หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 23 ญาติผู้พี่ผิงอ๋อง
“เชิญทุกคนตามสบาย ข้าขอตัวก่อน” จูหมิงเยียนยืนขึ้นและพูดกับทุกคนอย่างนิ่งสงบ จากนั้นก็เดินไปตำหนักหลัง มู่อวิ๋นหรงที่นั่งอยู่ข้างนางก็ตกใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้เช่นกัน ตะลึงงันอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะรีบเดินตามไปอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น ในห้องโถงก็เกิดความโกลาหล สีหน้าของทุกคนที่อยู่ในงานต่างก็บูดบึ้ง พวกนางล้วนแต่เป็นหญิงสูงศักดิ์ในเมืองหลวง พระชายากงเชิญพวกนางมาร่วมงานเลี้ยงแต่ตัวเองกลับทิ้งพวกนางไว้เช่นนี้ เป็นใครก็คงไม่พอใจ
มู่ชิงอีเองก็ตกใจเช่นกัน เมื่อก่อนจูหมิงเยียนไม่ใช่คนที่ไม่ยอมอดทนอดกลั้น สถานการณ์ตอนนี้ นางในฐานะพระชายากง ไม่คิดที่จะกอบกู้สถานการณ์แต่กลับเดินออกไปด้วยความโมโห ทำตัวไร้เหตุผลยิ่งนัก
พระชายาฝูที่นั่งอยู่ข้างๆ มองมู่ชิงอีด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มแล้วพูดว่า “คุณหนูสี่คิดว่ามันแปลก?”
มู่ชิงอียิ้มแล้วเอ่ยตอบ “พระชายาเรียกหม่อมฉันว่าชิงอีก็ได้เพคะ พระชายากง…เมื่อก่อนดูเหมือนจะ…”
พระชายาฝูพยักหน้า ยิ้มแล้วพูด “เมื่อก่อนเจ้าอาจจะสนิทสนมกับนาง แต่ว่าคนเราเปลี่ยนแปลงกันได้เสมอ ตั้งแต่ที่นางได้เป็นพระชายากง นี่คงเป็นครั้งแรกที่นางเสียหน้าเช่นนี้”
จูหมิงเยียนเป็นบุตรีผู้เดียวจากพระชายาเอกของผิงหนานจวิ้นอ๋อง แล้วยังเป็นจวิ้นจู่ที่ฮ่องเต้ทรงมอบสมรสพระราชทานกับมู่หรงอวี้หรือกงอ๋อง องค์ชายที่มีหน้ามีตาที่สุดในบรรดาองค์ชายทั้งหมด แน่นอนว่านางต้องหยิ่งผยองเป็นธรรมดา อีกทั้งยังไม่เคยได้รับความไม่เป็นธรรมเช่นนี้มาก่อน เพราะว่าโมโหและไม่รู้จะเอาหน้าที่ไหนมาเผชิญกับบรรดาสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวง การที่นางโมโหและเดินออกไปจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
อันที่จริงมู่ชิงอีก็ไม่ได้สงสัยในการกระทำของจูหมิงเยียนมากนัก แต่นางสงสัยท่าทีของหย่งจยาจวิ้นจู่และองค์หญิงไหวหยางมากกว่า
หากจะบอกว่าหญิงสูงศักดิ์สองคนนั้นไม่รู้จักกฏระเบียบถึงได้เสียมารยาทเช่นนี้ ตนไม่มีทางเชื่อแน่นอน ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ขององค์หญิงหมิงฮุ่ยและจูหมิงเยียนจะไม่ค่อยดี แต่เป็นไปไม่ได้ที่นางจะมีอิทธิพลต่อองค์หญิงและจวิ้นจู่ถึงขนาดนี้ ด้วยท่าทีของทั้งสองคน พวกนางจงใจทำให้จูหมิงเยียนและจวนกงอ๋องเสียเกียรติ อาจจะเพราะว่ามีคนบอกให้ทำเช่นนี้? เช่นนั้น คนที่สามารถบอกให้พวกนางทำเช่นนี้ได้ ก็คงต้องเป็นราชทูตที่มาแสดงความยินดีก่อนหน้านี้กระมัง
ความเยือกเย็นจากดวงตาสีดำสนิทวาบขึ้นมาในหัวของนาง มู่ชิงอีส่ายหน้าไปมา
คนที่ทำเช่นนี้น่าจะเป็นหรงเหยี่ยนองค์ชายสี่แห่งแคว้นเย่ว์ และเกอซูฮั่นเลี่ยอ๋องแห่งแคว้นเป่ยฮั่น แต่ว่า…พวกเขาทำเช่นนี้เพราะเหตุใดกัน หรือพวกเขาสองคนมีเรื่องเคียดแค้นมู่หรงอวี้?
มู่ชิงอีส่ายหน้า
มู่หรงอวี้เป็นคนรอบคอบ เป็นสุภาพบุรุษที่อ่อนน้อมถ่อมตนกับทุกคน เขาไม่มีทางสร้างศัตรูกับใครง่ายๆ แน่นอน แล้วอีกอย่าง พวกเขาทั้งสองคนไม่เคยเจอกับมู่หรงอวี้เสียหน่อย
มู่ชิงอีส่ายหน้าอย่างปวดหัว ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ในหัวเต็มไปด้วยแผนการ แต่กลับขาดข้อมูลอีกมากมาย นางไม่รู้อะไรเลย ถึงแม้ว่าจะมีพรสวรรค์มากแค่ไหนแต่ก็ยังเป็นกบในกะลา ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น
เห็นนางถอนหายใจ พระชายาฝูก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “เป็นอะไรไป”
มู่ชิงอีส่ายหน้าแล้วยิ้มอย่างละอายใจ “ไม่มีอะไรเพคะ แค่…ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี”
พระชายาฝูตบหลังมือนางเบาๆ จากนั้นก็หันไปส่งยิ้มให้กับทุกคนแล้วพูดว่า “ได้ยินว่าจวนหลังนี้ของน้องหกทิวทัศน์สวยงาม พวกเราอย่าเอาแต่นั่งอยู่ที่นี่เลย ไม่สู้ออกไปเดินเล่นสักหน่อย”
“พี่สะใภ้พูดถูกเพคะ” พระชายาจื้อเห็นด้วยกับนาง จูหมิงเยียนออกไปแล้ว พวกนางก็ไม่ควรนั่งโง่เฉยๆ อยู่ที่นี่
ในเมื่อพระชายาทั้งสองเห็นพ้องต้องกัน คนอื่นๆ จึงไม่ได้แย้งอะไร พากันลุกขึ้นแล้วเดินออกไป เพิ่งจะออกมาจากห้องโถงก็เห็นมู่หรงอวี้พาคนสองสามคนเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ
“กงอ๋องเสด็จ! ผิงอ๋องเสด็จ! เลี่ยอ๋องแห่งเป่ยฮั่นเสด็จ! ตวนอ๋องแห่งแคว้นเย่ว์เสด็จ!”
เห็นชายสี่คนที่กำลังเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างาม ทุกคนต่างพากันตกใจ จากนั้นถึงตระหนักได้ว่ากงอ๋องน่าจะมากอบกู้สถานการณ์นี้แทนพระชายาของตัวเอง ถึงแม้ว่าหลายคนอยากจะดูเรื่องสนุก แต่กลับไม่มีใครแสดงสีหน้าออกมาเลยแม้แต่น้อย เพราะถึงแม้ว่ากงอ๋องจะดูเป็นสุภาพบุรุษที่อ่อนน้อมถ่อมตน แต่เรื่องที่เขากระทำกับตระกูกู้อย่างโหดเหี้ยมนั้น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา ตระกูลผู้สูงศักดิ์ล้วนไม่มีใครอยากทำให้เขาไม่พอใจ
ชายสี่คนที่เดินเข้ามามีลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันไป แต่คนแรกที่มู่ชิงอีมองเห็นคือมู่หรงซี หรือผิงอ๋องที่เดินอยู่ข้างหลังมู่หรงอวี้ครึ่งก้าว มู่หรงซีเป็นพระโอรสเพียงพระองค์เดียวของฮองเฮาผู้มาจากตระกูลกู้ และเป็นพระโอรสของพระมเหสีเอกเพียงคนเดียวของฮ่องเต้แคว้นหวา ฮองเฮาแคว้นหวาเสียชีวิตตั้งแต่เขายังเด็ก มู่หรงซีในวัยเยาว์นั้นสนิทสนมกับตระกูลกู้เป็นอย่างมาก แน่นอนว่าความสัมพันธ์ของเขาและลูกพี่ลูกน้องหญิงอย่างกู้อวิ๋นเกอก็แน่นแฟ้นเช่นกัน แต่เมื่อเติบโตขึ้น เพราะความขี้ระแวงของฮ่องเต้แคว้นหวาที่มีต่อตระกูลกู้ทำให้เขาค่อยๆ ห่างเหินกับตระกูลกู้ไป คิดไม่ถึงว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ ตระกูลกู้ก็ยังถูกสั่งฆ่ายกตระกูล มู่หรงซีเองก็ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ตระกูลกู้ถูกฆ่าล้างไม่ถึงหนึ่งเดือน เขาก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งรัชทายาทเหลือเพียงตำแหน่งอ๋อง
เห็นญาติผู้พี่ของตัวเอง มู่ชิงอีก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าใจ รัชทายาทที่สูงส่งของแคว้นหวาในตอนนั้น แต่ตอนนี้สิ่งที่นางเห็นบนใบหน้าที่หล่อเหลาคือความโศกเศร้า แม้แต่เดินก็ยังเดินช้ากว่ามู่หรงอวี้ไปครึ่งก้าว เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการที่จะชิงดีชิงเด่นกับใครอีก เขาเปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้ นางจะไม่เสียใจได้เช่นไร
บางทีอาจจะสัมผัสได้ถึงสายตาของมู่ชิงอี มู่หรงซีจึงเงยหน้ามองไปยังนาง จึงเห็นสายตาที่สับสนของมู่ชิงอีพอดี ถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจแต่ก็ส่งยิ้มแผ่วเบาแล้วพยักหน้าทักทายนาง เขายังจำได้ว่าลูกพี่ลูกน้องหญิงของเขารักและเอ็นดูเด็กสาวคนนี้เป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่มีอำนาจอะไรแต่ดูแลเด็กคนนี้นับว่าไม่ใช่เรื่องยากนัก
“น้องสอง น้องหก เหตุใดพวกเจ้าถึงมาที่นี่เล่า” พระชายาฝูยิ้มแล้วเดินเข้าไปทักทาย
ทุกคนก็รีบย่อเข่าคำนับเหล่าท่านอ๋อง มู่หรงอวี้เหลือบมองทุกคน และเป็นอย่างที่เขาคาดคิดไว้ ไม่เห็นภรรยาของตัวเองอยู่ในนั้น จึงพูดด้วยสีหน้าที่มืดมน “ได้ยินมาว่าทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่นี่ ข้าเดินผ่านมากับพี่สอง เลี่ยอ๋องและตวนอ๋องพอดีจึงแวะเข้ามาดูเท่านั้น รบกวนทุกคนแล้ว”
พระชายาฝูยิ้มแล้วพูดว่า “น้องหกเกรงใจเกินไปแล้ว สองท่านนี้คือเลี่ยอ๋องแห่งเป่ยฮั่นและตวนอ๋องแห่งแคว้นเย่ว์?”
