หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 4 เกียรติยศและความต่ำต้อย
มู่ชิงอีหันกลับมามองมู่อวิ๋นหรงที่ตามมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก “พี่หญิงสามมีอะไรหรือเจ้าคะ”
มู่อวิ๋นหรงต่อว่าด้วยความโมโห “มู่ชิงอี เหตุใดเจ้าถึงไม่ตายไปกับนังคนชั่วกู้อวิ๋นเกอนั่นเลยเล่า” มู่ชิงอีขมวดคิ้วพลางมองมู่อวิ๋นหรงที่อยู่ต่อหน้านางด้วยสายตาเย็นชา “พี่หญิงสามเรียกข้าให้หยุด เพียงเพื่อจะต่อว่าข้า?” มู่อวิ๋นหรงประหลาดใจกับท่าทางเย็นชาที่ต่างไปจากปกติของนาง แต่เพียงชั่วครู่ก็โมโหขึ้นอีกครั้ง “ล้วนเป็นเพราะนังสารเลวนั่น เป็นนังนั่นที่กล้าทำร้ายหนิงอ๋อง! เจ้ายังกล้าที่จะสงสารนังสารเลวนั่นได้อย่างไร!”
หญิงสาวในชุดสีเหลืองที่ติดตามมู่อวิ๋นหรงมองดูมู่ชิงอีอย่างประณามแล้วกล่าวว่า “ถูกต้องแล้ว น้องหญิงสี่ แม้ว่ากู้อวิ๋นเกอจะเป็นลูกพี่ลูกน้องหญิงของเจ้า แต่พี่หญิงสามนั้นเป็นพี่สาวแท้ๆ ของเจ้านะ การสมรสของพี่หญิงสามและหนิงอ๋องที่ถูกทำลายในตอนนี้…” มาถึงตรงนี้มู่ชิงอีเพิ่งจะเข้าใจถึงที่มาของความโกรธแค้นของมู่อวิ๋นหรง งานสมรสของมู่อวิ๋นหรงและหนิงอ๋องต้องล่าช้าออกไปเนื่องจากการลอบสังหาร ไม่น่าแปลกใจเลยที่มู่อวิ๋นหรงนั้นจะโกรธมากมายถึงเพียงนี้
“หนิงอ๋องไม่ใช่ว่าไม่สามารถรักษาให้หายได้หรอกหรือเจ้าคะ พี่หญิงสามจะรอการสมรสไม่ได้เลยเชียวหรือ พี่หญิงสามเพิ่งจะอายุเพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น ไม่เห็นจำเป็นต้องโกรธเคืองเพราะเรื่องงานสมรสมากถึงเพียงนี้เลย” มู่ชิงอียิ้มขึ้นอย่างแผ่วเบา
“นังสารเลว!” มู่อวิ๋นหรงหน้าแดงด้วยความโกรธ ยกมือขึ้นราวกับอยากจะตบหน้ามู่ชิงอีในทันที เมื่อตอนที่อยู่ในหอนางโลม หว่านอวิ๋นจะไม่เคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้ได้อย่างไรกัน จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะยอมให้ตัวเองถูกตบได้อย่างง่ายดาย มือของมู่อวิ๋นหรงที่ยกขึ้นมาถูกนางจับเอาไว้ พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไมหรือเจ้าคะ หรือข้าพูดผิดไป? ไม่ใช่ว่าเพราะโกรธที่ไม่ได้สมรสจนพี่หญิงสามต้องลามมาเกลียดชังข้าด้วย? หรือว่า…” มู่ชิงอีก้มศีรษะลงใกล้ที่ข้างหูของมู่อวิ๋นหรง หัวเราะด้วยเสียงทุ้มต่ำ “หรือเพราะหนิงอ๋อง…ถูกทำร้ายในที่ที่ไม่สามารถจะมีภรรยาได้แล้วกระมัง”
“มู่ชิงอี นังคนชั่ว เจ้าสมควรตายไปกับท่านแม่ของเจ้า…”
“เพี๊ยะ!” เกิดเสียงดังขึ้นที่ข้างหู ความโกรธแค้นถูกตบลงบนหน้าของมู่อวิ๋นหรง แก้มที่เดิมทีนั้นสวยงามกลับกลายเป็นสีแดงบวมเป่ง มู่ชิงอีดึงมือที่ด้านชาต่อความเจ็บปวดเล็กน้อยออก แล้วจ้องไปที่มู่อวิ๋นหรงด้วยท่าทางเย็นชา
มู่อวิ๋นหรงอยู่ในความงุนงงพักหนึ่ง นางไม่เคยคิดว่ามู่ชิงอีที่ขี้กลัวและอ่อนแอมาตลอดนั้นจะกล้าตบตัวเอง หญิงสาวสองคนที่ติดตามนางก็ตกตะลึงเช่นกัน ต่างก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบโต้อย่างไรดี
“มู่ชิงอี…เจ้ากล้าตบข้า!”
