หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 19 ผู้มาเยือนที่ไม่คาดคิด
สีหน้าของมู่เชินพลันเปลี่ยนไป “พระสนมโหรวเฟยอยู่ในวังยังไม่ถึงห้าปีเลยด้วยซ้ำ…”
“พระสนมโหรวเฟยอยู่ในวังตั้งห้าปีแล้ว และปีนี้นางก็เพิ่งจะอายุยี่สิบปี มันอาจจะดูเร็วเกินไป แต่…ข้าก็หวังว่าพี่หญิงจะให้กำเนิดพระโอรสให้กับฮ่องเต้ได้ในเร็ววัน เช่นนี้คงจะดีไม่น้อย” มู่ชิงอีกล่าวด้วยรอยยิ้มและสีหน้าที่จริงใจ
“น้องหญิงสี่พูดจริงหรือ” มู่เชินมองมู่ชิงอีอย่างสงสัย แม้เขาจะดูน้องสาวคนนี้ไม่ค่อยออกสักเท่าไร แต่ก็พอจะดูออกว่ามู่ชิงอีรู้สึกอย่างไรกับพวกคนแซ่ซุน อีกทั้งนางยังไม่ชอบหน้าอย่างมากอีกด้วย คนอย่างนางน่ะหรือจะอยากให้มู่เฟยหลวนตั้งครรภ์?
มู่ชิงอีพยักหน้า กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “จริงเจ้าค่ะ แต่เรื่องเช่นนี้…เพียงแค่ขอกันก็คงไม่ได้กระมัง หากพี่ใหญ่ตั้งใจที่จะแบ่งเบาความทุกข์ความกังวลของท่านพ่อจริง ก็ควรบอกท่านพ่อเกี่ยวกับท่าทีของหนิงอ๋องที่มีต่อมู่อวิ๋นหรง แม้ว่าพระชายาของผิงหนานจวิ้นอ๋องกับท่านพ่อจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่ก็ยังมีการแบ่งแยกชนชั้น หากอวิ๋นหรงแต่งเข้าไปก็จะไม่เป็นที่โปรดปรานของหนิงอ๋องเอาได้ และเกรงว่าจะส่งผลต่อตำแหน่งและอิทธิพลของท่านพ่อต่อกงอ๋องได้”
“เรื่องเช่นนี้…” มู่เชินลังเลเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านี่มุ่งเป้าไปที่มู่อวิ๋นหรง มู่เชินจึงสงสัยว่าทำเช่นนี้แล้วจะมีผลดีกับตัวเขาเองหรือไม่
มู่ชิงอิพลันลุกขึ้นยืนและพูดอย่างเย็นชาว่า “อายุของพี่ใหญ่ก็ยี่สิบกว่าปีแล้ว หากไม่ช่วยแบ่งเบาความทุกข์ของท่านพ่อ ท่านพ่อจะรับรู้ได้เช่นไรว่าพี่ใหญ่หรือพี่รองที่เก่งกาจกว่ากัน พี่ใหญ่เองก็ทำเพื่ออนาคตของจวนซู่เฉิงโหวไม่ใช่หรือ มู่ชิงอีรู้สึกเหนื่อยล้าแล้ว ขอตัวพักผ่อนก่อนนะเจ้าคะ”
เขามองเงาของมู่ชิงอีที่เดินจากไป มู่เชินจ้องมองน้ำชาที่วางอยู่ตรงหน้าอย่างเงียบงัน
ภายในห้องของมู่ชิงอี หลังจากที่สั่งให้จูเอ๋อร์ไปพักผ่อนเรียบร้อยแล้วก็เดินมานั่งลงที่โต๊ะ ยกมือขึ้นนวดขมับด้วยท่าทางอ่อนเพลีย นึกถึงสถานการณ์ตอนนี้ของพี่ใหญ่ของนางก็ยิ่งทำให้รู้สึกกังวลใจมากขึ้น แต่ยังนับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่พี่ใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ บนโลกนี้จะมีเรื่องใดที่ดีกว่าเรื่องนี้อีกเล่า
“แค่ก แค่ก…”
เสียงดังขึ้นมาจากฉากกั้นด้านหลัง มู่ชิงอีสะดุ้งโหยง รีบลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยถาม “ใครกัน” มู่ชิงอีเข้ามาในห้องตั้งนานแล้ว แต่นางก็ไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีใครอยู่ที่หลังฉากกั้น หากมีใครประสงค์ร้าย ต่อให้มีเก้าชีวิตก็คงถูกใช้จนหมดเสียแล้ว เมื่อคิดได้เช่นนี้ ในใจของนางก็พลันสงบลง ค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าผ่านฉากกั้นภาพวาดทิวทัศน์ที่ใหญ่กว่าตัวนางถึงหกเท่า เห็นชายชุดดำนอนอยู่บนเตียงของนาง เขาเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นมู่ชิงอีเดินเข้ามาก็หน้านิ่วคิ้วขมวด
