หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 62 ความจริงใจขององค์ชายเก้า (4)
แต่ตนชื่นชอบที่นางเป็นเช่นนี้ แท้จริงแล้ว…ชิงชิงและเขาควรจะอยู่ด้วยกัน มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่จะเข้าใจซึ่งกันและกัน ส่วนเกอซูฮั่นนั้น…
หรงจิ่นแผ่กระจายความเยือกเย็นออกมาเล็กน้อย
นานขนาดนี้แล้วชายผู้นั้นก็ยังไม่ได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของชิงชิง เช่นนี้ก็ไม่ต้องกังวล!
มู่ชิงอีถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
หรงจิ่นไม่ใช่คนที่จะสามารถทำให้นางรู้สึกสบายใจได้เลย ต่อหน้าเขา ราวกับว่าการปกปิดทั้งหมดของนางนั้นไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย เขาสามารถมองเห็นความคิดและอารมณ์ทั้งหมดในหัวใจของนางได้เพียงแค่ชำเลืองมอง หรงจิ่นเคยบอกกับนางว่าพวกเขาเหมือนกันจนหมดจด ความเกลียดชังที่ปรากฏอยู่ในสายตานี้ และหากไม่ใช่เพราะความเกลียดชังเดียวกันในหัวใจ เขาจะมองเห็นความเกลียดชังในหัวใจของนางได้เช่นไรกัน นั่นคือความเกลียดชังที่ถูกไฟแผดเผาและหลอมละลายจนกลายเป็นโลหิตไปแล้ว
นางหลับตาและตั้งสติ เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาของมู่ชิงอีก็สงบและเรียบนิ่ง หรงจิ่นถอนหายใจด้วยความผิดหวัง
อารมณ์ที่อ่อนไหวของชิงชิงได้หายไปแล้ว ชิงชิงเตรียมตัวพร้อมสำหรับเขาแล้ว ในครั้งต่อไปมันคงไม่ง่ายเลยหากเขาต้องการแกล้งหยอกเย้าเพื่อให้เห็นอารมณ์ที่แท้จริงของนาง
เหตุใดชิงชิงถึงระวังตัวกับข้านัก แม้ว่าข้าจะรู้จักใบหน้าและตัวตนที่แท้จริงของชิงชิง แต่…ชิงชิงนั้นไม่รู้เชียวหรือว่าคนอื่นไม่มีทางล่วงรู้ได้ หรงจิ่นกล่าวอย่างไม่พอใจ
มู่ชิงอีมองไปยังชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ต่อหน้านางด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าวว่า องค์ชายเก้าพูดเกินไปแล้วเพคะ ชิงอีมีเบี้ยน้อยกว่าองค์ชายเก้า แต่…ความกังวลของชิงอีนั้นก็มีน้อยกว่าองค์ชายอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน คนที่ระวังตัวก็ควรจะเป็นองค์ชายเก้าต่างหากกระมัง
หรงจิ่นถอนหายใจ มู่ชิงอีกำลังพูดความจริงและมันก็เป็นคำเตือนด้วย มู่ชิงอีไม่มีคนใกล้ชิดและไม่มีความทะเยอทะยาน แม้ว่านางจะถูกหรงจิ่นหักหลัง สุดท้ายนางก็แค่ตายเท่านั้น แต่หรงจิ่นต่างออกไป ในฐานะที่เป็นองค์ชายที่เป็นที่โปรดปรานที่สุดของฮ่องเต่แคว้นเย่ว์ เขาต้องแอบขยับมือและเท้าเหล่านี้โดยบอกว่าเขาไม่มีความทะเยอทะยานและไม่มีแผนการใด ซึ่งหากเขาถูกมู่ชิงอีแทงอย่างลับๆ เหล่าองค์ชายแคว้นเย่ว์ก็คงจะต้องมาสิ้นชีพกันก่อนกำหนด
หรงจิ่นไม่ได้โกรธอะไร เพียงถอนหายใจไปยังมู่ชิงอี ถูกต้อง แต่ชิงชิงควรเชื่อมั่นว่าข้าผู้นี้จริงใจกับเจ้าเสมอไม่ใช่หรือ