“ทำไมล่ะเจ้าคะ ข้าจะสู้ท่านไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือ” มู่ชิงอีพูดด้วยรอยยิ้ม แต่ดวงตาใสของนางเย็นชาราวกับน้ำแข็ง แม้แต่นางก็คาดไม่ถึงว่าน้องหญิงของนางจะมีชีวิตเช่นนี้ภายในจวน อีกทั้งมู่อวิ๋นหรงผู้นี้ หญิงสาวผู้สูงส่งแห่งจวนโหว คำพูดที่เอ่ยออกมานั้น ไม่คนชั่วก็สารเลว ไร้มารยาทเช่นนี้ ช่างอัปมงคลเสียจริง
“เจ้ากล้าตบข้า…ข้าจะฆ่าเจ้าให้ตายนังสารเลว!” มู่อวิ๋นหรงไม่เคยทนทุกข์กับความคับข้องใจเช่นนี้มาก่อน แม้แต่ตอนที่นางเป็นบุตรของอนุภรรยาก็ตาม จึงตวาดเสียงแหลมใส่มู่ชิงอี
“อวิ๋นหรง เจ้ากำลังจะทำสิ่งใด” น้ำเสียงอันน่าเกรงขามแฝงไว้ด้วยความโกรธดังมาจากที่ที่ไม่ไกลนัก
เมื่อทุกคนหันหลังไปก็เห็นมู่ฉังหมิงเดินมาพร้อมกับชายหนุ่มสองคน กำลังมองมาอย่างไม่พอใจ
“ท่านพ่อ”
“ท่านอา”
หญิงสาวทั้งสี่คนทำความเคารพพร้อมกัน ตรงหน้าของมู่ฉังหมิงมีหญิงสาวสี่คนคุกเข่าอยู่
มู่ฉังหมิงนั้นมีบุตรีสี่คน บุตรีคนโตคือมู่เฟยหลวน ปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นถึงโหรวเฟยในวังหลวง บุตรีคนที่สองคือมู่ไฉ่ผิง แต่งออกไปเมื่อปีก่อนกับผู้สืบทอดตำแหน่งเสนาบดีกรมการคลัง ปัจจุบันมีเพียงมู่อวิ๋นหรงและมู่ชิงอีเท่านั้นที่ยังคงไม่ได้สมรส ส่วนหญิงสาวอีกสองคนตรงหน้านั้น แท้จริงแล้วเป็นบุตรีจากอนุภรรยาของมู่ฉังชิง น้องชายของมู่ฉังหมิง คนหนึ่งนามว่าอวี่เฟย อีกคนนามว่าสุ่ยเหลียน เป็นลูกพี่ลูกน้องหญิงของมู่ชิงอี
มู่ฉังหมิงกวาดตามองคนทั้งสี่ จากนั้นก็จ้องมองไปที่มู่อวิ๋นหรง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “อวิ๋นหรง เจ้ากำลังทำสิ่งใดอยู่” มู่อวิ๋นหรงที่แต่ไหนแต่ไรมานั้นเป็นที่โปรดปรานเสมอ ตอนไหนกันที่นางต้องทนทุกข์กับความคับข้องใจเช่นนี้ นางเดินไปหามู่ฉังหมิง ตีหน้าเศร้าร้องไห้ “ท่านพ่อ น้องหญิงสี่ลงมือตบข้าก่อนเจ้าค่ะ!” นางพูดพร้อมกับเปิดใบหน้าอีกครึ่งหนึ่งให้บิดาดู ยังคงปรากฏรอยนิ้วมือที่ทิ้งไว้อยู่บนใบหน้าสีขาวราวหยกที่ดึงดูดความสนใจของผู้คน
“น้องหญิงสี่ ถึงแม้ว่าน้องหญิงสามจะทำสิ่งที่ผิดแต่เจ้าก็ไม่ควรลงไม้ลงมือทำร้ายผู้อื่นเช่นนี้” ที่ด้านหลังของมู่ฉังหมิง ชายหนุ่มผู้หนึ่งกล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึม คำพูดว่ากล่าวอย่างชัดเจน ชายหนุ่มผู้นี้คือมู่หลิงบุตรชายของมู่ฉังหมิง อีกทั้งยังเป็นพี่ชายมารดาเดียวกันกับมู่อวิ๋นหรง
มู่ฉังหมิงขมวดคิ้ว มองไปที่มู่ชิงอีแล้วกล่าวว่า “ชิงอี เจ้าเป็นน้อง เหตุใดจึงลงมือกับพี่หญิงได้เล่า”
มู่ชิงอีช้อนตาขึ้นและเหลือบมองมู่ฉังหมิงอย่างใสซื่อ ภายในดวงตาของเขานั้นไม่ปรากฏถึงความเป็นห่วงเป็นใยต่อบุตรสาวที่เพิ่งฟื้นจากการนอนสลบไสลไม่ได้สติมาหลายวันเลยแม้แต่น้อย นางจึงพูดขึ้นอย่างใจเย็น “เรียนท่านพ่อ พี่หญิงสามกล่าวหาว่าลูกเป็นคนเลวแล้วยังกล่าวหาท่านแม่เช่นเดียวกันอีกด้วย บอกให้ลูกควรตายไปแบบเดียวกับท่านแม่ ท่านพ่อ พี่หญิงสามกล่าวเช่นนี้ถูกหรือเจ้าคะ ครั้งนี้ที่ลูกรอดชีวิตมาได้นั้น ผิดหรือเจ้าคะ”
สีหน้าของมู่ฉังหมิงพลันเปลี่ยนไป พูดอย่างเคร่งขรึม “พูดจาไร้สาระอะไร! อวิ๋นหรง เจ้ามันอวดดี! มารดาของชิงอีเป็นแม่ใหญ่ของเจ้า เจ้ายังกล้าพูดจาหยาบคายเช่นนี้ ท่านแม่สั่งสอนเจ้ามาแบบใดกัน” มู่อวิ๋นหรงที่คาดไม่ถึงว่าตนจะถูกว่ากล่าว ก็เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจเป็นอย่างมาก พูดด้วยดวงตาที่แดงก่ำ “เห็นๆ กันอยู่ เป็นมู่ชิงอีที่ด่าว่าข้าก่อน!”
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของมู่ชิงอี เอ่ยถามว่า “พี่หญิงสาม เห็นอยู่ชัดๆ ว่าท่านกล่าวหาข้าก่อน ข้าพูดเพียงนิดเดียว ท่านก็กล่าวว่าข้าและท่านแม่ถึงเพียงนี้แล้ว ไม่เช่นนั้นก็ให้ท่านพ่อเป็นผู้ตัดสินเถิด ว่าแท้จริงแล้วข้านั้นว่ากล่าวอะไรท่านไป”
“ข้า…” มู่อวิ๋นหรงกระอักกระอ่วน ไม่ว่านางจะเย่อหยิ่งเพียงใดแต่นางก็ยังเป็นแค่เด็กสาวอายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น สำหรับเรื่องอาการบาดเจ็บของหนิงอ๋อง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรพูดออกมาในที่สาธารณะ ใบหน้าของนางพลันเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นตระหนก
มู่ฉังหมิงเองก็รู้ว่าบุตรสาวคนนี้นิสัยเสียและเอาแต่ใจตัวเองเพียงใด เมื่อเห็นท่าทางลังเลเช่นนี้ของนาง แน่นอนว่าสิ่งที่นางพูดต้องเป็นคำโกหกอย่างแน่นอน การเป็นคนเย่อหยิ่งนั้นไม่ได้เสียหายอะไร แต่การดูหมิ่นแม่ใหญ่ของตนในที่สาธารณะนี้ จะทำให้ผู้คนเกิดคำถามถึงการอบรมสั่งสอนของจวนซู่เฉิงโหวได้ มู่ฉังหมิงอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าไม่พอใจแล้วพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ในฐานะที่เจ้าเป็นพี่สาว เจ้าไม่รักน้องแล้วยังกล้าพูดจาอวดดี การกระทำเช่นนี้คืออะไรกัน ยังไม่รีบสำนึกความผิดตัวเองอีก!”
“ท่านพ่อ! เห็นๆ อยู่ว่านังคนชั่วนี่…” มู่อวิ๋นหรงกรีดร้องอย่างรับไม่ได้
“น้องหญิงสาม” จู่ๆ มู่หลิงที่อยู่ด้านหลังมู่ฉังหมิงก็พูดขัดจังหวะมู่อวิ๋นหรง แล้วหันไปพูดกับมู่ฉังหมิง “ท่านพ่อ เป็นเพราะข้าอบรมนางได้ไม่เข้มงวดพอ น้องหญิงสามถึงได้เอาแต่ใจตัวเองถึงเพียงนี้ อย่างไรก็ตาม สองสามวันนี้เป็นเพราะเรื่องนั้นด้วย…น้องหญิงสามจึงอารมณ์ไม่ค่อยดี ท่านพ่อโปรดยกโทษให้นางด้วยขอรับ”
เห็นได้ชัดว่ามู่ฉังหมิงนั้นพึงพอใจกับมู่หลิงบุตรชายของตนอย่างมาก เขามองไปที่มู่หลิง พยักหน้าพลางกล่าวว่า “คำพูดของหลิงเอ๋อร์นั้นก็ค่อนข้างถูกทีเดียว ต่อแต่นี้ไปอวิ๋นหรง ห้ามเจ้าพูดจาไร้สาระอีกเป็นอันขาด เจ้าควรเข้าข้างน้องหญิงสี่ของเจ้าสิ ที่ข้าพูดนั้นถูกต้องหรือไม่” อันที่จริงเพราะมู่อวิ๋นหรงนั้นกำลังจะแต่งเข้าจวนหนิงอ๋องแล้ว ดังนั้นมู่ฉังหมิงจึงไม่ต้องการลงโทษนางอย่างรุนแรงหากไม่ใช่เรื่องร้ายแรง เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่อวิ๋นหรงก็โกรธจนหน้าดำ เห็นๆ กันอยู่ว่านางถูกตบหน้า แล้วยังต้องพูดขอโทษอีก?
“ไตร่ตรองด้วยเจ้าค่ะ! เห็นๆ กันอยู่ว่ามันเป็นความผิดของนาง!” มู่อวิ๋นหรงขึ้นเสียง
มู่ชิงอีก็ไม่ยอมถอยเช่นกัน พูดอย่างตรงไปตรงมา “ลูกมิบังอาจรับคำขอโทษจากพี่หญิงสามได้หรอกเจ้าค่ะ แต่…ในฐานะบุตรของอนุภรรยาที่ดูถูกแม่ใหญ่ของตนในที่สาธารณะ ไม่รู้ว่าท่านพ่อตั้งใจจะทำอย่างไรกับนางหรือเจ้าคะ”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกพูดออกมา สีหน้าของหลายคนตรงนั้นต่างก็ค่อนข้างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก การแสดงออกของมู่อวิ๋นหรงและมู่หลิงเปลี่ยนเป็นความเยือกเย็นทันที ท่าทางของมู่ฉังหมิงก็แปลกไปเล็กน้อยเช่นกัน สีหน้าของมู่อวี่เฟยและมู่สุ่ยเหลียนซึ่งยืนอยู่ข้างพวกเขาก็เกิดความประหม่าขึ้นจนอยากจะเดินหนีไปแต่ก็ไม่กล้า มีเพียงชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่ยืนข้างๆ มู่หลิง ด้านหลังของมู่ฉังหมิง มู่เชินบุตรชายคนโตของมู่ฉังหมิงที่กำลังเลิกคิ้วขึ้นอย่างรู้สึกสนใจ