หฤโหดโคตรนักเวทย์ (Mage are too Op) - ตอนที่ 30
ครึ่งชั่วโมงต่อมา พวกนักเลงก็จากไปทั้งน้ำตาพร้อมหน้าที่บวมฉ่ำและรอยฟกช้ำตามตัว ดูน่าเวทนาเป็นอย่างมาก
“เควสเสร็จสิ้น EXP +137 ชื่อเสียงในเมืองเรดเมาน์เทน +10”
“คุณถึงเลเวล 3 แล้ว คุณสมบัติของคุณเพิ่มขึ้น”
เมื่ออ่านการแจ้งเตือน โรแลนด์ก็รู้สึกสบายเป็นอย่างมากราวกับได้ยาวิเศษ สิ่งที่มีความสุขในชีวิตนี้คือได้คลายเครียดและได้ของตอบแทนมหาศาล
เบทต้ากล่าวว่า “ผมเลเวล 2 แล้ว ผมคิดว่าผมต้องล่าแมงมุมยักษ์ต่ออีกสัก 2-3 อาทิตย์เสียอีก แต่ว่าพวกนักเลงนั่นก็เข้ามาเสนอค่าประสบการณ์ให้พวกเราด้วยตัวเอง ถ้าพวกเขามาอีกสัก 2-3 ครั้ง ผมว่าพวกเราน่าจะขึ้นถึงเลเวล 5 ได้เร็วๆนี้”
เขาดูโลภเป็นอย่างมาก โรแลนด์ยิ้มออกมาและกล่าวว่า “ตอนนี้กว่าครึ่งเมืองเห็นเรากำราบพวกนักเลงไป แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกดีที่ได้เห็น ทว่าพวกเขาก็อาจจะคิดว่าเราเป็นพวกป่าเถื่อนได้ ถ้าเราทำแบบนั้นอีกก็มีโอกาสที่พวกเราจะเปลี่ยนจากนักล่ามังกรกลายเป็นมังกรเสียเอง
เบทต้าคิดอยู่ครู่หนึ่งและก็เห็นด้วยกับเขา “ก็เป็นไปได้นะครับ”
หลังจากนั้นพวกเขาก็เห็นเด็กๆยืนมองพวกเขาด้วยท่าทางเลื่อมใส
พวกนักเลงนั้นกล้าหาเรื่องภายในเมืองเรดเมาน์เทนเพราะว่าพวกเขานั้นเกี่ยวข้องกับนายก
ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงไม่กล้ายั่วยุพวกนั้น ถ้าเกิดฟอลเคิลไม่ได้อยู่ที่นี่ พวกนั้นจะยิ่งป่าเถื่อนกว่านี้อีก ทว่าเมื่อฟอลเคิลแก่ขึ้นเรื่อยๆ พวกนั้นก็เริ่มวางท่ามากขึ้นจากแต่ก่อน
หลังจากได้บทเรียนวันนี้ พวกนั้นคงเลิกกร่างไปสักพัก
เด็กส่วนมากนั้นมาจากครอบครัวที่ยากจนซึ่งเคยชินกับการถูกกลั่นแกล้ง บุคลิกของพวกเขาเลยได้รับผลกระทบจากความกลัว
พวกผู้ใหญ่ต่างก็ไม่กล้าทำอะไรหกคนนี้ ตามจริงแล้วเด็กๆของพวกเขาก็กลัวพวกเขาเองด้วยซ้ำ ทว่าโรแลนด์และเบทต้าแสดงให้พวกเขาเห็นว่ามีสิ่งอื่นที่สามารถทำได้นอกจากแค่นั่งกลัวและอดทน
เด็กๆนั้นเป็นนักเลียนแบบที่ยอดเยี่ยม เขามักจะทำตามสิ่งที่เป็นต้นแบบของเขาเสมอ