มู่ชิงอีแอบกลอกตาของนางและเหลือบมองไปที่หรงจิ่นอย่างเย็นชา เพื่อเป็นสัญญาณให้เขาเห็นว่าควรจะหยุดได้แล้ว หรงจิ่นต้องกลับไปที่ที่นั่งของเขาด้วยความโกรธแล้วเอ่ยถามว่า ยามนี้ชิงชิงควรจะบอกข้าว่าข้าต้องทำสิ่งใดก่อน คงไม่ใช่ว่าข้าต้องทำลายเมืองหลวงใช่หรือไม่
มู่ชิงอีไม่ได้ปิดบังอะไรแล้ว จึงกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า ช่วยคน ฆ่าคนเพคะ
ช่วยใคร ฆ่าใคร หรงจิ่นเอ่ยถาม
กู้ซิ่วถิง มู่หรงอาน
กู้ซิ่วถิงคือผู้ที่ต้องถูกช่วยชีวิต ส่วนผู้ถูกฆ่านั้นแน่นอนว่าต้องเป็นมู่หรงอาน
หรงจิ่นกล่าวชื่นชมว่า ชิงชิงที่ข้าชื่นชอบผู้นี้ ช่างมีหัวใจที่โหดร้ายเสียจริง มู่หรงอานมีดวงแต่หามีแววไม่ กล้ากลับไปของานอภิเษกสมรสกับชิงชิง ต้องถูกฆ่า! แต่…เพราะเขารู้ว่าตัวเองนั้นไม่คู่ควรกับชิงชิง ข้าจะยอมให้เขาได้บอกลาก่อนตายสักสองสามคำ
มู่ชิงอีไม่สนใจฟังเรื่องไร้สาระ เพียงเหลือบตามอง หรงจิ่นจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับความพ่ายแพ้และพยักหน้ารับ เข้าใจแล้ว ชิงชิงสามารถแพร่ข่าวได้อย่างไร้ร่องรอย ข้อมูลไม่มีทางตกหล่นไปอย่างแน่นอน ชิงชิงคงต้องการยอดฝีมือที่ลงมือสังหารได้กระมัง
องค์ชายเก้าลำบากหรือไม่ ในฐานะองค์ชายที่เป็นราชทูตมายังต่างแคว้น จะต้องมียอดฝีมืออยู่รอบๆ ตัวเขา แต่ก็มีไม่มากที่จะสามารถทำเรื่องส่วนตัวได้ หรงจิ่นยกมือขึ้นเท้าคางแล้วกล่าวว่า ที่จริงข้านั้นลำบากไม่น้อย แต่หากเป็นเรื่องที่ชิงชิงต้องการ ข้าก็ยอมทนลำบาก
หรงจิ่นดึงหยกแขวนที่แกะสลักด้วยลวดลายดอกเหมยออกมาจากเอวแล้วส่งให้มู่ชิงอี ตราบใดที่ความปรารถนาของชิงชิงไม่ใช่การต่อสู้กับกองทัพของเมืองหลวง สิ่งนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำการบางอย่างได้
มู่ชิงอีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่ได้เล่นกับหยกแขวนในมือของนาง มันเป็นหยกที่งดงาม หากไม่ได้มองใกล้ๆ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเห็นลวดลายดอกเหมยบนนั้น มู่ชิงอีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองไปยังหรงจิ่นที่กำลังแย้มยิ้มมองมา นางจึงจับหยกแขวนและลูบอย่างช้าๆ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ในดวงตาของหรงจิ่นมีความประหลาดใจ เดิมหยกแขวนวงรีที่สมบูรณ์ก็ได้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ชิ้นส่วนแรกคืออันที่มอบให้ชิงอี อีกชิ้นส่วนหนึ่งถูกสร้างเป็นตราประทับ มู่ชิงอีกดตราประทับบนภาพวาดที่นางเพิ่งจะวาดอย่างใจเย็น ทิ้งรอยประทับลวดลายดอกเหมยสีแดงไว้
ข้ารู้ว่าชิงชิงเฉลียวฉลาด แต่ข้ากลับคาดไม่ถึงว่าจะรู้จักหลิงหลงสั่วด้วย หรงจิ่นอุทานออกมา
มู่ชิงอียิ้มจางๆ แล้วกล่าวว่า หากพระองค์คิดจะทำหลิงหลงสั่วและผนึกมันเป็นหยกแขวนได้ องค์ชายเก้าก็ช่างเฉลียวฉลาดเช่นกัน
หรงจิ่นลูบปลายจมูกของเขาและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า อย่างไรก็เถิด ข้าฝากมันไว้ให้เจ้าไว้ใช้งานคนตระกูลเหมยที่อยู่ในเมืองหลวงนี้ ชิงชิงเองก็อย่าทำให้ความจริงใจของข้าผิดหวัง มิฉะนั้น… หรงจิ่นยกมือขึ้นและดีดนิ้ว ชายหนุ่มชุดสีเทาโผล่เข้ามาจากประตู ชำเลืองมองไปที่มู่ชิงอีพลางทำความเคารพต่อหรงจิ่นแล้วกล่าวว่า องค์ชาย
หรงจิ่นชี้ไปที่มู่ชิงอีแล้วกล่าวว่า อู๋ซิน จากนี้ไปเจ้าติดตามชิงชิง ต่อจากนี้นางจะเป็นเจ้านายของเจ้า
มีร่องรอยของความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาที่ซื่อตรงของอู๋ซิน แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพักเขาก็ไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใด เอ่ยตอบเสียงเบา พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย อู๋ซินคารวะคุณหนูขอรับ
หรงจิ่นยิ้มให้มู่ชิงอีแล้วกล่าวว่า ชิงชิง อู๋ซินเป็นองครักษ์ที่ท่านตามอบให้ข้า จากนี้ไปเขาจะเป็นองครักษ์ของเจ้า เจ้าสามารถใช้งานเขาได้อย่างง่ายดาย จากนี้ไปเขาจะเชื่อฟังเพียงเจ้าเท่านั้น อีกทั้งยังคุ้นเคยกับตระกูลเหมยเป็นอย่างมาก มันจะสะดวกกว่าสำหรับเจ้าที่จะมีเขาไว้
มู่ชิงอีไม่ได้ตกใจอะไร เพียงพยักหน้ารับแล้วกล่าวว่า ขอบพระทัยองค์ชายเก้าอย่างยิ่งเพคะ เมื่อเห็นท่าทางและสีหน้าของนาง หรงจิ่นก็รู้ว่านางนั้นไม่ไว้ใจ แต่เขาก็ยังคงยกยิ้มโดยไม่ได้สนใจ พลันยืนขึ้นและกล่าวกับมู่ชิงอีว่า ข้าควรจะกลับแล้ว ชิงชิง ข้าจะตั้งตารอชมละครที่ดีของเจ้า
มู่ชิงอีหลับตาลงและกล่าวเบาๆ ว่า เช่นนั้น องค์ชายเก้าสามารถรอชมละครอย่างสบายใจได้เลยเพคะ
เพียงหนึ่งการโบกมือ หรงจิ่นก็ล่องลอยออกไปอย่างพลิ้วไหว
ในเรือนพลันเงียบสงัด อู๋ซินยืนอยู่เงียบๆ ที่มุมห้อง มองดูหญิงสาวที่นั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือกำลังเขียนพู่กันทำราวกับเขาไม่มีตัวตน
ที่จริงแล้วมู่ชิงอีไม่ได้ลืมว่ามีอู๋ซินอยู่ในห้องแต่นางไม่ได้วางแผนที่จะใช้งานคนผู้นี้ ประการแรก สำหรับคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิง นิสัยและความสามารถนั้นยังไม่เป็นที่ประจักษ์ดีนัก ประการที่สองอู๋ซินถือได้ว่าเป็นหูเป็นตาของหรงจิ่นที่วางไว้ที่นาง ยามนี้เมื่อทั้งสองฝ่ายยังอยู่ในขั้นตอนของการตรวจสอบ มู่ชิงอีจึงไม่ให้คนของหรงจิ่นเคลื่อนไหว
ณ ใจกลางเมืองหลวง สถานที่ที่สูงส่งที่สุดในแคว้นหวาก็คือวังหลวง ทั่วทั้งวังถูกปูด้วยกระเบื้องเคลือบสีทองส่องประกายแวววาวงดงาม ดูโอ่อ่าหรูหราเป็นอย่างมาก
ภายในพระตำหนักหวาหยาง
สตรีงดงามในอาภรณ์ผ้าปักดอกไม้สีชมพูเหลืองกำลังเอนกายนั่งอยู่บนตั่งนั่ง มองดูคนที่อยู่ด้านล่างด้วยรอยยิ้ม นางดูงดงามและสง่างามในทุกอิริยาบถแฝงไว้ด้วยเสน่ห์ของสตรี ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะมองดูอีกครั้ง
เอาล่ะ ท่านแม่ เมื่อได้ยินคำบ่นของคนข้างล่าง หญิงสาวก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า แต่เดิมเรื่องนี้ก็เกิดจากท่านแม่และน้องรองไม่ใช่หรือ