการเจ็บปวดไม่รุนแรงนัก เพราะท้ายที่สุดมันเป็นเพียงหนึ่งในสิบจากเดิม แต่สิ่งที่ทําให้เจ็บปวดมากที่สุดดคือจิตใจ
ตอนนี้ทุกคนตาบอดและหูหนวกไม่สามารถมองเห็นหรือได้ยิน ทั้งหมดอยู่ในสภาพที่สับสน หลายคนจึงกลิ้งไปมาด้วยความกลัวบนพื้นราวกับคนโง่
นอกเหนือจากการมองไม่เห็นหรือได้ยินแล้วโรแลนด์เองก็รู้สึกอ่อนแออย่างมาก ซึ่งเป็นปฏิกิริยาตามธรรมชาติของร่างกาย เมื่อพลังทางจิตเกือบจะกระทบกับก้นบึง
ตามเหตุผลแล้วนี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสําหรับพวกเขาในการเข้าโจมตีเมือง แต่เนื่องทุกคนอยู่ในอาการตาบอดจึงไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
ในตอนแรกโรแลนด์รู้สึกกังวลเล็กน้อยว่าศัตรูจะโจมตีเข้ามา ทว่าเขารอพักหนึ่งก็ไม่ได้ยินเสียงของศัตรู เวลาผ่านไปราวๆสี่นาทีก่อนผู้เล่นจะเริ่มกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง ตาของพวกเขาบวมแดงอย่างมาก
นักบวชสองคนจากโบสถ์แห่งสายน้ําฟื้นตัวขึ้นและเริ่มใช้เวทย์รักษาหมู่
นี่เป็นเวทมนตร์รักษาชนิดหนึ่งที่ไม่ได้รักษาได้เร็วนัก แต่มีระยะค่อนข้างกว้าง ผลการรักษาค่อนข้างดีเนื่องจากพวกเขารวมพลังกัน
การที่แก้วหูแตกในปัจจุบันนี้ยังถือว่าเป็นปัญหาระดับหนึ่ง ทว่าในที่นี่มันถือเป็นอาการเจ็บปวดเล็กน้อยเท่านั้น เวทย์รักษาสามารถดูแลมันได้
ผู้เล่นนั้นเริ่มมองเห็นสิ่งที่อยู่ห่างออกไปได้ หลังจากการวินเวียนจากคลื่นพลังนั้นหายไปพวกเขาก็เห็นสิ่งที่อยู่ห่างออกไป พวกเขาทุกคนต่างพูดไม่ออกด้วยอาการตกใจ
กําแพงเมืองถูกพังลงมาจากความสูงหกเมตรเหลือต่ํากว่าหนึ่งเมตรด้วยซ้ํา
และความหนาของกําแพงเมืองอยู่ที่สามเมตรดังนั้นไม่ว่าใครก็สามารถจินตนาการได้ว่าบอลเพลิงขนาดใหญ่ของโรแลนด์สร้างความเสียหายได้มากแค่ไหน
สิ่งที่น่าอุกอาจยิ่งกว่านั้นคือกําแพงโดยรอบในระยะกว่าห้าสิบเมตรซึ่งใกล้กับจุดระเบิดได้พังทลายลงมาและที่อยู่ห่างออกไป จากนั้นพื้นผิวด้านนอกของกําแพงก็แตกหักและอยู่ไม่ไกลจากการพังทลายนัก
และในที่ตรงนั้นยังคงมีควันสีดําและลาวาสีแดงเข้มไหลย้อยลงมาจากศูนย์กลางของจุดระเบิด
“ด้วยพลังระดับนี้ การยิงเพียงครั้งเดียวสามารถทําลายกําแพงเมืองได้ แล้วพวกเราจะต้องการหน่อยบุกทะลวงล้อมเมืองไปเพื่ออะไร ในเมื่อนักเวทย์เพียงไม่กี่คนสามารถแก้ปัญหาทุกสิ่งได้หมด?”