ตอนนี้เด็กๆต่างรวมตัวกันที่ทะเลสาบมากขึ้นเรื่อยๆ โดยส่วนใหญ่นั้นจะมาเรียนเพลงดาบพื้นฐานจากเบทต้า
บางคนก็หวังว่าจะได้เรียนเวทย์จากโรแลนด์…น่าเสียดายแม้ว่าโรแลนด์จะพยายามชี้นำพวกเขา แต่ไม่มีใครเลยที่สามารถสัมผัสถึงเวทมนตร์ได้
ท้ายที่สุดเด็กทั้งหมดจึงเรียนเพลงดาบของกองทัพจากเบทต้า
โรแลนด์รู้สึกดีใจที่เขารอดพ้นไปได้ จากนั้นเขาก็มุ่งเน้นความสนใจไปที่ความสามารถทางภาษาเวทย์ระดับสอง
จุดเวทย์นั้นหนาแน่นอย่างน่าตกใจ เนื่องจากเบทต้าสามารถใช้ความสามารถทางภาษาได้ โรแลนด์จึงลองปรึกษาเขาดู
ทว่าเบทต้าเพียงแค่โบกมือพร้อมพูดว่า “พ่อมดสายเลือดมังกรไม่จำเป็นต้องใช้ประสบการณ์ใดๆเลย สิ่งที่พวกเราต้องทำก็แค่เรียกชื่อของสกิลเพื่อใช้มัน ดังนั้นผมไม่สามารถสอนอะไรพี่ได้”
ท้ายที่สุด โรแลนด์จึงตัดสินใจที่จะฝึกด้วยตัวเอง
วันเวลาผ่านไป ในทุกๆวันโรแลนด์ใช้เวลาระหว่างวันของเขาไปกับสโมสรมวยและใช้เวลากลางคืนเพื่อเข้าเกม
ตอนนี้ชีวิตของเขาก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง เขาสุขภาพดีกว่าแต่ก่อน ทว่าเขากลับรู้สึกตัวเองหายใจถี่ขึ้นในชีวิตจริง
มันไม่ใช่ความรู้สึกทางกาย ทว่าเป็นความรู้สึกทางใจ
เขาเหมือนรู้สึกว่าในอากาศมีบางอย่างขาดหายไป
ทว่ามันก็ไม่ใช่ว่ารู้สึกอย่างรุนแรงหรือเป็นบ่อยนัก ดังนั้นเขาจึงเลือกที่ปล่อยผ่านมันไป เขาคิดว่าบางทีอาจเป็นเพราะคุณภาพอากาศในชีวิตจริงนั้นแย่กว่าในเกมเป็นอย่างมาก
ครึ่งเดือนผ่านไปราวกับกระพริบตา ในช่วงนี้โรแลนด์และเบทต้าแต่ละคนล่าแมงมุมเกิน 60 ตัวไปแล้ว ทว่ามันก็ยังคงเหลืออีกเยอะ
เป็นเพราะป่าเมเปิลมีขนาดใหญ่เกินไป หลังจากกวาดล้างแมงมุมที่นี่แล้วแมงมุมที่อยู่อีกด้านหนึ่งของสันเขาก็จะย้ายเข้ามา
มันไม่แย่นักที่มีแมงมุมเข้ามาไม่หยุดหย่อนเพื่อนำมันเป็นเนื้อสำหรับเด็กๆ แต่ว่าโรแลนด์ก็ยังขมวดคิ้วออกมาอยู่ดี”
วันใดวันหนึ่งเขาและเบทต้าก็ต้องจากเมืองนี้ไป และที่นี่ก็ยังคงอยู่ใต้การคุกคามของแมงมุมอยู่ดี แล้วพวกชาบบ้านจะจัดการกับพวกมันยังไง?
