หฤโหดโคตรนักเวทย์ (Mage are too Op) - ตอนที่ 134
ตอนที่ 134 : กล้าหาญ
อัญมณีสีฟ้าขนาดแตกต่างกันไปมีมูลค่ากว่า 90 เหรียญทอง และหลังจากประเมินราคาคร่าวๆจากโจรทั้งหกและเมื่อรวมกับหกสิบเหรียญทอง พวกเขาก็มีเงินรวมอยู่ที่ราวๆ 150 เหรียญทองจากปราสาท
ถ้าแปลงนี้เป็นเงินหยวนมันจะมีค่ามากกว่าสองล้านหยวน
เงินจํานวนนี้อาจจะไม่ได้มากนัก ทว่าผู้เล่นเกือบทั้งหมดต่างรู้สึกว่านี่เป็นเงินจํานวนมาก
เงินนั้นเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับกําลังในการซื้อและค่าความต้องการของเงินในสังคม
อย่างเช่นในช่วงปี 70 และปี 80 ในประเทศจีน เนื้อหมูมีราคาเพียงแค่ 60-70 เซ็นต์เพียงเท่านั้นแต่ก็ยังมีคนจํานวนน้อยอยู่ดีที่สามารถกินเนื้อหมูได้ เพราะในเวลานั้นการกินเนื้อหมูถือเป็นเรื่องที่หรูหรา ลองจินตนาการดูสิว่าหากมีเงินสองล้านหยวนในปี 70-80 ในช่วงที่เนื้อหมูมีราคาต่ํากว่าหยวนเสียอีก
ภายในโลกแห่งเกมนี้ราคาของและกําลังซื้อของคนบนโลกใบนี้ต่ํายิ่งกว่าตอนปี 70 และปี 80 ของจีนเสียอีก ขนมปังขาวและน้ําผึ้งถือเป็นอาหารที่หรูหรามีราคาเพียงแค่สองเหรียญทองแดงซึ่งนั่นฟังดูราคาถูกมา ทว่าไม่ใช่กับสามัญชนที่ไม่กล้าแม้แต่จะกินมันตามอําเภอใจ สองเหรียญทองแดงนั้นสามารถเลี้ยงดูครอบครัวธรรมดาได้นับสิบวัน
แล้วพวกเขาจะกล้ากินมันตามอําเภอใจได้ยังไง?
นี่ถึงเป็นสาเหตุว่าทําไมเหรียญทองและอัญมณีในโลกนี้ต่างก็มีค่าเป็นจํานวนมาก
และเบทเทลนั้นเพียงเป็นเจ้าเมืองของเมืองขนาดเล็กเท่านั้น
เพราะกลุ่มหลักที่อยู่เบื้องหลังการจุดไฟเผาปราสาทและปล้นชิงทรัพย์คือโจรทั้งหกคน ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะได้รับส่วนแบ่งที่มากยิ่งขึ้น ดังนั้นพวกเขานําสิ่งของที่มีมูลค่าหกสิบเหรียญทองแบ่งออกมาและให้โจรไปแบ่งกันเอง
ส่วนอีกเก้าสิบเหรียญทองที่เหลือนั้นต่างแบ่งออกมาอย่างเท่าเทียมให้ผู้เล่นที่เหลือ
จริงๆแล้วจะได้เงินหรือไม่ก็ไม่สําคัญกับโรแลนด์ เพราะจํานวนนักเวทย์ในเมืองหลวงที่เริ่มเรียนความสามารถพิเศษของเขานั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ในกระเป๋ามิติของเขาในตอนนี้มีเงินกว่าสามสิบเหรียญทองแล้ว เขานั้นไม่ขาดแคลนเงิน แต่ถ้าหากเขาไม่รับมันมาเขาคงแอบถูกตราหน้าอย่างลับๆว่าเป็นพวกไม่เข้าสังคม, อวดรวยและทําตัวติดลบกับคนอื่น ดังนั้นเขาจึงถืออัญมณีขาวเม็ดเล็กๆเพื่อเป็นรางวัลให้กับตัวเอง
จากนั้นเหล่าผู้เล่นต่างก็เริ่มดื่มกินและเริ่มคุยโม้โอ้อวดกันจากนั้นภายในสองวันก็เริ่มแยกย้ายจากกันไป
อาหารและเครื่องดื่มทั้งหมดนั้นต่างถูกนํามาจากเมืองมอลลี่
ในตอนแรกชาวเมืองและเหล่าพ่อค้าต่างหวาดกลัวกลุ่มผู้เล่นที่บ้าคลั่งที่อยู่ภายนอกเมือง บุตรทองคําเหล่านี้ไม่จําเป็นต้องนอนและหลังจากที่พวกเขาเมาในกลางดึกก็มีการตีฆ้องและกลองส่งเสียงร้องโหยหวนและร้องเพลงแปลกๆอยู่ที่ด้านนอกเมือง นี่เป็นเป็นเรื่องราวอันแสนน่ากลัวที่เด็กได้ยินก็ต้องหยุดร้องไห้