ผู้เล่นคนอื่นๆเองก็ดูเห็นด้วยกับเรื่องนี้
มีบทสนทนาคล้ายกันเกิดขึ้นในห้องไลฟ์สตรีม
แต่ผู้เล่นที่เหมือนนักบวชก้าวไปด้านข้างและพูดออกมาว่า “เป็นเพราะเมืองนี้ไม่ได้ใช้วัสดุก่อสร้างที่ทนทานต่อเวทมนตร์ต่างหาก ทุกเมืองในประเทศนี้เองก็เหมือนกันกับเมืองนี้ ทว่าเมืองขนาดใหญ่บางแห่งก็ใช้วัสดุที่ต่อต้านเวทย์มาสร้างกําแพง สําหรับเมืองชายแดนพวกเขาจะผสมวัสดุต่อต้านเวทมนตร์จํานวนมากเข้ากับกําแพงเมืองของพวกเขา และจึงทําให้นักเวทย์สามารถทําลายกําแพงเมืองของพวกเขาได้ยากมาก ยิ่งไปกว่านั้นในสงครามที่แท้จริงทั้งสองฝ่ายต่างก็มีต่างก็มีนักเวทย์ที่ต้องปะทะกันเอง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทําลายกําแพงด้วยพลังทําลายอันมหาศาล ในหลายๆครั้งการสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันเวทย์ก็สามารถช่วยลดความเสียหายเวทมนตร์ได้เป็นจํานวนมาก นักเวทย์ไม่แข็งแกร่งพอที่จะอยู่ยงคงกระพันหรอก”
กลุ่มผู้เล่นถอนหายใจอย่างโล่งอก
ผู้ชมในไลฟ์สตรีมเองก็รู้สึกดีขึ้นมากเช่นกัน
อย่างน้อยก็ยังดีที่ยังมีทางในการตอบโต้อาชีพที่น่ากลัวขนาดนี้
กลุ่มของผู้เล่นเดินเข้าไปใกล้กําแพงเมืองและพบกับเศษศากศพอยู่ทุกทิศทาง ทหารยามเกือบทั้งหมดนั้นตายไปเรียบร้อยแล้ว บางส่วนก็ถูกเผาจนเกรียม บางส่วนก็ถูกแรงกระแทกจากคลื่นจนตายไป
แม้แต่ผู้เล่นที่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญซึ่งอยู่ห่างออกไปถึง 300 เมตรยังไม่สามารถต่อสู้ได้ ชั่วคราวเนื่องจากแรงกระแทกของคลื่น ไม่จําเป็นต้องพูดถึงเหล่าทหารที่อ่อนแอ
มีความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาในสายตาของผู้เล่นขณะที่พวกเขามองไปที่ซากศพที่กระจัดกระจาย แต่ไม่มีใครกล่าวโทษโรแลนด์
ไม่มีใครในพวกเขาที่มือไม่เปื้อนเลือด
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็มีเหตุผลในการกระทําของพวกเขา
ไม่มีใครสักคนในทหารพวกนี้ที่ช่วยเหลือคนบริสุทธิ์ที่ถูกกดขี่
อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาพบเข้ากับทหารที่ยังไม่ตาย เหล่านักบวชเองก็เต็มใจที่จะช่วยรักษาพวกเขา
หลังจากมองไปรอบๆประตูเมืองอยู่ครู่หนึ่ง ผู้เล่นก็พึมพัมออกมาว่า “ด้วยพลังระดับนี้ ต่อให้ฉันสวมชุดต่อต้านเวทย์ แต่ฉันก็ยังคงจะต้องตายด้วยอาการตกใจอยู่ดี”
“ถ้างั้นก็แค่เรียนทักษะการต้านทานคลื่นกระแทกเป็นไง?” ผู้เล่นบางคนพูดแทรกขึ้นมา
“ไม่มีทางที่ฉันจะเรียนทักษะที่ไว้ตอบโต้แคโรแลนด์อย่างเดียว ขณะที่เมื่อเจอคนอื่นก็เป็นเพียงแค่ขยะหรอกนะ”
“นายรู้ใช่ไหมว่าตอนนี้มีแคโรแลนด์คนเดียวที่เป็นนักเวทย์ที่แท้จริง”
ผู้เล่นสองสามคนทะเลาะกันโดยหลีกเลี่ยงลาวาสีแดงเข้มที่ยังคงลุกเป็นไฟ จากนั้นก็ก้าวข้ามกําแพงเมืองที่มีความสูงเมตรกว่าๆและเข้าไปในเมือง
“ทุกอย่างเป็นไปตามแผนใช่ไหม?”
“แน่นอน!”