ชายสองคนที่เดินอยู่ข้างมู่หรงอวี้และมู่หรงซี คนหนึ่งอายุราวสามสิบต้นๆ รูปร่างแข็งแกร่ง ท่วงท่าสง่างามแฝงไว้ด้วยความเย็นชา อีกคนหนึ่งอายุราวยี่สิบกว่าปี ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสแต่รูปร่างของเขากลับทำให้ผู้คนรู้สึกถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็น มู่หรงอวี้นั้นถือว่ามีรูปร่างสูงใหญ่ที่สุดในบรรดาบุรุษสามคนนี้แล้ว แต่เมื่อยืนอยู่ข้างหน้าชายผู้นี้ เขากลับดูเตี้ยกว่าครึ่งหัว ชายผู้นี้ให้ความรู้สึกราวกับดาบอันแหลมคมที่ตั้งตรงเตรียมจู่โจมก็ไม่ปาน เพียงกวาดตามองก็ทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับมีดาบแหลมคมฟาดฟันเข้ามา บรรดาพระชายาและหญิงสาวที่อยู่ตรงนี้ล้วนแต่ตกใจ คนที่ขี้ขลาดตาขาวหน่อยถึงกับตกใจจนค่อยๆ ถอยหลังหนีสองก้าวอย่างเงียบเชียบ ท่าทีที่ดุดันเช่นนี้…คงเป็นเกอซูฮั่นเลี่ยอ๋องแห่งเป่ยฮั่น ส่วนอีกคนคงเป็นหรงเหยี่ยนตวนอ๋องหรือองค์ชายสี่แห่งแคว้นเย่ว์
“พระชายา ข้ามีนามว่าหรงเหยี่ยน” หรงเหยี่ยนก้มหน้าลงอย่างเย็นชา เช่นนี้ถือว่าไว้หน้าพระชายาฝูแล้ว ส่วนเกอซูฮั่นยกมือขึ้นมาประสานกันอย่างเกียจคร้าน พูดอย่างเนิ่บนาบ “ข้ามีนามว่าเกอซูฮั่น”
ถึงแม้ว่าจะรู้อยู่แล้ว แต่บรรดาหญิงส่วนใหญ่ในงานก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจ หรงเหยี่ยนยังพอไหว แต่เกอซูฮั่นคือนักฆ่าที่มีชื่อเสียงโด่งดัง แม้ว่าจะอายุยังไม่ถึงยี่สิบห้าปี แต่ก็เคยเป็นถึงผู้นำทัพทหารออกรบให้แคว้นเป่ยฮั่นตั้งแต่อายุสิบห้าสิบหกปี ห้าปีก่อน ฮ่องเต้องค์ก่อนของเป่ยฮั่นสิ้นพระชนม์ เขาก็ลงมือตัดหัวเสด็จลุงและพี่ชายน้องชายที่อยากจะยึดบัลลังก์ด้วยตัวเอง ทำให้เกอซูเจี้ยน พี่ชายมารดาเดียวกันของตัวเองได้ขึ้นครองบัลลังก์ กลายเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของเป่ยฮั่น เกอซูฮั่นยังเคยนำกองทัพมาสู้รบกับแคว้นหวา สำหรับคนแคว้นหวานั้นเ ขาคือเทพดุร้ายที่สามารถทำให้เด็กร้องไห้ในตอนกลางคืนเพียงแค่เอ่ยชื่อเขาขึ้นมา หลายคนคิดว่าเกอซูฮั่นต้องมีรูปร่างที่สูงแปดฟุตและหน้าตาที่โหดเหี้ยม แต่ตอนนี้กลับเจอกับชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่กำลังยิ้มแย้มอย่างแจ่มใส พวกนางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย