หฤโหดโคตรนักเวทย์ (Mage are too Op) - ตอนที่ 84
พวกเขาทั้งสี่มาถึงโรงเตี๊ยมเกรย์แซนด์และไม่นานนักเบทต้าก็ตามมาทีหลัง
โรงเตี๊ยมเกรย์แซนด์ในตอนเช้านั้นค่อนข้างโล่งและเงียบมาก
พวกเขาทั้งห้านั่งรอบโต๊ะไม้ทรงกลมสีดำและเริ่มแนะนำตัวซึ่งกันและกัน จากนั้นโรแลนด์พูดว่า “เกมนี้ต่างจากเกมอื่นๆที่พวกเราเคยเล่น ดังนั้นพวกเราไม่สามารถใช้ประสบการณ์ในอดีตมาเป็นตัวตัดสินได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามพวกเราก็สามารถลองใช้รูปแบบการจัดทีมแบบคลาสสิกดูก่อนก็ได้ เพราะยังไงก็ไม่มีใครสักคนในพวกเราที่เคยมีประสบการณ์ในการลงดันเจี้ยนในเกมนี้มาก่อน”
เขาหันไปมองเจ็ทและพูดว่า “นายอาจจะมีความสามารถในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งก็จริง แต่อย่าพุ่งเข้าไปต่อสู้ในทันทีเมื่อพวกเราอยู่ในดันเจี้ยน แค่ตามพวกเราและคอยสังเกตุโดยรอบ พยายามเก็บความแข็งแกร่งของนายไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และคอยช่วยสนับสนุนพวกเราในสถานการณ์ที่สำคัญเท่านั้น”
เจ็ทพยักหน้า “ได้ ผมจะทำตามที่คุณพูด”
โรแลนด์หันไปมองฮอว์กและลิงค์ “พวกนายเป็นนักรบทั้งคู่ หน้าที่แท้งค์และการทำดาเมจคงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกนาย แต่มันน่าจะดีกว่าหากพวกนายแยกกัน โดยให้คนหนึ่งอยู่แนวหน้า คนหนึ่งอยู่หลัง“
ฮอว์กพูดตอบรับว่า “เดี๋ยวฉันยืนแนวหน้าเอง พอดีฉันพึ่งเรียนสกิลโล่แบบพิเศษมาพอดีเลย”
ลิงค์หัวเราะและพูดว่า “ส่วนฉันเป็นนักดาบฉันยอด เดี๋ยวฉันจะอยู่แนวหลังให้เอง“
โรแลนด์มองไปที่เบทต้าและพูดว่า “ส่วนนายเป็นอาชีพผสม พี่จะไม่จำกัดตำแหน่งนาย ดังนั้นนายก็เคลื่อนไหวตามแต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นละกัน”
เบทต้าพยักหน้า
โรแลนด์มองไปรอบ ๆ กลุ่มและพูดว่า “ตอนนี้เรากำลังคุยกันในเชิงทฤษฎีอยู่ แต่สิ่งที่พวกเราต้องทำจริงๆนั้นก็มีเพียงแค่ต้องลองเข้าไปในดันเจี้ยนสักครั้ง ก่อนที่พวกเราจะได้รู้ว่าสิ่งที่พวกเราต้องทำจริงๆนั้นคืออะไรกันแน่ NPC ในเกมนี้นั้นโคตรฉลาด ดังนั้นฉันคิดว่าการเคลื่อนไหวและคอยสำรวจอย่างช้าๆแบบเกมอื่นนั้นไม่สามารถใช้ได้ในเกมนี้”
ทุกคนรู้สึกเห็นด้วยคำพูดกับโรแลนด์
เจ็ทพูดออกมาอย่างเท่ห์ๆว่า “คุณเป็นนักเวทย์ คุณน่าจะฉลาดมากที่สุดในหมู่พวกเราแล้ว ดังนั้นคุณน่าจะเป็นคนสั่งการไปก่อน”
ความหมายของเขาค่อนข้างชัดเจน โดยการให้โรแลนด์เป็นคนสั่งการคนแรกและหากโรแลนด์ออกคำสั่งได้ไม่ดี ก็ให้คนอื่นเป็นคนสั่งการแทน
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถ้าหากคนแรกใช้การไม่ได้ จากนั้นก็ให้อีกคนมาแทนที่ มันเป็นเรื่องธรรมดามากภายในเกม และจริงๆแล้วโรแลนด์นั้นไม่ได้อยากออกคำสั่งกับคนอื่นนอกเหนือจากคนใน F6 นัก เพราะสมาชิกของ F6 ทุกคนนั้นต่างเชื่อใจกันและกันมากกว่า ถึงแม้ว่าหนึ่งในพวกเขานั้นจะทำอะไรพลาดไป คนอื่นๆก็จะเข้ามาปลอบและช่วยให้กำลังใจแทนที่จะโมโห
เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าคนนอกนั้นจะเป็นยังไง หากไม่สนิทกันใครกันจะสามารถยอมรับข้อผิดพลาดของคนอื่นได้
ในขณะที่พวกเขากำลังพูดกันอยู่ อาหารก็ถูกนำมาเสิร์ฟ
ขนมปังน้ำผึ้ง , เนื้อแกะต้มที่ส่งกลิ่นหอม , ผักสลัดสดๆ … และไวน์ผลไม้
มันไม่คุ้นชินกับลิ้นของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ทว่ามันก็ช่วยไม่ได้พวกเขาทำได้แค่ทนกินมัน
ในขณะเดียวกันภายในคฤหาสน์บาร์ดก็ตื่นขึ้นมา ภายใต้การดูแลของพวกสาวใช้ภายในปราสาท เขาเริ่มอาบน้ำ แต่งตัว และจากนั้นก็ลงไปยังโถงกลาง
มีหลายคนมานั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารขนาดยาวเรียบร้อยแล้ว พรรคพวกของพวกเขาล้วนแล้วแต่อยู่ที่นี่ครบหมด และแต่ละคนก็ดูค่อนข้างที่จะดูล้าๆ มันสามารถบอกได้เลยว่าพวกเขานั้นได้กิน ‘อาหาร’ เป็นจำนวนมากจากเมื่อคืนแน่ๆ
เมื่อขุนนางจัดงานเลี้ยงพวกเขาก็ต่างที่จะปราถนาสิ่งนั้นกัน
จอห์นนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะมีสตรีชั้นสูงและเด็กสาวนั่งข้างๆเขา
เขานั้นจำสองคนนี้ได้ดูเหมือนจะเป็นแม่และน้องสาวของจอห์น พวกเธอค่อนข้างดูดีเลยทีเดียว
ในงานเลี้ยงเมื่อคืนที่ผ่านมาทั้งสองคนไม่มาปรากฏตัว โดยทั่วไปแล้วในงานเลี้ยงที่วุ่นวายแบบนั้น สมาชิกที่เป็นผู้หญิงของครอบครัวเจ้าภาพงานเลี้ยงนั้นมักจะไม่ปรากฎตัวออกมา
หลังจากบาร์ดกล่าวอรุณสวัสดิ์กับทั้งสามคนแล้วเขาก็นั่งลงและกินอาหารเช้า
เมื่อเทียบกับอาหารเช้าของพวกโรแลนด์แล้วนั้น สไตล์ของอาหารก็ดูคล้ายๆกันทว่าต่างกันที่ทางนี้มีนมสดและเค้กที่หรูหรา
ถึงแม้ว่ามันจะดูเป็นแค่ของง่ายๆ ทว่าสิ่งที่คนสิบกว่าคนนั้นกินอยู่ในหนึ่งมื้อนั้นมีมูลค่าพอๆกันค่ากินอยู่ของสามัญชนนับร้อยเป็นเวลาสิบวัน สำหรับสามัญชนส่วนใหญ่พวกเขานั้นค่อนข้างพอใจกับสิ่งที่มีอยู่เพียงแค่เติมเต็มท้องที่หิวโหยด้วยขนมปังโง่ๆก็เพียงพอแล้ว
หลังอาหารเช้าบาร์ดก็บอกว่าเขากำลังจะไปเดินเล่นในเมืองดังนั้นเขาจึงออกจากปราสาทไปพร้อมกับพรรคพวกของเขาทันที
พวกเขานับสิบคนเดินเอ้อระเหยอยู่บนถนน และไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ไหน พวกผู้คนในท้องถนนก็ต่างหลีกทางให้พวกเขาทั้งหมด พวกเขานั้นราวกับทรราชผู้ชั่วร้าย
หลังจากเดินไปได้สักพักพวกเขาต่างก็แยกย้ายกันไปหาความสำราญให้ตัวเอง
ในขณะเดียวกันที่บาร์ดและนักเวทย์ขุนนางหนุ่มเดินไปที่โรงเตี๊ยมเพื่อจองห้องสำหรับพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว
“เมื่อคืนจอห์นเล่าสิ่งที่น่าสนใจให้ข้าฟัง”
บาร์ดบอกกับชายหนุ่มตรงข้ามถึงสิ่งที่เขาได้ยินเมื่อคืนก่อนแล้วพูดว่า “คุณคิดว่าสิ่งที่จอห์นพูดเป็นความจริงมากแค่ไหน?”
