หฤโหดโคตรนักเวทย์ (Mage are too Op) - ตอนที่ 136
ตอนที่ 136 : ทุกชีวิตล้วนเท่าเทียม
สาวใช้ของอัลโด้นั้นมีคุณภาพเฉลี่ยเหนือกว่าพวกผู้มีอิทธิพลทั้งหมดภายในเดลพอน ยิ่งไปกว่านั้นเหล่าสาวใช้พวกนี้ต่างซื่อสัตย์ต่อเขาเป็นอย่างมาก
ในตอนนั้นเองอัลโด้ก็โอบกอดสาวใช้ด้านซ้ายและขวา และหนึ่งในสาวใช้ทั้งสองนั้นกําลังป้อนไวน์เขาอยู่ส่วนอีกคนกําลังป้อนผลไม้ให้แก่เขา
อัลโด้ยังคงมีท่าทางที่ซีดเซียว ราวกับติดอยู่ระหว่างความเป็นความตายเหมือนก่อนหน้านี้ เมื่อเขาเห็นโรแลนด์มีท่าทีวิตกกังวลเล็กน้อย เขาพูดออกมาอย่างช้าๆว่า “อย่าพึ่งไปเร่งรีบในการเรียนเวทย์คลายการล่องหนเลย เวทย์พรระดับเล็กไม่เพียงแต่มีราคาแพงทว่ามันเป็นถึงเวทย์ระดับสี่ เจ้ายังไม่สามารถเรียนรู้มันได้หรอก ส่วนเวทย์ละอองฝุ่นเจ้านั้นสามารถเรียนรู้มันได้ ทว่าคีย์เมียร์นั้นเป็นชายที่หยิ่งยโส และเป็นขุนนางสายเลือกบริสุทธิ์และไม่ต้อนรับเหล่าสามัญชนหรือขุนนางใหม่ ข้าคิดว่าบุตรทองคําเช่นเจ้าก็คงไม่ต่างกัน”
เมื่อได้ยิน โรแลนด์ก็ล้มเลิกความคิดในการคลายเวทย์ล่องหนทันที
“ข้าไม่รู้ว่าทําไมเจ้าถึงดูรีบร้อนนัก ทว่าเจ้าที่เป็นบุตรทองคํานั้นไม่กลัวความตายใช่ไหม?” อัลโด้ยิ้มออกมาอย่างหยอกล้อ
โรแลนด์ยักไหล่ลงและออกจากคฤหาสน์ของอัลโด้ไป
จริงๆแล้วก็เป็นอย่างที่อัลโด้พูด โรแลนด์เองก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับพวกโจร
ทว่าโรแลนด์รู้สึกว่าคนที่เป็นภัยกับเขามากที่สุดนั้นไม่ใช่นักทําลายเวทย์ ทว่ากลับเป็นผู้เชี่ยวชาญจําพวกโจร, นักฆ่า, ผู้รับจ้างวานฆ่า ซึ่งสามารถล่องหนได้
ถึงแม้ว่าทุกคนนั้นจะเป็นผู้เล่น แต่สําหรับกลุ่มของผู้เล่นนั้นคนที่มีจํานวนมากมักจะเป็นฝ่ายถูกโดยไม่คํานึงถึงเรื่องราวที่แท้จริง ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าพวกเขาจะทําอะไรบ้าง มันไม่ใช่แค่การประลองกันระหว่างผู้เล่น ดังนั้นโรแลนด์จึงคิดว่าอีกไม่นานการต่อสู้จะกลายเป็นเรื่องธรรมดา
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคนที่ไม่พอใจพวกที่ได้รับความสนใจจากสังคม
ตอนนี้โรแลนด์ถูกพิจารณาให้เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่โดดเด่นมากที่สุดโดยรู้จักกันในฐานะนักเวทย์อันดับหนึ่ง
ในตอนนี้ก็มีคนเปิดเผยตัวออกมาแล้วว่าต้องการเล็งเป้าหมายมายังเขาผ่านทางฟอรั่มและพวกที่ไม่ออกพูดอีก…เอาเถอะ เขาไม่รู้ว่ามีกี่คนกันแน่ที่ต้องการใช้เขาเป็นแท่นเหยียบเพื่อยืนอยู่บนจุดสูงสุด
นี่เป็นเหตุผลสําคัญที่โรแลนด์รู้สึกว่าตัวเขาต้องระมัดระวังมากขึ้น
กลับมาที่หอคอยเวทย์ วิเวียนนั้นดูค่อนข้างมีความสุขที่เห็นเขา เธออบขนม เสิร์ฟไวน์ผลไม้ และนวดหลังและไหล่ให้เขา
จากนั้นวิเวียนก็นั่งลงและเริ่มพูดคุยกับโรแลนด์
เธอพูดเกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้าที่เกิดขึ้นกับหอคอยเวทย์ เกี่ยวกับเรื่องตลกๆของเด็กใหม่ทั้งสองนั้น และเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ครอบครัวของคลาอัสมาเพื่อรับศพเขา
“ พ่อของคลาอัสผมหงอกไปทั่วทั้งหัว คลาอัสเป็นความหวังเดียวของครอบครัว ทว่า…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ท่าทางที่มีความสุขของวิเวียนก็เปลี่ยนเป็นเศร้าหมองเล็กน้อย
“เธอคิดว่าฉันไม่มีเหตุผลใช่ไหมละ?” วิเวียนถามขึ้นขณะสังเกตุท่าทีของวิเวียน
คลาอัสเคยเป็นขุนนาง วิเวียนเองก็เป็นขุนนาง ยกเว้นเด็กใหม่สองคนนั่น สมาชิกที่เหลือล้วนแล้วแต่เคยเป็นสมาชิกของตระกูลขุนนางที่ล่มสลายทั้งหมด ครอบครัวของพวกเขานั้นปฏิเสธที่จะยอมรับมัน ดังนั้นการเป็นนักเวทย์จึงเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่พวกเขาจะก้าวหน้าขึ้น
ขุนนางต่างมีความหยิ่งทระนงในตัว และถึงแม้ว่าโรแลนด์จะไม่ได้ติดต่อกับพวกเขามากนัก แต่เขาก็สามารถบอกได้ว่าพวกเขาไม่ได้ใจดีกับสามัญชนมากนัก
มีหลายคนด้วยซ้ําที่คิดว่าการกระทําของคลาอัสไม่ถูกต้อง ทว่าการฆ่าเขาเป็นเรื่องที่รุนแรงเกินไปหน่อย
วิเวียนส่ายหน้าออกมา “ไม่มีใครรู้ได้ ทว่าข้านั้นไม่คิดอย่างงั้น ข้าคิดว่าท่านเป็นคนที่เสียใจที่สุดในเรื่องนี้ด้วยซ้ํา ท่านรอง”
เมื่อเธอพูดจบ ดวงตาของหญิงสาวก็ปรากฏร่องรอยของหยดน้ําตา
วิเวียนเดินออกไปจากห้อง
โรแลนด์เริ่มกินอาหารและนั่งพักในห้องวิจัยของเขา
ก่อนที่เขาจะรู้ตัว เขาก็เล่นเกมนี้มากว่าครึ่งปีแล้ว
เขาใช้เวลาอยู่ในหอคอยเวทย์แห่งนี้มากว่า 4 เดือนแล้ว
พูดให้ถูกที่แห่งนี้เหมือนจะกลายเป็นบ้านหลังใหม่ของเขาแล้ว
เขารู้สึกสงบเป็นอย่างมากเมื่อนั่งอยู่ในห้องวิจัยของเขา
หลังจากพักผ่อนอยู่ครู่หนึ่ง โรแลนด์ก็เริ่มพัฒนาเวทย์หุ่นเชิดต่อ
ในเมื่อเขาไม่สามารถเรียนเวทย์คลายการล่องหนได้ในตอนนี้ เขาเลยเลือกที่จะทําให้หุ่นเชิดของเขาสามารถคลายเวทย์ล่องหนได้
เขานั้นเริ่มทํามันทันที ทว่าหลังจากนั้นเขาก็ได้แต่เอามือไปเกยไว้กับโต๊ะ เขารู้สึกงุนงงเป็นอย่างมาก
แล้วอะไรคือหลักการของเวทย์ล่องหนกัน?
การสามารถล่องหน? หรือการบิดเบือนภาพ? เปลี่ยนร่างกายตัวเองให้โปร่งใสด้วยการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพ?
ฮืม..โรแลนด์ใช้ระบบกิลด์ติดต่อไปหาเพื่อนสนิทของเขาฮัสเซอเร็ตในทันที
โรแลนด์: หลักการของการล่องหนของโจรคืออะไรงั้นเหรอ?
ฮัสเซอเร็ต: ฉันจะไปรู้ได้ไง? ฉันก็แค่ใช้มันได้เท่านั้นเอง
โรแลนด์: นายควรเรียนรู้เกี่ยวกับมันหน่อยนะ
ฮัสเซอเร็ต: ออกไปซะ! นายกําลังมอบเวลาที่ยากลําบากให้แก่ฉัน
โรแลนด์: ถ้างั้น…นายมาหาฉันสิให้ฉันได้ศึกษานายหน่อย?
ฮัสเซอเร็ต: !!!
ลี่หลินะ !!
ชัค: (ตกตะลึง) โรแลนด์ นายเริ่มมีรสนิยมแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
โรแลนด์หมดคําพูดไปในทันที เขาทิ้งสติ๊กเกอร์หน้าผิดหวังเอาไว้ในแชทกิลด์และยอมแพ้ในความคิดในการสร้างหุ่นเวทย์ที่ต่อต้านเวทย์ล่องหนในตอนนี้
ทว่านี่ถือเป็นตัวเปิดจินตนาการของเขา ถ้าหากเขาไม่สามารถสร้างหุ่นเชิดที่ต่อต้านเวทย์ล่องหน เขาก็สามารถสร้างหุ่นประเภทสอดแนมก่อนก็ได้เช่นกัน
ลดขนาดตัว, เพิ่มระยะการรับรู้, เพิ่มความเร็ว และอื่นๆ
เมื่อคิดได้โรแลนด์เลยเริ่มที่จะมีแรงกระตุ้นอีกครั้ง
การสร้างหุ่นยนต์ขนาดใหญ่และหุ่นเชิดเป็นสิ่งที่อยู่ในสายเลือดของผู้ชายทุกคน
โรแลนด์อุทิศทั้งหัวใจของเขาไปกับการสร้างหุ่นเชิดตัวนี้
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เพราะข่าวในโลกนี้แพร่กระจายกันช้ามาก ดังนั้นมันเลยต้องใช้เวลากว่าสิบวันก่อนที่นายกของเมืองจอห์นจะได้ข่าวเกี่ยวกับชายชุดดําสังหารนายกของเมืองมอลลี่เบทเทล
แสงแดดจากภายนอกหน้าต่างนั้นอบอุ่นเป็นอย่างมาก ทว่าจอห์นกลับหนาวสั่นเล็กน้อย
จอห์นคนลูกซึ่งไปยังเมืองอื่นเมื่อสองวันก่อน เพื่อค้นหาบุตรีทองคําและกําลังจัดการกับสัมภาระของเขาอยู่นั้นรู้สึกมึนงงเล็กน้อย เมื่อพ่อของเขาเรียกให้เขาไปยังห้องทํางาน
“ลองอ่านมันดูสิ” กระดาษแผ่นหนึ่งถูกโยนไว้ตรงหน้าจอห์นคนลูก
หลังจากอ่านจบจอห์นคนลูกก็คิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “มันน่าจะเป็นฝีมือของบุตรทองคํา กลุ่มคนหลายสิบคนที่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญ กองกําลังขนาดนี้เจ้าเมืองธรรมดาไม่สามารถมีมันได้ ไม่เพียงแต่พวกเรา ขนาดราชวงค์ยังไม่สามารถทําได้ด้วยซ้ํา”
จอห์นคนพ่อพยักหน้า “แต่พวกเรานั้นได้แค่ประเมินหลักฐานเท่านั้น โดยไม่มีวิธีพิสูจน์ว่าพวกมันเป็นคนทํา ดังนั้นพวกเราจึงไม่มีวิธีเอาผิดพวกมันได้”
“บุตรทองคําพวกนี้เจ้าเล่ห์เสียจริง” จอห์นคนลูกพูดอย่างหงุดหงิด “กล้าจะทําเรื่องที่ร้ายแรงขนาดนี้แต่ก็ยังหาวิธีปกปิดความจริง ข้าควรเรียกพวกมันว่าขึ้นขลาดหรือควรบอกว่าพวกมันช่างกล้าหาญและมีไหวพริบดี”
จอห์นคนลูกสับสนกับเรื่องพวกนี้เล็กน้อย
“ไม่สําคัญว่าเมืองมอลลี่นั้นจะเล็กขนาดไหน ทว่าเบทเทลก็ยังถือว่าเป็นนายกอยู่ดี นี่มันหมายความบุตรทองคําไม่เห็นพวกเราอยู่ในฐานะขุนนางเลย” จอห์นคนพ่อตบโต๊ะอย่างแรก “ในสายตาของพวกมัน ไม่มีความแตกต่างเลยแม้แต่น้อยระหว่างสามัญชนและขุนนาง เหมือนกับว่า พวกเรานั้นแค่มีเงินมากกว่าและมีกองกําลังมากกว่า ในสายตาของพวกมันพวกเราอาจจะเป็นแค่กลุ่มผู้มีอิทธิพลเท่านั้น”
จอห์นคนลูกเมื่อได้ยินดังนั้นก็ตัวสั่นออกมาเล็กน้อย