ถัดจากทะเลสาบ จะเห็นเบทต้ากำลังเล่นกับเด็กๆ เด็กบางคนนั้นมีพรสวรรค์สามารถเรียนรู้ท่าเคลื่อนไหวพื้นฐานได้ และเบทต้าก็ได้เข้าไปร่วมซ้อมกับพวกเขา
แน่นอนไม่สามารถการซ้อมแบบตัวต่อตัว เบทต้าต้องรับมือกับเด็กห้าคนพร้อมๆกัน
ชายหนุ่มผมทองและหน้าตาดีแบบฉบับขุนนางยืนอยู่ตรงกลางและรับมือกับแท่งไม้ที่โจมตีเข้ามา การโจมตีของพวกเด็กๆนั้นค่อนข้างรุนแรง ผู้ใหญ่ทั่วไปไม่อาจสามารถรับมือกับทีมเวิร์คของพวกเขาได้ แต่เบทต้ากับรับการโจมตีของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
แม้แต่การโจมตีที่เล็กไปที่หลังของเขา เขาก็สามารถหลบได้โดยง่าย
การฝึกแบบนี้มีประโยชน์เหรอ? แน่นอน! โรแลนด์สามารถบอกได้ทันทีว่าเบทต้า นั้นวาดดาบได้รวดเร็วและมั่นคงขึ้น
ในขณะที่เบทต้ากำลังก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ โรแลนด์กลับติดขัดเกี่ยวกับการวิจัยเวทย์ของเขา
ความสามารถทางภาษานั้นซับซ้อนยิ่งกว่าที่เขาคิดไว้เยอะ มันมีจุดเวทย์ถึง 372 จุด
โครงสร้างทางคณิตมันใหญ่เกินกว่าที่เขาจะสามารถบันทึกมันได้
โรแลนด์ค่อนข้างหดหู่กับความคืบหน้าที่ช้าของตัวเอง
เขานั่งอยู่ตรงราวสะพานมองเบทต้าฝึกฝนอยู่กับเด็กๆ
เสาควันพุ่งขึ้นในขณะที่พระอาทิตย์กำลังตกดิบ เสียงกบร้องและเสียงใบไม้ดังขึ้นมาในโสตประสาทของเขา
โรแลนด์สูดหายใจเข้าลึก
ชีวิตที่นี่ดูทั้งสงบสุขและสวยงามมาก เขาไม่ควรจะมัวแต่หดหู่
เขากำลังจะลองพยายามอีกครั้ง ทว่ากลับมีเสียงระฆังดังขขึ้นมาจากทางโบสถ์ของเทพธิดาแห่งชีวิต
มันดังสะท้อนเข้าไปในใจของทุกคนสามครั้ง
ชาวบ้านทั้งหมดต่างปล่อยเรื่องงานทิ้วไว้พร้อมเดินขึ้นเขาไปอย่างเงียบๆ
เด็กๆต่างก็เงียบลงเช่นกัน พวกเขามองไปยังโบสถ์ที่อยู่ห่างออกไปอย่างพร้อมเพรียง ราวกับพวกเขากำลังสูญเสียบางอย่าง
เบทต้ารู้สึกมึนงง เขาหันไปถามโรแลนด์ว่า “เกิดอะไรขึ้นครับพี่? มีการเรียกรวมตัวฉุกเฉินเหรอครับ?”
โรแลนด์ก็เดาไม่ออกเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น เขาปิดตาพร้อมกับส่ายหัว
ขณะนั้นเอง เด็กทีกำลังยืนมองไปที่เท้าของตัวเองด้วยความหงุดหงิดก็พูดออกมา “ทุกๆครั้งที่เสียงระฆังดังขึ้นสองครั้ง หมายความว่าใครสักคนในเมืองจะถูกฝังไว้ที่หลังภูเขา”
เบทต้าถามออกมาด้วยท่าทีตกใจว่า “แล้วสามครั้งล่ะ?”
“ผมไม่รู้” เด็กน้อยตอบออกมาเสียงเบา
เด็กทั้งหมดล้วนไม่รู้แต่ชาวบ้านทั้งหมดรู้
ชาวบ้านเกือบทั้งหมดกำลังเดินไปที่วัด โรแลนด์อ้าปากเล็กน้อยและพูดเสียงแหบว่า “ฉันจะไปดูสักหน่อยนะ”