หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 28 การปรากฏตัวอีกครั้งขององค์ชายเก้า
บนใบหน้าของจูหมิงเยียนปรากฏความโกรธขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวอย่างไม่พอใจ “หม่อมฉันสร้างปัญหาให้มู่ชิงอีตรงไหนกัน แม้นางคือลูกพี่ลูกน้องของกู้อวิ๋นเกอ เติบโตมามีบางส่วนที่คล้ายกับกู้อวิ๋นเกอ แต่ท่านพี่คงไม่ตกหลุกรักนางหรอกกระมัง ท่านพี่อย่าลืมล่ะว่านางคือคนที่น้องแปดทอดทิ้ง!”
“บังอาจ!” มู่หรงอวี้หน้าเปลี่ยนสี พูดอย่างโกรธเกรี้ยว “นี่เจ้ากำลังเอ่ยวาจาเหลวไหลอะไรกัน ใครให้เจ้าเอ่ยถึงนาง”
จูหมิงเยียนยิ้มเยาะ มองไปที่มู่หรงอวี้ด้วยความขมขื่น “หม่อมฉันไม่แม้แต่จะสามารถเอ่ยถึงนางได้งั้นหรือเพคะ ถ้าเช่นนั้น เหตุใดตอนแรกท่านพี่ถึงได้ใจดำเยี่ยงนัก หรือว่าหม่อมฉันเป็นคนที่ลงมือฆ่านางเช่นนั้นหรือ”
“หุบปาก” มู่หรงอวี้ตะคอก เงื้อมือขึ้นตบหน้าจูหมิงเยียนอย่างโหดเหี้ยม จูหมิงเยียนถูกตบจนตัวเอียง ล้มลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้าง เงยหน้าขึ้นมา มือกุมแก้มที่เจ็บปวดจนยากจะทนไหว เบิกตากว้างมองไปยังมู่หรงอวี้อย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่านพี่…ท่านถึงกับตบหม่อมฉัน?”
จูหมิงเยียนมีเหตุผลที่ตกใจ นางคือบุตรีของผิงหนานจวิ้นอ๋อง…เป็นถึงจวิ้นจู่ อีกทั้งยังเป็นพระชายาเอกของกงอ๋อง กี่ปีมาแล้วที่ไม่มีใครหน้าไหนกล้าตบหน้านาง แต่คาดไม่ถึงว่าสามีที่นางทุ่มเทความรักให้กลับตบหน้านางเพียงเพราะหญิงที่ตายไปแล้วคนหนึ่ง หรือว่า…หรือว่ากู้อวิ๋นเกอคือคนที่ถูกนางทำให้ตายเช่นนั้นหรือ เป็นเขาต่างหากที่ทำให้กู้อวิ๋นเกอตาย แต่ตอนนี้กลับเสแสร้งทำเป็นผูกพันอย่างลึกซึ้ง จูหมิงเยียนจ้องมองชายตรงหน้าอย่างโกรธแค้น
“มู่หรงอวี้! ท่านกล้าดียังไงมาตบหน้าข้า” จูหมิงเยียนตะโกนพลางร้องไห้ออกมา
มู่หรงอวี้มองมือของตัวเองที่ใช้ตบหน้านางด้วยความงุนงง เขาเองก็ตกใจเช่นกัน แต่ไม่ได้ตกใจเพราะตบหน้าจูหมิงเยียน กลับเป็นเรื่องที่เขายังมีความรู้สึกกับกู้อวิ๋นเกอ เขาคิดมาโดยตลอดว่า…หลายปีมานี้ที่ได้คอยเฝ้ามองกู้อวิ๋นเกอทนทุกข์ทรมานอยู่ในหอนางโลมชุ่ยหงอย่างห่างๆ หลังจากลดชั้นจากหญิงสูงศักดิ์ที่ราวกับเทพธิดาบนสวงสวรรค์ลงมาสู่ชั้นโลกมนุษย์ เขาก็ไม่ได้สนใจนางมาตั้งนานแล้ว แต่ตอนนี้เขากลับเข้าใจและสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่อยู่ลึกๆ ข้างในว่าเขาไม่เคยลืมหญิงสาวที่ไม่มีใครเทียบได้ผู้นั้น
แต่…เขาจะไม่เสียใจกับเรื่องราวที่ผ่านไปแล้ว!
มู่หรงอวี้หลับตาลง บนใบหน้าที่สง่างามแสดงออกถึงความตัดขาด เขาคือกงอ๋อง คือองค์ชาย และในฐานะที่เป็นทั้งองค์ชายและบุรุษนั้น ควรมีความทะเยอะทะยานและความฝัน เขาต้องการอยู่เหนือผู้คนทั้งโลก และตระกูลกู้…เป็นแค่ทางผ่าน ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงให้พวกนั้นตายไป เขาจะไม่มาเสียใจภายหลัง!