เป็นชายหนุ่มรูปงาม แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่สามารถทำให้หัวใจของมู่ชิงอีสั่นไหวได้ นางเกิดมาในตระกูลที่มีชื่อเสียงจึงได้พบเจอชายหนุ่มรูปงามที่มีความสามารถมากมาย แม้แต่มู่หรงอานที่นางเกลียดชังก็ยังมีใบหน้าที่หล่อเหลา ทว่ารูปโฉมของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านางนั้นหล่อเหลายิ่งนั้น เต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ น่าหลงใหลยิ่งกว่าชายใดที่นางเคยพบเจอ ชายผู้นี้มีใบหน้างดงามที่แม้แต่สตรีก็อดอิจฉาไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้นางหวั่นไหวแม้แต่อย่างใด กลับทำให้มู่ชิงอีรู้สึกว่ากำลังจะมีภัยคุกคามเข้ามา ครั้นสบสายตาที่เย็นชาคู่นั้น มู่ชิงอีก็ผงะไปชั่วครู่ ก่อนจะค่อยๆ ละสายตาไปทางอื่น ชายชุดดำที่นอนอยู่บนเตียง ใบหน้าหล่อเหลานั้นเต็มไปด้วยความอ่อนเพลีย แต่ก็แฝงไว้ด้วยความน่ากลัวที่เปรียบเหมือนลูกศรแหลมคมที่พร้อมจะแผลงใส่ผู้คนได้ทุกเวลา
“เข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย” มู่ชิงอีขมวดคิ้ว พูดเอ่ยเสียงเบา
ชายชุดดำลุกขึ้นนั่ง ยิ้มแล้วกล่าวว่า “นี่คงเป็นคุณหนูสี่แห่งจวนซู่เฉิงโหว…ต่างจากที่เขาเลื่องลือยิ่งนัก” เสียงทุ้มของชายผู้นั้นช่างอ่อนหวาน อ่อนโยนและสุภาพยิ่งนัก แต่มู่ชิงอีกลับสัมผัสได้ถึงความเยือกเย็นออกมาจากเสียงนั้น
“ข่าวลือไม่สามารถเชื่อถือได้ คุณชายอาจจะถูกข่าวลือลวงหลอกเข้าแล้ว” มู่ชิงอีกกล่าวด้วยรอยยิ้มแผ่วเบา ในใจของนางก็เริ่มคาดเดาตัวตนที่แท้จริงของชายตรงหน้า ชายผู้นี้ไม่ได้เป็นคนที่อยู่ในเมืองหลวงอย่างแน่นอน และอาจจะไม่ใช่คนแคว้นหวา นางเองก็อาศัยอยู่ในเมืองหลวงมานานกว่าสิบปี หากมีชายหนุ่มรูปงามโดดเด่นเช่นนี้จะไม่รู้ได้อย่างไร เมื่อสบสายตาที่เยือกเย็นของชายชุดดำผู้นี้ ก็ทำให้หัวใจของมู่ชิงอีเต้นแรง เอ่ยถาม “คุณชายมีนามว่าอันใดหรือเจ้าคะ มาถึงจวนซู่เฉิงโหวเช่นนี้ ไม่ทราบว่าต้องการมาชี้แนะสิ่งใด”
เมื่อเห็นสีหน้าของมู่ชิงอีแล้ว ชายชุดดำกลับไม่สนใจ เลิกคิ้วสูงแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนคุณหนูสี่จะเป็นเพียงคนเดียวในโลก ที่ไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าเจ้า”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วขึ้นเช่นกัน “คุณชายมาเยือนถึงแคว้นหวา ช้าหรือเร็วก็ต้องเจอ จะฆ่าผู้อื่นด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ได้อย่างไร หรือว่าคุณชายมาที่แคว้นหวาเพียงลำพัง?”
ชายชุดดำเอนตัวลงนอน สีหน้าครุ่นคิดพลางมองไปยังหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างสนใจ “ดูเหมือนว่าคุณหนูสี่จะเดาถูกว่าข้าเป็นใคร”
มู่ชิงอีส่ายหัวแล้วพูดว่า “ก็อาจจะเดาไม่ถูกหรอกเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าคุณชายคือคุณชาย…?”
“เก้า” ชายชุดดำพูดอย่างเปิดเผย
มู่ชิงอีถอนหายใจเบาๆ ทีท่าสงบนิ่งดั่งผิวน้ำ
องค์ชายเก้าแห่งแคว้นเย่ว์ หรงจิ่น เนื่องจากเขาอ่อนแอและป่วยหนักจึงอยู่แต่ภายในวังตลอดทั้งปี ไม่ค่อยได้พบเจอผู้คน ไม่มีใครรู้ถึงเรื่องส่วนตัวและความสามารถของเขา เพียงแต่กล่าวขานกันว่าเป็นองค์ชายที่มีรูปโฉมงดงามเป็นอันดับหนึ่งของแคว้นเย่ว์
ไม่คาดคิดเลยว่า ครั้งนี้องค์ฮ่องเต้แห่งแคว้นเย่ว์จะส่งหรงจิ่นมาร่วมงานวันคล้ายวันพระราชสมภพขององค์ฮ่องเต้แคว้นหวา และก็คาดไม่ถึงเลยว่าหรงจิ่นจะมาหาคนที่ถูกคนทั่วเมืองหลวงหลงลืมอย่างนาง
“ไม่ทราบว่าองค์ชายเก้าทรงมาที่นี่ มีเรื่องอันใดที่ต้องการชี้แนะหม่อมฉันหรือเพคะ” มู่ชิงอีเอ่ยถาม
“ไม่มี ข้าเพียงแค่มาหาที่นอน” หรงจิ่นพูดอย่างเฉยเมย ราวกับว่าการที่เข้ามานอนในห้องส่วนตัวของหญิงสาวนั้นเป็นเรื่องที่ธรรมดายิ่งนัก
มู่ชิงอีหน้าตึง กัดฟันพูดว่า “ถ้าเป็นเยี่ยงนั้น ก็เชิญองค์ชายเก้าขยับออกไป”
หรงจิ่นพิงเสาเตียง มองหน้านางแล้วกล่าวว่า “ถ้าคุณหนูสี่ไม่พอใจ ก็ไปเรียกคนให้นำข้าออกไปก็ได้”
มู่ชิงอีคิดว่านางจะระงับอารมณ์ของตัวเองลงได้แล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับองค์ชายผู้มีรูปโฉมอันงดงามแห่งแคว้นเย่ว์แล้ว กลับพบว่าตัวเองยังระงับอารมณ์ได้ไม่ดีพอ หรงจิ่นมั่นใจว่านางไม่กล้าเรียกคนให้เข้ามาในห้องของนางหรอก เพราะหากนางเรียกมาจริง หรงจิ่นผู้ซึ่งเป็นองค์ชายจากแคว้นอื่น โผล่เข้ามาในห้องของนางเช่นนี้นั้นเป็นเรื่องที่ไม่สมควร และยิ่งไปกว่านั้นจะส่งผลต่อชื่อเสียงของนางอีกด้วย
เมื่อมองไปที่หรงจิ่นที่ค่อยๆ หลับตาลงพักผ่อน มู่ชิงอีก็กัดริมฝีปากแล้วหันหลังเดินออกไป
องค์ชายที่หลับตาอยู่เงยหน้าขึ้นมองไปยังแผ่นหลังของมู่ชิงอีที่เดินจากไป แล้วหลับตาลงอีกครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นฉุนที่ลอยเข้ามาจากด้านนอก หรงจิ่นลืมตาขึ้นอย่างระแวดระวัง ยกมือขึ้นปิดปากกั้นเสียงไอของตัวเองที่กำลังจะไอออกมา รู้สึกเจ็บหน้าอกเบาๆ
หรงจิ่นลุกขึ้นจากเตียง เดินไปด้านนอกของฉากกั้น ก็ได้เห็นหญิงสาวชุดขาวกำลังเอนกายพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้พร้อมหนังสือที่อยู่ในมือท่าทางเพลิดเพลิน ควันจางๆ ลอยขึ้นมาจากกระถาง มันเป็นเครื่องหอมที่หญิงสาวหลายคนโปรดปราน แต่กลิ่นเครื่องหอมของมู่ชิงอีอาจจะไม่ดีเท่าไรนักจึงมีกลิ่นฉุน กระทั่งทำให้หรงจิ่นไม่สามารถอดกลั้นต่อกลิ่นนั้นได้