ผู้เล่นทุกคนยิ้มออกมาอย่างรู้ทันและเวทย์ขยายเสียงก็ถูกร่ายเข้าใส่พวกเขา
จากนั้นพวกเขาก็จัดขบวนของพวกเขาให้ จากนั้นก็ตะโกนคําขวัญที่พวกเขาเตรียมไว้ล่วงหน้าออกมา
เสียงกึกก้องเริ่มดังไปทั่วเมืองมอลลี่
“พวกเราคือกลุ่มต่อต้านดวงตาสีเทา ซึ่งเป็นผู้ล้างแค้นที่คลานกลับมาจากนรก”
“มีเพียงหัวของปีศาจร้ายเบทเทลเท่านั้นที่พวกเราต้องการ ไม่มีใครอื่นอีก”
“เบ็ตเทลเป็นผู้ชายที่โหดเหี้ยมและไร้หัวใจอย่างที่สุด ความโกรธแค้นของพวกเราจะไม่ถูกระงับจนกว่าเขาจะตาย”
“เราจะกลับไปที่นรกหลังจากเบทเทลถูกฆ่า โปรดอย่าขวางทางพวกเรามิฉะนั้นคุณจะต้องรับผลที่ตามมา”
โจมตีไปที่จิตใจก่อนจะฆ่าทิ้ง: ผู้เล่นตระหนักดีถึงเรื่องนี้ เพื่อลดการต่อต้านของศัตรูและลดการบาดเจ็บล้มตายโดยไม่จําเป็นจึงต้องมีการตะโกนคําขวัญดังกล่าว
เพียงแต่พวกผู้เล่นมักจะเป็นพวกแปลกๆ ระหว่างที่พวกเขาตะโกนกันอยู่ก็มีบางคนกวนตีนออกมา
“ไอ้กระ**เบทเทลสมควรที่จะเป็นขุนนางงั้นเหรอ?”
“เบทเทลนั้นอัปลักษณ์และน่ารังเกียจ เขานั้นน่ารังเกียจและเลวร้ายมากจนมีแผลที่หัวและมีหนองที่ฝ่าเท้าและใครก็ตามที่เข้าร่วมกับเขาจะถูกพระเจ้าลงโทษในที่สุด”
“เบทเทลนั้นเป็นไอ้โรคจิต มันไม่ยอมปล่อยยายอายุ 80 ปี ไปด้วยซ้ํา”
เมื่อคําพูดนี้ถูกพูดออกมาผู้เล่นโดยรอบต่างมองไปที่ผู้พูดในทันที
ทันทีที่พูดสิ่งนี้ผู้เล่นทุกคนมองไปที่ผู้เล่นที่เพิ่งตะโกนว่านี้
ผู้เล่นคนนี้พูดออกมาโดยสัญชาติญาณ
เหล่าผู้เล่นที่ต่างตะโกนและเดินหน้าไปเรื่อยๆก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ ไม่มีใครหยุดพวกเขาเลยสักคน
ถนนสายหลักที่ตรงไปยังปราสาทนั้นไม่มีคนแม้แต่คนเดียว
ดูเหมือนทุกคนกําลังแอบซ่อนตัวกันอยู่
เมืองกลายเป็นเงียบสงัด
เกิดอะไรขึ้น เป็นไปได้ไหมที่ศัตรูแอบซ่อนตัวอยู่และซุ่มโจมตีพวกเขา? หรือคําขวัญนี้ได้ผลจริงๆ?
เหล่าผู้เล่นต่างมองหน้ากัน
ตอนนั้นเองผู้เล่นโจรคนหนึ่งกระโดดลงมาจากหลังคาและกระโดดลงมาบนพื้นจากนั้นพูดอย่างเร่งรีบว่า “เบทเทลหนีไปทางตะวันออกแล้วใครเป็นคนสร้างความวุ่นวายนี้กัน เชี่ยแม้งโคตร ทําให้ฉันกลัวเลย เหมือนกับมีระเบิดห้าพันลูกอยู่ในหัว คนทั้งเมืองต่างหวาดกลัวและเบทเทลก็หยุดดับเพลิงในทันทีและรีบออกไปพร้อมกับทหารของเขาทางตะวันออก อีกห้าคนที่เหลือตามไปแล้ว พวกเขาส่งฉันให้มาที่นี่เพื่อให้ถามว่าพวกนายจะฆ่าทิ้งให้หมดหรือฆ่าทิ้งแค่คนเดียวพอ”
สายตาของทุกคนหันไปที่โรแลนด์
โรแลนด์ฝืนหัวเราะและพูดว่า “นายไม่ควรพูดอะไรอย่างจะฆ่าทิ้งทุกคน พวกเราเป็นคนดี พวกเรานั้นต้องการกําจัดปีศาจร้ายเท่านั้น พวกเราจะไม่สนใจคนอื่นเพียงแต่เบทเทลนั้นต้องตาย”
เอลลี่ที่อยู่ในฝูงชนก็พูดออกมาอย่างมุ่งมั่นเช่นกันว่า “เบทเทลต้องตาย”
“ถ้าอย่างนั้นเรามาไล่ตามกันต่อไป ฉันไม่เชื่อว่าพวกเขามีความอดทนมากกว่าพวกเราที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ” ผู้เล่นคนหนึ่งตะโกนออกมา
เหล่าฝูงชนต่างหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย