หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 7 เรือนหลานจื่อเดิม
“คุณหนู ต้องการถามเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”
มู่ชิงอีไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง “สองวันที่ข้าไม่รู้สึกตัวมานี้ มีใครมาเยี่ยมข้าบ้างหรือไม่”
จูเอ๋อร์ส่ายหัวพร้อมกับตอบกลับเบาๆ “ไม่มีเจ้าค่ะ ท่านโหวกับท่านฮูหยินผู้เฒ่าเพียงแค่ให้…อนุซุน เชิญท่านหมอมาให้ยาคุณหนูเท่านั้น คุณหนู ท่านอย่าเศร้าไปเลยนะเจ้าคะ” มู่ชิงอีส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มอย่างแผ่วเบา “ในมือข้าตอนนี้ยังมีเงินเหลืออยู่กี่ตำลึง”
จูเอ๋อร์กัดริมฝีปากไปมาอย่างลำบากใจ “ในแต่ละเดือนคุณหนูจะรับเบี้ยเลี้ยงสิบตำลึงเจ้าค่ะ แต่ว่าพอมาถึงมือพวกเราก็เหลืออยู่เพียงห้าตำลึงเท่านั้น สองปีมานี้เดิมทีก็พอจะมีเงินเก็บไว้บ้าง แต่ครั้งแรกที่คุณหนูล้มป่วยไม่รู้สึกตัว ฮูหยินบอกว่าร่างกายคุณหนูอ่อนแอนักต้องบำรุงมากๆ บ่าวจึง…” มองสีหน้าลำบากใจของจูเอ๋อร์ มู่ชิงอีก็ได้แต่ถอนหายใจอยู่ภายในใจ รู้ว่าจูเอ๋อร์ต้องนำเงินไปดูแลจวน ไปซื้อยาบำรุงมาให้ลูกพี่ลูกน้องหญิงของนางแน่ๆ จึงยกมือขึ้นปลอบโยน ลูบเบาๆ ที่มือของนาง “สักนิดก็ไม่เหลือเลยหรือ”
จูเอ๋อร์ส่ายหน้า เข้าไปในห้องอย่างรีบร้อน ไม่นานนักก็ออกมาพร้อมกับกล่องใบเล็กเก่าๆ หนึ่งใบ นำมาวางไว้ต่อหน้ามู่ชิงอี “ยังมีเศษตำลึงอยู่ส่วนหนึ่งเจ้าค่ะ รวมกันแล้วได้ประมาณ…เจ็ดแปดตำลึง เท่านี้เจ้าค่ะ”
ภายในกล่องนี้ ที่จริงแล้วยังมีเศษตำลึงเงินและเหรียญอีแปะอยู่ จูเอ๋อร์คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะล้วงนำเศษเงินในกระเป๋าพกของตัวเองออกมา “ของบ่าวยังมีอีกสามตำลึงเจ้าค่ะ” มู่ชิงอีส่ายหน้า พร้อมกับผลักมือของนางกลับคืน “เงินที่เจ้ามีอยู่ก็ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ เจ้าเก็บไว้ให้ดีเถิด ส่วนอันนี้…” สายตาจับจ้องไปที่พู่หยกธรรมดาที่อยู่ในกล่อง นัยน์ตามู่ชิงอีเป็นประกาย หยกชิ้นนี้ไม่ได้พิเศษอะไร การแกะสลักก็ค่อนข้างธรรมดา และอาจด้วยเหตุผลเช่นนี้ ลูกพี่ลูกน้องของนางถึงยังเก็บพู่หยกชิ้นนี้ไว้
นางยังจำได้ว่า พู่หยกชิ้นนี้คือของขวัญที่ตัวเองนั้นได้มอบให้นางไว้ หลังจากที่นางเริ่มเรียนแกะสลักกับท่านปู่ได้เพียงไม่นาน โดยได้แบ่งหยกนี้ออกเป็นสามส่วน ส่วนแรกแกะสลักเป็นต้นอวี้หลานเก็บไว้กับตัว ส่วนที่สองแกะเป็นต้นไผ่สูงได้มอบให้กับพี่ใหญ่ไป และส่วนที่สามแกะเป็นดอกพุดตานจึงมอบให้กับลูกพี่ลูกน้องหญิงของตน
นำพู่หยกมาถือเอาไว้ในมือ มู่ชิงอีหลับตาลงเพื่อขับไล่ความโศกเศร้า
“คุณหนูสี่เจ้าคะ ผู้ดูแลหวังมาเจ้าค่ะ” เสียงรายงานของสาวรับใช้ภายนอกประตูดังขึ้น
มู่ชิงอีเงยหน้าขึ้นมาตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “ให้นางเข้ามา”
ไม่นานนัก หญิงร่างท้วมวัยกลางคน อายุราวสี่สิบปีผู้หนึ่งก็ได้เดินเข้ามา “บ่าวคารวะคุณหนูสี่เจ้าค่ะ” มู่ชิงอีพยักหน้าตอบรับ “ผู้ดูแลหวัง มีเรื่องอันใดหรือ”
ผู้ดูแลนางนี้มีแซ่เดิมว่าเจิ้ง ได้ออกเรือนกับรองพ่อบ้านของจวนซึ่งมีแซ่หวัง และเพราะว่านางดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายภายในเรือน คนในจวนต่างเรียกนางว่าผู้ดูแลหวัง หวังเจิ้งซื่อยิ้มแล้วพูดว่า “เรียนคุณหนูสี่ ฮูหยินต้องการให้คุณหนูสี่ย้ายเรือนเจ้าค่ะ บ่าวได้ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว รบกวนคุณหนูเลือกช่วงเวลาที่จะย้ายเข้าไป”
“เรือนใดหรือ” มู่ชิงอีถามขึ้น
หวังเจิ้งซื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ยิ้มตอบ “เรือนเจี้ยงเสวี่ยทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือเจ้าค่ะ”
มู่ชิงอีหลับตาลงแล้วถามต่อ “เจ้าหรือว่าอนุซุนเป็นคนเลือก”
หวังเจิ้งซื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ยิ้มแล้วตอบว่า “เรื่องเล็กแค่นี้บ่าวไม่กล้ารบกวนฮูหยินหรอกเจ้าค่ะ คุณหนูสี่ เรือนเจี้ยงเสวี่ยนั้นถึงแม้ว่าจะไกล แต่ก็ดีกว่าเรือนหลังนี้มาก และยังใหญ่กว่าเรือนนี้ถึงสองเท่า คุณหนูสี่จะต้องชื่นชอบเป็นแน่เจ้าค่ะ” ถึงแม้ว่าใบหน้าจะยังยิ้มอยู่ แต่น้ำเสียงที่ดูสูงแหลมขึ้นนั้น ทำให้ดูเหมือนว่าเรือนใหม่นั้นดีกว่าเรือนเก่ามากโข ความหมายเป็นเชิงว่าสำหรับคุณหนูสี่แค่นี้คงพอแล้ว
“บังอาจ!” มู่ชิงอีเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำพร้อมกับตบลงบนโต๊ะ
“คุณ…คุณหนูสี่?” นึกไม่ถึงว่ามู่ชิงอีจะโมโหขึ้นมาทันที หวังเจิ้งซื่อนิ่งชะงักอย่างลืมตัว เพียงไม่นานก็กลับมาอยู่ในท่าทีปกติ ขมวดคิ้วแล้วขมวดคิ้วอีก “ไม่ทราบว่าคุณหนูสี่มีอะไรไม่พอใจกับสถานที่หรือเจ้าคะ บ่าวจะได้เรียนแจ้งกับฮูหยิน ฮูหยินเองก็บอกว่าเรือนเจี้ยงเสวี่ยนั้นดีอย่างมากเจ้าค่ะ”
มู่ชิงอียิ้มหยันเอ่ยขึ้น “เดิมทีอนุซุนเองก็อนุญาตแล้ว เป็นอย่างนี้นี่เอง เช่นนั้นข้าจะไปหาอนุซุนกับท่านย่า ข้าจะถามเสียหน่อยว่า การที่มอบเรือนของอนุคนเก่าที่ตายไปแล้วให้เป็นเรือนส่วนตัวของหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนอยู่นั้น มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่!”
เห็นมู่ชิงอีที่โกรธจนตัวสั่น ลุกขึ้นยืนทำท่าราวกับว่าจะเดินออกไปข้างนอก หวังเจิ้งซื่อจึงรีบเอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว “คุณหนูสี่! คุณหนูสี่เจ้าคะ…อนุเซวียก็จากโลกนี้ไปได้สี่กว่าปีแล้ว เรือนหลังนั้นจึงเว้นว่างมาตลอด คุณหนูสี่ทำแบบนี้ค่อนข้างจะ…” หวังเจิ้งซื่อไม่ได้พูดต่อ ทว่าสิ่งที่ปรากฏออกมาทางสายตานั้นกลับชัดเจนว่า มู่ชิงอีทำแบบนี้ดูจะเป็นการจงใจสร้างปัญหาเกินไปแล้ว
มู่ชิงอียิ้มเยาะ กวาดตามองไปที่หวังเจิ้งซื่อครู่หนึ่งก่อนที่จะเดินออกไปข้างนอก
หวังเจิ้งซื่อนึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าคุณหนูสี่ผู้อ่อนแอที่เมื่อก่อนไม่กล้าแม้แต่จะตอบโต้ จู่ๆ ก็โกรธและโวยวายไปถึงฮูหยินผู้เฒ่า แม้ว่าหลายปีมานี้จวนแห่งนี้จะกดคุณหนูสี่เอาไว้ ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่นั่นเป็นเพราะว่าคุณหนูสี่ไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมา ถ้าเมื่อก่อนคุณหนูสี่ไปฟ้องฮูหยินผู้เฒ่าเพื่อรักษาเกียรติของจวนซู่เฉิงโหว ฮูหยินเฒ่าคงจะไม่มีทางลำเอียงเป็นแน่
นางนิ่งตะลึงเพียงไม่นาน มู่ชิงอีก็เดินออกไปยังด้านนอกแล้ว หวังเจิ้งซื่อเมื่อได้สติกลับคืนมาก็รีบกระทืบเท้าตามออกไป “ไอ๊หยา คุณหนูสี่…คุณหนูสี่อย่าเพิ่งโกรธสิเจ้าคะ…”
มู่ชิงอีหันกลับมามองนางด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ผู้ดูแลหวัง ต้องการพูดอะไรอีกหรือ”
หวังเจิ้งซื่อขบฟันไปมา “คุณหนูสี่ เรื่องนี้…ฮูหยินได้เรียนกับท่านโหวแล้ว ท่านโหวเองก็บอกว่าเรือนเจี้ยงเสวี่ยก็พอดีแล้ว…” เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ใบหน้าที่งดงามของมู่ชิงอีก็พลันหม่นหมองขึ้นมา หวังเจิ้งซื่อกำลังพยายามเกลี้ยกล่อมนางที่ไหนกันเล่า นี่กำลังข่มขู่กันชัดๆ ในตอนนั้นกฎของจวนตระกูลกู้เข้มงวดมาก บ่าวรับใช้ที่กล้าหลอกลวงเจ้านายแบบนี้ค่อนข้างหาได้ยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่านางจะจัดการกับบ่าวเจ้าเล่ห์แบบนี้ไม่ได้ เพียงแต่ยังไม่ใช่วันนี้ ยังไม่คิดจะจัดการกับนาง แต่จะจัดการกับเจ้านายของนางต่างหาก!
ไม่สนใจหวังเจิ้งซื่อ มู่ชิงอีพาจูเอ๋อร์มุ่งหน้าไปที่เรือนเต๋ออานของฮูหยินผู้เฒ่า เอ่ยปากกำชับกับสาวใช้ที่ยืนอยู่ว่า “ไปเชิญท่านพ่อข้าที่ห้องหนังสือให้มาที่เรือนเต๋ออาน บอกว่าชิงอีมีเรื่องที่จะขอคำปรึกษาจากท่านพ่อ”
มองมู่ชิงอีเดินจากไป สีหน้าของหวังเจิ้งซื่อก็บิดเบี้ยวขึ้นมาทันที พลางจ้องมองสาวใช้ที่อยู่ข้างกายแล้วรีบพูด “ยังไม่รีบไปรายงานฮูหยินอีก!” การที่ให้คุณหนูย้ายมาอยู่ที่เรือนเจี้ยงเสวี่ยนั้นเป็นการวางแผนแก้แค้นของฮูหยินที่ถูกคุณหนูสี่ทำให้อับอายขายขี้หน้าในสวนเมื่อเช้า หากไม่สั่งสอนคุณหนูสี่สักนิดล่ะก็ คนจะดูหมิ่นฮูหยินเอาได้ นางเป็นถึงบ่าวรับใช้ของฮูหยิน ปกติฮูหยินนั้นคิดอะไรนางก็พูดออกมาอย่างนั้น ก็แค่คิดไม่ถึงว่าคุณหนูสี่หลังจากที่ตื่นจากอาการป่วยก็ไม่ง่ายที่จะรับมือเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เมื่อครู่นี้ที่พบกับคุณหนูสี่ ก็พลันทำให้นางนึกถึงฮูหยินคนก่อนขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ราวกับว่ายังไม่ได้จากโลกนี้ไป
มู่ชิงอีไม่ได้เดินเร็วมากนัก นางเดินไปสักพักถึงจะถึงเรือนเต๋ออานเพื่อพบฮูหยินผู้เฒ่า และอีกสักพักถึงจะได้พบกับฮูหยินผู้เฒ่า เวลานั้น ซุนฮูหยินกับมู่ฉังหมิงก็มาถึงแล้วเช่นกัน ยังมีมู่เชิน มู่หลิงที่ติดตามมาด้วย มู่เชินหันหน้ามายิ้มให้มู่ชิงอีอย่างเป็นมิตร แต่มู่หลิงกลับจ้องนางอย่างคลุมเครือ
มู่ฮูหยินผู้เฒ่ากวาดตามองทุกคน ขมวดคิ้วถาม “เกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดถึงมากันหมดเลยเล่า”
มู่ชิงอีก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “เรียนท่านย่า ชิงอีเชิญท่านพ่อมาเองเจ้าค่ะ รบกวนเวลาพักผ่อนของท่านย่า ท่านย่าโปรดลงโทษหลานด้วย”
มู่ฮูหยินผู้เฒ่ามองไปที่มู่ชิงอีอย่างครุ่นคิด “คนแก่อย่างข้าปกติก็ว่าง มีอะไรให้รบกวนกันล่ะ พ่อเจ้าต่างหากที่มัวแต่ยุ่งกับงานราชการ แล้วมีเรื่องอะไรที่ย่าคนนี้นั้นไม่สามารถทำให้เจ้าได้หรือ” ความหมายก็คือ ไม่พอใจเล็กน้อยที่มู่ชิงอีหยิบยกเรื่องหลังเรือนมารบกวนมู่ฉังหมิง