“มันเป็นความจริงทั้งหมดนั่นแหละ เจ้านั่นไม่มีเหตุผลที่ต้องโกหกเราเลยแม้แต่น้อยเพราะถึงอย่างไรเรื่องพวกนี้ก็สามารถตรวจสอบได้ไม่ยาก” ชายหนุ่มแสยะยิ้มออกมา “ทว่าเจตนาของเขานั้นไม่บริสุทธิ์ ดูเหมือนเขาต้องการให้พวกเราปะทะกับโรแลนด์และบุตรทองคำคนอื่นๆ นี่ค่อนข้างน่าสนใจใช้ได้ ในเมืองหลวงนั้นกดดันมากกว่านี้นับสิบเท่า และพวกเราก็อาศัยอย่างหยิ่งยโสมาโดยตลอด เจ้านั่นคิดว่าพวกเรานั่นโง่ๆจริงๆงั้นหรือ?”
“แล้วคุณคิดว่าอย่างไรล่ะ?” บาร์ดเอนกายบนเก้าอี้จิบไวน์แล้วถามว่า “คุณจะจัดการกับโรแลนด์ยังไงงั้นเหรอ?”
“ปล่อยให้มันหยิ่งผยองต่อไปอีกสักหน่อย เพราะพวกเรานั้นเป็นบุตรของขุนนางตระกูลใหญ่ทั้งยังเป็นคนจากสำนักงานใหญ่อีกด้วย พวกเราไม่จำเป็นต้องลดตัวไปยุ่งกับมัน” ชายหนุ่มหัวเราะออกมาอย่างเจ้าเล่ห์และพูดว่า “ทว่าจำไว้ พวกเราจะสู้โดยไม่มีการสูญเสีย พวกเราสามารถมีความสัมพันธ์ที่เลวร้ายได้ ทว่าพวกเราไม่สามารถเป็นศัตรูกับสิ่งที่เป็นอมตะได้ ข้าสงสัยว่าทำไมจอห์นถึงพยายามสร้างหลุมพลางให้พวกเราขัดแย้งกับพวกบุตรทองคำ ข้าคิดว่าเจ้านั่นน่าจะได้อะไรสักอย่างแน่ๆ”
บาร์ดยิ้มเยาะออกมา “ข้าก็คิดแบบนั้นเช่นกัน”
ในตอนนั้นเอง กลุ่มปาร์ตี้ของโรแลนด์ก็เริ่มออกเดินทางกันแล้ว
เบทต้าแชร์ภารกิจของเขาให้กับคนอื่นๆจากนั้นพวกเขาทั้งห้าก็เดินไปตามทางของภารกิจและออกจากเมืองไป พวกเขาตรงไปทางเหนือของชนบท เดินผ่านภูเขาอยู่หลายลูก และจัดการกับอุปสรรคที่พบเจออยู่ระหว่างทาง และเข้าไปยังหุบเข้าซึ่งมีภูเขามากมายอยู่ล้อมรอบ ในที่สุดพวกเขาก็พบเข้ากับสุสาน
ทางเข้านั้นเต็มไปด้วยวัชพืชหนาแน่น
หากไม่ใช่เพราะระบบแจ้งเตือนพวกเขาคงไม่เชื่อว่าสถานที่แห่งนี้เป็นทางเข้า
ถึงอย่างนั้นฮอร์กและลิงค์ก็ใช้เวลาเกือบสิบนาทีในการกำจัดวัชพืชที่อยู่หน้าทางเข้าด้วยดาบยาวของพวกเขา
ทางที่มืดมิดที่ลึกเข้าไปนั้นในได้ปรากฎตัวอยู่ต่อหน้าพวกเขาทั้งห้าคนแล้ว
พวกเขามองหน้ากันก่อนจะเริ่มจัดเรียงแถวตามแผนที่วางไว้ ฮอร์กนั้นนำอยู่ข้างหน้าพร้อมโล่ในมือ เบทต้านั้นอยู่เป็นลำดับที่สอง ตามด้วยเจ็ทและโรแลนด์ที่อยู่ในลำดับที่สาม และสุดท้ายก็คือลิงค์
ทันทีที่พวกเขาทั้งห้าเข้าไปในถ้ำ พวกเขาก็หยุดเดินทันที
พวกเขาทั้งหมดได้รับการแจ้งเตือนจากระบบพร้อมกัน: ตรวจพบภารกิจประเภทดันเจี้ยน คุณต้องการปลดล็อคดันเจี้ยนหรือไม่?