แต่พวกเขาก็พบว่าพวกผู้เล่นเหล่านี้ต่างจ่ายค่าอาหารและสินค้าทั้งหมด และมักจะเป็นฝ่ายขอโทษก่อนหากพวกเขาเดินชนใครสักคนเข้า พวกเขาจึงเริ่มมีความกล้ามากขึ้น และเริ่มเข้าหาและนําเครื่องดื่มมาขายให้เหล่าผู้เล่น
บางคนถึงขนาดกล้ามากที่มาร่วมดื่มและกินฟรีด้วย
พวกผู้เล่นนั้นไม่ใส่ใจและยอมรินเครื่องดื่มและนําอาหารให้พวกเขา พวกเขานั้นใจกว้างมาก
แต่ต่อให้เป็นงานเลี้ยงที่ดีที่สุดก็ต้องมีวันเลิกรา โรแลนด์นั้นเป็นหนึ่งในกลุ่มคนสุดท้ายที่กําลังจะจากไปในขณะที่เขากําลังจะจากไปกลุ่มทหารก็พาเด็กหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาหาเขา
เขาเป็นเด็กชายตัวเล็กๆที่ทั้งซูบผอมและดูขึ้นอาย ไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อยแม้จะออยู่ในชุดของขุนนางก็ตาม
ทว่าแม้ว่าจะเผชิญหน้ากับโรแลนด์เขาก็ยังคงใช้ท่าทางที่ดูมุ่งมั่นและพูดประโยคราวกับพวกเขานั้นอยู่ในสถานะที่เท่าเทียมกัน “คุณอาร์คเมจผู้ยิ่งใหญ่ ข้าคือญาติห่างๆของตระกูลเบทเทลในฐานะของทายาทของเมืองมอลลี่ตอนนี้ข้านั้นคือผู้ปกครองเมืองมอลลี่ ข้าคิดว่าข้าควรถามท่านถึงบางสิ่ง”
เด็กน้อยคนนี้รู้สึกกลัวอย่างแท้จริง เขาพูดด้วยอาการสั่นและดูเหมือนจะมีน้ําตาในดวงตากลมโต แต่เขาก็ยังคงมองตรงเข้าไปในดวงตาของโรแลนด์อย่างกล้าหาญโดยไม่มีการสั่นคลอน
โรแลนด์มองไปที่ทหารรอบๆตัวเขา ทหารเหล่านี้นั้นเป็นผู้ติดตามเบทเทลไปในวันนั้น พวกเขาคือกลุ่มคนที่ต้องการสู้ตายไปพร้อมกับเบทเทล
แต่เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับการจ้องมองของโรแลนด์ พวกเขาก็ต่างหันหน้าหนีโดยไม่รู้ตัว
โรแลนด์หันกลับมาและยิ้มให้เด็กน้อย “ถามต่อเถอะ”
น้ําเสียงของเด็กน้อยยังคงสั่นเครืออยู่ “ท่านบรรลุเป้าหมายในการล้างแค้นแล้ว ท่านจะกลับมาโจมตีเมืองมอลลีของพวกเราอีกในอนาคตหรือไม่?”
โรแลนด์ที่เห็นว่าเด็กน้อยนี้หวาดกลัวขนาดไหนเขาจึงถามไปด้วยความสงสัยเล็กๆว่า “แล้วนายจะทํายังไงหากพวกเรากลับมาอีกครั้ง?”
เมื่อโรแลนด์พูดขึ้น เหล่าผู้เล่นที่ยังเหลืออยู่อีกเล็กน้อยซึ่งยังไม่จากไปและบางส่วนก็มีหน้าที่กําจัดและผังขยะต่างก็เอียงหูเข้ามาฟังและตอนนั้นเองชายในชุดคลุมดําหลายคนก็ยืนขึ้นพร้อมกันดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยการข่มขู่
“ข้า” เมื่อเห็นจํานวนชายชุดดําที่อยู่ตรงฝากตรงข้ามของถนน เด็กชายตัวน้อยก็เสียงสั่นมากขึ้นกว่าเดิม ปากของเขาซีดลงและสั่นเครือ “ข้าคิดว่าการต่อสู้ การฆ่าฟัน…มันไม่ดีพวกเราสามารถหาทางออกทางอื่นได้ พวกเราสามารถมอบ…เหรียญทองจํานวนมากให้ทุกเดือน…ในฐานะเครื่องบรรณาการได้แต่ได้โปรด…ไว้ชีวิตของประชาชนของเมืองมอลลีด้วย!”
ทหารที่คอยอารักขาอยู่ข้างๆต่างกลืนน้ําลายออกมาและแสดงท่าที่ไม่สบายใจเป็นอย่างมากและต้องการนํามือเอื้อมไปจับดาบ ทว่าก็ไม่กล้าเนื่องจากกลัวชายชุดดําในฝั่งตรงข้ามไม่พอใจ
เด็กน้อยอายุไม่ถึงสิบปี ขณะที่เขามองไปยังโรแลนด์อย่างกล้าหาญ เขาก็พยายามข่มความกลัวของเขาไว้ โรแลนด์รู้สึกสงสารเด็กน้อยเลยเอื้อมมือหวังที่จะลูบหัวเด็กน้อยและปลอบเขา
เมื่อการลูบหัวสิ้นสุดลงเด็กน้อยก็ร้องออกมาเบาๆและปิดตาของเขาแน่น
ทว่าเขายังยืนตรงอยู่ที่เดิมและไม่ได้ถอยหลังกลับไป
ทหารหลายคนนํามือไปจับด้ามดาบ แต่ยังคงไม่ดึงมันออกมา
โรแลนด์ตบไปที่หัวของเด็กน้อยเบาๆ “ตําแหน่งนายกนั้นอาจจะยากไปสักนิด ถ้าหากนายทํามันได้ดีละก็ พวกเราจะไม่มาที่นี่อีกต่อไป”
หลังจากพูดจบโรแลนด์ก็จากไปในทันที
เหล่าผู้เล่นหลายคนต่างก็เข้ามาและลูบหัวเด็กชายและพูดว่า
“ทําหน้าที่ให้ดีล่ะ”
“ทําหน้าที่ให้ดีแล้วอย่าเป็นเหมือนรุ่นก่อนละ
“สู้เข้านะแล้วเป็นเจ้าเมืองที่ดีให้ได้”
จากนั้นกลุ่มผู้เล่นก็จากไป เสียงชมเชยของพวกเขาดังขึ้นจากในระยะไกล
“เด็กน้อยนั่นกล้าหาญมาก หากเป็นฉันนะฉันคงกลัวจนขี้แตกไปแล้ว”
“นั่นมันโครตน่าหยะแหยง ถ้าเป็นฉันอย่างมากก็คงแค่หมดสติแล้วน้ําลายฟูมปาก”
จากนั้นพวกเขาก็หัวเราะกันออกมา
เด็กชายที่ตัวสั่นอดไม่ได้ที่จะล้มลงไปกับพื้น ขณะที่มองดูพวกชายชุดดําที่ไม่ได้สวมหน้ากากจากไปจนกระทั่งไม่เห็นแม้แต่เงา
เขาปิดหน้าตัวเองพร้อมร้องไห้อย่างเงียบๆ “โคตรน่ากลัว พวกเขาทําให้ข้ากลัวจนแทบจะตายอยู่แล้ว”
เมื่อเขาพูดจบก็เกิดคราบน้ําที่ด้านล่างของเขา
เมื่อเห็นดังนั้นเด็กชายก็ร้องดังขึ้นด้วยความอับอาย
องครักษ์ของเขาคนหนึ่งนั่งยองๆพร้อมตบไปที่แผ่นหลังของเด็กน้อย “นายน้อยท่านกล้าหาญและยอดเยี่ยมมาก”
โรแลนด์กลับไปยังมอลลี่และพบเข้ากับคนขับรถม้าพร้อมสั่งให้เขาไปยังทางเดิมที่เขาเดินทางมา
เขาอยู่บนรถม้าได้ไม่นานก็ได้รับข้อความมาจากกิลด์ เบทต้า: พี่โรแลนด์ในฟอรั่มมีคนตั้งกระทู้ด้วยว่าจะต่อสู้กับพี่ยังไง!”
โรแลนด์งงไปทันที นี่เขาไปทําอะไรให้ใครโกรธหรือเปล่า?
เขาเปิดฟอรั่มขึ้นมาและพบเข้ากับกระทู้นั่น
เกี่ยวกับวิธีการจัดการนักเวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุดโรแลนด์
คนโพสต์กระทู้นี้นั้นบอกว่าตัวเองเป็น “ผู้ทําลายเวทย์”