คิดมาถึงตรงนี้ ในใจของมู่หรงอวี้กลับปรากฏภาพดวงตาที่นิ่งสงบของมู่งชิงอี ทำให้เขานึกถึงขึ้นมา…กู้อวิ๋นเกอ…ดวงตาของอวิ๋นเกอที่ไร้ซึ่งความสดใสร่าเริงและความบริสุทธิ์ในวันเยาว์คู่นั้นและไร้ซึ่งความสิ้นหวังและความเกลียดชังหลังจากการล่มสลายของตระกูลกู้นั้น มีความคล้ายคลึงกันยิ่งนัก…สงบนิ่ง ดวงตาอันสงบนิ่งของอวิ๋นเกอ
“หมิงเยียน” มู่หรงอวี้ตัดสินใจทิ้งความสับสนวุ่นวายในใจ มองไปที่จูหมิงเยียนแล้วเรียกด้วยเสียงทุ้มต่ำ
จูหมิงเยียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ เอามือกุมหน้าพลางร้องไห้เบาๆ เมินเฉยต่อเสียงเรียกของมู่หรงอวี้ แววตาของมู่หรงอวี้ปรากฏความอดทนอดกลั้นชั่วครู่ แต่ท่าทางกลับแสดงออกอย่างอ่อนโยน มือตบลงบนไหล่ของจูหมิงเยียนอย่างเบาๆ มู่หรงอวี้กระซิบ “หมิงเยียน ข้าขอโทษเจ้าด้วย วันนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี เจ้าก็รู้…ทั้งเกอซูฮั่นและหรงเหยี่ยนต่างก็สำคัญมาก แต่ทั้งสองกลับรับมือยาก แถมท่าทางวันนี้ของหย่งจยาจวิ้นจู่และองค์หญิงไหวหยางยังแสดงออกถึงการกดขี่ข้า และเจ้าก็ยังจะ…”
จูหมิงเยียนแน่นอนว่ารู้ความสำคัญของแคว้นเย่ว์และเป่ยฮั่นว่ามากมายแค่ไหน พอนึกถึงเรื่องวุ่นวายในงานเลี้ยงที่ตัวเองสร้างขึ้นมาก็รู้สึกผิด “หม่อมฉัน…ไม่ใช่ว่าท่านพี่…โกรธหม่อมฉันหรอกหรือเพคะ”
มู่หรงอวี้กุมมือนางแล้วเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “พูดเรื่องโง่อะไรกัน พวกเราคือสามีภรรยา หลายปีมานี้ข้าปฎิบัติต่อเจ้าเช่นไรเจ้าก็รู้ ข้ารู้ว่าวันนี้เจ้าเจอเรื่องที่ต้องกล้ำกลืนฝืนทน แต่ว่า…”
จูหมิงเยียนรีบพยักหน้าตอบรับทันที “หม่อมฉันทราบเพคะ สองวันมานี้หม่อมฉันอารมณ์ไม่ดี ยังมาแสดงนิสัยเยี่ยงนี้ต่อท่านอีก พรุ่งนี้หม่อมฉันก็ต้องไปเข้าพบหย่งจยาจวิ้นจู่และองค์หญิงไหวหยาง และยังต้องมอบปิ่นหยกม่วงที่เป็นสินเดิมข้าให้กับน้องหญิงห้า นางเคยบอกว่าอยากจะได้มาตั้งนานแล้ว”
มู่หรงอวี้มองท่าทางของนาง “นี่สิพระชายาที่แสนดีของข้า แต่เจ้าอย่ามอบสินเดิมเป็นของขวัญให้น้องหญิงห้าเลย หากต้องการสิ่งใดก็ให้พ่อบ้านเป็นคนจัดเตรียม”
จูหมิงเยียนพยักหน้าอย่างซาบซึ้ง ราวกับลืมเรื่องที่ชายผู้นี้เพิ่งตบหน้านางอย่างรุงแรงไปจนหมดสิ้น ค่อยๆ พิงลงในอ้อมแขนของเขา จูหมิงเยียนยกยิ้มอย่างปิติ นางรักชายผู้นี้อย่างแท้จริง ในตอนที่ตระกูลกู้ยังไม่ถูกทำลาย ทุกครั้งที่เห็นมู่หรงอวี้ที่อยู่เคียงข้างกู้อวิ๋นเกอ นางก็อดไม่ได้ที่จะใจเต้น ตอนนี้ในฐานะพระชายา นางมีตำแหน่งยศฐาบรรดาศักดิ์ที่สูงกว่ากู้อวิ๋นเกอหลานสาวของอัครเสนาบดี รูปลักษณ์ความสามารถก็ไม่ได้ด้อยกว่า แต่มู่หรงอวี้กลับไม่เคยมองมาที่นางเลย ยืนอยู่เคียงข้างกู้อวิ๋นเกอเสมอ ส่วนนางเป็นได้เพียงตัวประกอบ
จนกระทั่งวันหนึ่ง ตอนที่มู่หรงอวี้เคลื่อนสายตาจากกู้อวิ๋นเกอมายังนาง นางดีใจแทบตาย เพื่อเขาแล้วไม่ว่าเรื่องใดนางก็ยินดีที่จะทำให้ ขอเพียงแค่ได้อยู่เคียงข้างเขา
“ท่านพี่ ท่านอย่าทิ้งหม่อมฉันไปนะเพคะ”
มู่หรงอวี้ก้มมองพร้อมรอยยิ้มบางๆ ยกมือขึ้นลูบหัวนางเบาๆ “พูดไร้สาระอะไรกัน พวกเรานั้นเป็นสามีภรรยา ข้าจะทิ้งเจ้าไปได้เช่นไร”
จูหมิงเยียนพยักหน้าไปมา แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดใจนางกลับไม่รู้สึกสงบ
เมื่อกลับมาถึงจวนซู่เฉิงโหว มู่ฮูหยินผู้เฒ่าก็โกรธจัด หลายสิบปีมานี้นางอยู่ในจวนซู่เฉิงโหวด้วยฐานะที่สูงส่ง แม้กระทั่งสะใภ้จังในตอนนั้นก็ยังต้องพูดกับนางอย่างนอบน้อม วันนี้กลับถูกเกอซูฮั่นทำให้หวาดกลัวจนแทบจะล้มลงบนพื้น นี่เป็นเรื่องที่น่าอับอายเป็นอย่างมาก เพียงแค่ส่งมู่ชิงอีออกไปนอกเมืองจะบรรเทาความโกรธของนางได้อย่างไร และสายตาของมู่ฮูหยินผู้เฒ่านับว่าไม่ธรรมดา เพียงแค่มองท่าทางของมู่หรงอวี้ที่มีต่อมู่ชิงอีก็รับรู้ได้ว่าต้องมีอะไรบางอย่าง ด้วยเหตุนี้เองนางยิ่งไม่สามารถประมาทมู่ชิงอีได้ หลานสาวผู้นี้…เมื่ออยู่ต่อหน้านาง มู่ฮูหยินผู้เฒ่ามักจะมีความรู้สึกว่าควบคุมไม่ได้ สำหรับนางที่คุ้นชินกับการควมคุมทุกสิ่งอย่างในจวนซู่เฉิงโหว เรื่องเช่นนี้จึงเป็นสิ่งที่นางไม่อาจฝืนทน
“คุกเข่าลง!” พอถึงเรือนเต๋ออัน มู่ฮูหยินผู้เฒ่าก็ดุกล่าวเสียงดัง
กระทั่งมู่ฉังหมิงที่ได้ยินเรื่องราวมาก่อนหน้านี้แล้วยังตกใจ แม้พอจะรู้ว่างานเลี้ยงที่จวนกงอ๋องวันนี้นั้นไม่ราบรื่น แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดมู่ฮูหยินผู้เฒ่าถึงได้โกรธมู่ชิงอีมากมายขนาดนี้ มู่ฉังหมิงคิ้วขมวดมองมู่ชิงอีแล้วเอ่ยถาม
“ชิงอี ทำไมเจ้าถึงทำให้ท่านย่าโกรธได้เล่า แล้วยังไม่รีบคุกเข่ากล่าวขอโทษอีก”
มู่ชิงอีมองกลับไปที่มู่ฉังหมิงด้วยท่าทีนิ่งสงบ เอ่ยตอบเบาๆ “ท่านย่าจะตีชิงอี แต่ชิงอีเผลอเบี่ยงตัวหลบเจ้าค่ะ มือของท่านย่าจึงพลาดพลั้งไปตีลงที่เลี่ยอ๋องแทน ทำให้ท่านย่าจึงโมโหเช่นนี้ ผู้ใหญ่สั่งสอนเด็กแท้จริงแล้วคือเรื่องปกติ ชิงอีไม่ควรเบี่ยงตัวหลบ ท่านย่าโปรดอภัยให้ชิงอีด้วย หลังจากนี้หากท่านย่าต้องการที่จะสั่งสอนหลาน ท่านย่าได้โปรดเอ่ยบอกก่อน เช่นนั้นหลานย่อมไม่กล้าที่จะเบี่ยงตัวหลบแน่นอนเจ้าค่ะ”
อันที่จริงแล้วหากนับความสูงของมู่ฮูหยินผู้เฒ่า ฝ่ามือที่ตีลงมานั้นจะต้องตีไม่โดนเกอซูฮั่นอย่างแน่นอน มู่ชิงอีกล่าวเช่นนี้จึงแสดงได้ว่ามู่ชิงอีไม่ใช่ไม่ยอมรับการสั่งสอน แต่นางไม่รู้จริงๆ ว่ามู่ฮูหยินผู้เฒ่าต้องการตบตีนาง
มู่ฉังหมิงใบหน้าบึ้งตึงขึ้นมาเล็กน้อย การตบตีในที่สาธารณะนับว่าไม่ใช่สิ่งที่หญิงชนชั้นสูงที่ถูกอบรมมาอย่างดีนั้นพึงกระทำ หากเป็นบุตรของอนุก็นับว่าไม่เป็นอะไร แต่เป็นบุตรของภรรยาเอกเช่นนี้ คนอื่นๆ จะมองจวนซู่เฉิงโหวไม่ดีเอาได้