พวกเขามองหน้ากันแล้วกดยืนยันทันที
หลังจากที่พวกเขายืนยันไปเรียบร้อยแล้วนั้น สภาพโดยรอบก็บิดเบี้ยวไปในทันที ดวงอาทิตย์ตกลงมา และพระจันทร์ก็ลอยขึ้นมา โดยมีหมู่ดาวส่องแสงอยู่โดยรอบ
กลางวันและกลางคืนสลับสับเปลี่ยนกันในพริบตา
“สถานการณ์แบบบังคับสภาพแวดล้อม?”
โรแลนด์พึมพำกับตัวเอง
ฮอว์กหยิบคบเพลิงออกมาจากกระเป๋ามิติของเขาและกำลังจะจุดไฟ แต่โรแลนด์นั้นรวดเร็วกว่าเขาหนึ่งก้าว บอลแสงทั้งสี่ปรากฎขึ้นมาภายในอากาศทันทีและลอยรอบพวกเขาไว้ มันสว่างไสวไปทั่วทั้งอาณาบริเวณ
“โคตรสะดวก” ฮอร์กเก็บคบเพลิงของเขาก่อนจะอุทานออกมาอย่างชื่นชมจากนั้นก็หันไปถามเจ็ทว่า “นักบวชทำแบบนั้นได้ไหม?”
“การส่องแสงนั้นเป็นเวทย์ระดับพื้นฐานที่สุด และไร้ซึ่งพลังโจมตี” เจ็ทยักไหล่ “คุณค่าเพียงเท่านี้ของมันทำให้มันถูกละเลยโดยสิ้นเชิง นักบวชนั้นมีช่องเวทย์ที่จำกัด ดังนั้นจึงมีเพียงแค่นักเวทย์ที่ซึ่งสามารถเรียนเวทย์ได้ไม่จำกัดถึงสามารถทำอะไรแบบนี้ได้
เบทต้าขัดจังหวะของพวกเขาทันที “ผมคิดว่าคงมีแค่ไม่กี่คนในหมู่นักเวทย์เท่านั้นแหละที่จะเรียนมัน พวกเขาไม่เหมือนพ่อมดหรือนักบวชอย่างพวกเรา ที่สามารถเรียนเวทย์ได้ด้วยการเลื่อนระดับ พวกเขานั้นจำเป็นต้องวิเคราะห์รูปแบบของจุดเวทย์ด้วยตัวเอง มันค่อนข้างเสียเวลาเลยทีเดียว อย่างกรณีของพี่โรแลนด์นั้นนับเป็นกรณีพิเศษ”
“ตอนนี้นั้นมีนักเวทย์น้อยลงและน้อยลงเรื่อยๆ” ฮอร์กถอนหายใจออกมา “นักเวทย์เกือบครึ่งในกิลด์ของฉันนั้นลบตัวละครของพวกเขาและเริ่มเล่นใหม่เรียบร้อยแล้ว แต่ยังมีอีกหลายคนยังพยายามอดทนอยู่ พวกเขาบอกว่าอาชีพนี้น่าเบื่อเกินไป ต้องคอยนั่งคำนวนข้อมูลและทำการทดลองอย่างต่อเนื่องในทุกๆวัน ฉันบอกได้เลยว่าผู้พัฒนาเกมน่าจะสร้างเงื่อนไขนี้ขึ้นมาเพื่อจำกัดจำนวนของผู้เล่นนักเวทย์แน่ๆ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โรแลนด์ก็รู้สึกผิดหัวง เขาส่งบอลแสงไปรอบๆถ้ำและพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “เราเข้าไปในดันเจี้ยนกันก่อนเถอะและค่อยพูดเรื่องอื่นกันทีหลัง”
ฮอร์กพยักหน้า จากนั้นก็หยิบดาบยาวและโล่ออกมาจากกระเป๋ามิติ และจากนั้นก็เดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง