หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 52 จิ่วจ่วนหลิงหลง
มู่ฉังหมิงนิ่งเงียบเป็นเวลานาน เขามองไปที่มู่ชิงอีแล้วถอนหายใจ กล่าวว่า หากอวิ๋นหรงมีไหวพริบสักครึ่งหนึ่งของเจ้าก็คงจะดีไม่น้อย มู่ชิงอียิ้มรับ แต่นางทราบดีว่าหัวใจของมู่ฉังหมิงกำลังสั่นไหว
เดิมทีมู่ฉังหมิงไม่ได้สั่นคลอนง่ายนัก แต่ในท้ายที่สุดแล้วสถานะของโหรวเฟยและความสัมพันธ์ของเขากับอนุซุนที่มีมาเป็นเวลายี่สิบปีต้องมาสั่นคลอนจากคำกล่าวของมู่ชิงอีเพียงไม่กี่คำ เป็นเพราะอนุซุน มู่หลิงและมู่อวิ๋นหรงช่วงนี้ทำให้มู่ฉังหมิงผิดหวังมากเกินไป เพื่อจวนซู่เฉิงโหวแล้ว ที่จริงเขาเองก็เคยคิดถึงเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่เรื่องเช่นนี้ไม่อาจปรึกษามู่ฮูหยินผู้เฒ่าได้ แต่กระนั้น เมื่อได้ยินมู่ชิงอีพูดเช่นนี้ก็อดเคลือบคลางใจไม่ได้
เหตุใดอีเอ๋อร์จึงกล่าวออกมาเช่นนี้ มู่ฉังหมิงเอ่ยถามอย่างเยือกเย็น
จะโทษเขาว่าเป็นคนที่ขี้ระแวงไม่ได้ เพราะในยามนี้บุตรีผู้นี้เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก จนบางครั้งมู่ฉังหมิงเองก็อดสงสัยไม่ได้ว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า ใช่บุตรีผู้เงียบขรึมคนก่อนของตนหรือไม่
มู่ชิงอีกล่าวอย่างนิ่งสงบ ชิงอีอายุตั้งสิบหกปีแล้ว หากจวนซู่เฉิงโหวยังไร้ซึ่งความสุขสบายแล้วชิงอีจะสุขสบายได้เช่นไรเล่าเจ้าคะ
เมื่อได้ฟังคำกล่าวเช่นนี้ สีหน้าของมู่ฉังหมิงก็ผ่อนคลายลง เขารู้สึกว่าตัวเองคิดมากจนเกินไป
สะใภ้จังไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ตระกูลกู้ถูกทำลายและตระกูลจังก็ล่มสลายไปนานแล้ว นอกจากจวนซู่เฉิงโหว มู่ชิงอีจะพึ่งพาผู้ใดได้อีก
เด็กดี พ่อรู้ว่าในช่วงสองปีที่ผ่านมาพ่อทำผิดต่อเจ้า มู่ฉังหมิงมองดูใบหน้าอ่อนช้อยงดงามของหญิงสาวตรงหน้าด้วยความรู้สึกผิดที่แทบจะไม่เคยมีมาก่อน แล้วกล่าวว่า อีเอ๋อร์มั่นใจได้ว่าพ่อจะเลือกคู่ครองที่ดีให้เจ้า พ่อจะไม่ทำผิดต่อเจ้าอีกต่อไป เป็นเพราะพี่หญิงสามของเจ้าไม่ได้ฉลาดเฉลียว ต่อไปเจ้าคงต้องแบกรับภาระมากขึ้นแล้ว
ใบหน้าของมู่ชิงเป็นประกายเล็กน้อย พยักหน้ารับแล้วกล่าวว่า ชิงอีทราบแล้ว ข้าจะทำตามคำสั่งสอนของท่านพ่อให้ดี
มู่ฉังหมิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจแล้วกล่าวว่า ดี เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถิด พ่อยังมีเรื่องที่ต้องจัดการ
เจ้าค่ะ ชิงอีขอตัวลา
เมื่อออกจากเรือนของมู่ฉังหมิงแล้ว มู่ชิงอีก็รีบสาวเท้ามุ่งหน้าไปที่เรือนหลานจื่อ นางไม่มีเวลาพินิจสิ่งของที่นำออกมาจากศาลาชิงอานเลย แต่มีลางสังหรณ์ว่าท่านปู่ของตนจะต้องเหลือสิ่งใดไว้ให้อีกมาก ที่สำคัญที่สุด นางรู้สึกว่านี่อาจเป็นโอกาสที่ดี…โอกาสที่จะช่วยพี่ใหญ่ของนาง
ทรัพย์สมบัติที่ตระกูลกู้ทิ้งไว้นั้นช่างน่าเหลือเชื่อ บันทึกที่เฝิงจื่อสุ่ยมอบให้นางระบุว่าตระกูลกู้ไม่เพียงแต่มีร้านค้ามากกว่ายี่สิบแห่งในเมืองหลวง ยังมีร้านค้าที่ตั้งอยู่นอกเมืองหลวงอีกสามแห่ง ไม่เพียงเท่านั้น หน้าหลังของบันทึกเล่มนี้ ยังเต็มไปด้วยตั๋วเงินหนึ่งแสนตำลึงและหนึ่งหมื่นตำลึงหลายใบ ซึ่งรวมแล้วมากกว่าหนึ่งล้านตำลึง นอกจากนี้ยังมีตำแหน่งที่ซ่อนของภาพประดิษฐ์ตัวอักษรและภาพวาดโบราณต่างๆ ขุมทรัพย์ที่บรรพบุรุษเก็บเอาไว้ให้นี้ มู่ชิงอีคำนวณลองอย่างคร่าวๆ แค่ในเมืองหลวงเพียงที่เดียวก็มีประมาณสามล้านตำลึงแล้ว แต่สิ่งที่ต้องรู้คือรากฐานของตระกูลกู้นั้นไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง เพื่อไม่ให้ฮ่องเต้ต้องสงสัยเคลือบแคลงใจ กิจการของตระกูลกู้จึงไม่ได้มีเพียงแค่ในแคว้นหวาเท่านั้น แม้แต่แคว้นเพื่อนบ้านก็มีเช่นกัน
เป็นเวลาหลายร้อยปีที่ตระกูลกู้เจริญรุ่งเรือง แต่ในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมา เลือดเนื้อเชื้อสายหลักของตระกูลกลับลดน้อยลงเรื่อยๆ เป็นเพราะเหตุนี้เอง เชื้อสายรองจึงได้ถูกให้ความสำคัญแบ่งปันทรัพยากรของตระกูล ตระกูลกู้จึงยิ่งขยับขยายมากขึ้นเรื่อยๆ จำนวนคนที่มากมายเหล่านี้ก็ยิ่งทวีความน่ากลัวของตระกูลกู้มากขึ้นไปอีก
ความมั่งคั่งที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้…ไม่น่าแปลกใจเลย…ไม่น่าแปลกใจที่มู่หรงอวี้จะเต็มใจไว้ชีวิตนางและพี่ใหญ่ของนาง
แม้ว่ามู่ชิงอีจะไม่รู้จักมู่หรงอวี้เป็นอย่างดี แต่นางก็รู้ถึงนิสัยใจคอทั่วไป มู่หรงอวี้ดูสุภาพ แต่ในความเป็นจริงแล้วเย็นชาและไร้ความปราณี ปรารถนาที่จะโค่นล้มตระกูลกู้มาโดยตลอด เห็นได้จากการส่งนางไปที่หอนางโลมชุ่ยหงและส่งพี่ใหญ่ของนางไปที่จวนหนิงอ๋อง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่มีประโยชน์สำหรับเขาเลย มู่หรงอวี้นั้นไม่ได้เกลียดชังตระกูลกู้มากนัก แต่กลับมุ่งมั่นที่จะทำลายลูกหลานตระกูลกู้ จึงมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือ…เก็บไว้เพื่อจุดประสงค์อื่น
ทรัพย์สมบัติของตระกูลกู้แม้จะไม่ร่ำรวยเท่าแคว้น แต่แน่นอนว่ามู่หรงอวี้ที่เป็นเพียงองค์ชายมีชีวิตอยู่โดยการตกรางวัลจากฮ่องเต้แคว้นหวาจะสามารถเปรียบเทียบได้ หากได้ครอบครองทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลกู้ แม้ว่า…มู่หรงอวี้จะทำการกบฏยึดบัลลังก์จริงก็คงจะไม่มีอุปสรรคใด
ราษฎรเดิมไม่มีความผิด แต่เพราะมีหยกกับตัวจึงมีความผิด[1] มู่ชิงอียิ้มอย่างขมขื่น หากเป็นเพราะเหตุผลนี้จริงๆ ก็สามารถอธิบายได้เหตุใดว่ามู่หรงอวี้และฮ่องเต้ต้องการจัดการกับตระกูลกู้
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ริมฝีปากของมู่ชิงอีก็ยกขึ้นเล็กน้อย ยิ้มเย้ยหยัน
มู่หรงอวี้ยังคงไม่ละทิ้งความปรารถนาในทรัพย์สมบัติของตระกูลกู้ เช่นนั้น…ก็ขึ้นอยู่กับว่า เจ้าจะมีความสามารถมากพอหรือไม่
วันรุ่งขึ้นก็มีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวง ย้อนกลับไปในปีนั้นที่ทรัพย์สินตระกูลกู้ถูกยึดจนหมดสิ้น แต่แท้จริงแล้วความมั่งคั่งมหาศาลที่ตระกูลกู้สะสมมาเป็นเวลานานหลายร้อยปีได้ถูกโยกย้ายและซ่อนไว้โดยตระกูลกู้ล่วงหน้าแล้ว ที่สำคัญกว่านั้น ในบรรดาสมบัติเหล่านี้ ยังรวมถึงสมบัติหายากที่หายสาบสูญไปเมื่อสามร้อยปีก่อนอย่าง ‘จิ่วจ่วนหลิงหลง’ อีกด้วย ตามตำนานเล่าขานว่า หากได้ครอบครองจิ่วจ่วนหลิงหลงก็จะได้รับการยอมรับเลื่อมใสจากทั่วหล้า ข่าวลือนี้เคยได้รับการยืนยันโดยฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ต้าอู๋และฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งแคว้นหวามาแล้ว หลังจากการสิ้นพระชนม์ของไท่จู่เจี้ยเปิง จิ่วจ่วนหลิงหลงก็ได้หายสาบสูญไป
ทั่งทั้งเมืองหลวงพลันเกิดความปั่นป่วนในทันที เหล่าเชื้อพระวงศ์ก็กลายเป็นเรื่องที่น่าอับอาย ราวกับทุกคนจะตระหนักได้อย่างพร้อมเพรียงกันว่า
อ้อ…เป็นเช่นนี้นี่เอง ความจงรักภักดีของตระกูลกู้นั้นสามารถกล่าวได้ว่าเป็นที่ประจักษ์กันดี แม้ว่าตระกูลกู้จะมีเจตนาที่คิดก่อกบฏจริงๆ แต่เมื่อสามปีก่อนฮ่องเต้แคว้นหวานั้นทรงจัดการอย่างโหดเหี้ยมและหุนหันจนเกินไป แต่หากกล่าวว่าเป็นเพราะจิ่วจ่วนหลิงหลงแล้ว ก็ฟังดูสมเหตุสมผลไม่น้อย
ในเวลาเดียวกันนั้น เรื่องของตระกูลกู้ที่เคยถูกกลบฝังไปแล้วก็ถูกเปิดประเด็นยกขึ้นมาซุบซิบนินทากันอีกครั้ง กล่าวกันว่าตระกูลกู้มีความผิดอาญา ยังลืออีกว่าตระกูลกู้ซ่อนสมบัติดังกล่าวและเป็นความจริงที่ว่าตระกูลกู้มีหัวใจที่คิดทรยศอีกด้วย ไม่ว่าผู้อื่นซุบซิบนินทาแต่งเรื่องราวใหญ่โตเพียงใด เมื่อได้เข้ามาถึงหูมู่ชิงอีทั้งหมดก็เป็นเพียงเรื่องน่าขัน
ตระกูลกู้ถูกประหารชีวิตข้อหากบฏ จะมีสิ่งใดเลวร้ายไปกว่านี้อีกหรือ…
ในจวนหนิงอ๋อง มู่หรงอานนั่งบนเอ้ากี้อย่างเอื่อยเฉื่อย มองดูพี่ชายที่กำลังพุ่งตัวปรี่เข้ามาแล้วกล่าวว่า พี่หก เหตุใดถึงว่างมาพบน้องชายเช่นข้าได้เล่า ยามนี้ราชทูตจากแคว้นต่างๆ ล้วนมารวมตัวในเมืองหลวงแล้ว มู่หรงอวี้จึงยุ่งวุ่นวายอย่างมาก แม้ว่าอาการบาดเจ็บของมู่หรงอานจะยังไม่หายดี แต่ช่วงนี้มู่หรงอวี้ไม่ค่อยมีเวลามาสนใจเขา
กู้ซิ่วถิงอยู่ที่ใด มู่หรงอวี้กล่าวอย่างเคร่งขรึม
ท่าทางของมู่หรงอานเปลี่ยนไปเล็กน้อย ลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ
มู่หรงอวี้เดินไปด้านข้างหย่อนตัวนั่งลงก่อนจะเอ่ยอย่างเย็นชาว่า เจ้าไม่ได้ยินเสียงความโกลาหลด้านนอกหรืออย่างไร
มู่หรงอานมองไปที่มู่หรงอวี้ด้วยความรู้สึกผิด ช่วงนี้กู้ซิ่วถิงไม่ค่อยก่อความวุ่นวายคิดฆ่าตัวตาย บางครั้งก็ยอมเอ่ยปากพูดคุยแม้เพียงไม่กี่ประโยคก็ตาม เขากำลังมีความสุขอยู่จะมีอารมณ์ที่ไหนไปใส่ใจกับเรื่องภายนอกได้ อีกทั้งตนก็ไม่ได้สนใจเรื่องการเป็นองค์ฮ่องเต้หรือองค์รัชทายาท ก็ยิ่งไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นเลย
มู่หรงอวี้จ้องมาที่เขา เหลือบมองที่ปรึกษาที่อยู่ข้างหลังแล้วกล่าวว่า ที่ปรึกษาจู เชิญเจ้าพูด จากนั้นที่ปรึกษาจูก็บอกเล่าข่าวลือในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา มู่หรงอานขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า พี่หก ท่านสงสัยว่ากู้ซิ่งถิงเป็นคนปล่อยข่าวใช่หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นท่านอาจจะต้องสงสัยมู่หรงซีด้วยกระมัง!
ใบหน้าของมู่หรงอวี้บิดเบี้ยวเล็กน้อย หากตนสามารถมั่นใจได้ว่าข่าวมาจากมู่หรงซี จะรีบมาที่นี่เพื่อการใด ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจวนของมู่หรงซีเต็มไปด้วยหูตามากมาย ไม่เพียงแต่คนของเขาเท่านั้น ยังมีคนของเสด็จพ่อและบรรดาองค์ชายองค์อื่นด้วย ถ้ามู่หรงซีเคลื่อนไหวจริงๆ ก็แสดงว่าเขากำลังแสวงหาความตาย
ยามนี้เมืองหลวงมีข่าวลือที่เกี่ยวข้องกับตระกูลกู้ หากไม่ใช่มู่หรงซีก็มีเพียงแต่กู้ซิ่วถิงผู้เดียวเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าคิดว่าเจ้าจะยังสามารถซ่อนเขาไว้ในจวนได้นานแค่ไหน เจ้าคิดว่าเสด็จพ่อไม่รู้จริงๆ เช่นนั้นหรือว่าเจ้าแอบซ่อนผู้ใดไว้ในจวน
—————————————
[1] ราษฎรเดิมไม่มีความผิด แต่เพราะมีหยกกับตัวจึงมีความผิด หมายถึง เดิมราษฎรจะเก็บหยกเป็นของส่วนตัวไม่ได้ ชาวบ้านคนหนึ่งมีหยกได้โดยไร้เหตุผล นอกเสียจากจะขโมยจี้ปล้นมา ต่อมาใช้เปรียบเทียบความหมายว่า มีความสามารถแต่ถูกทำร้ายหรือได้รับอันตราย