หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 8 การอบรมสั่งสอนของมารดามู่ (1)
มู่ชิงอีก็แค่ทำเป็นฟังไม่เข้าใจ ก้มหน้าตอบเอ่ยเสียงเบา “ท่านย่าเองก็รักใคร่หลานสาวของตัวเองเจ้าค่ะ แต่ว่าเรื่องนี้ผู้ดูแลหวังบอกว่าท่านพ่ออนุญาตแล้ว หลาน…หลานไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงมาถามท่านพ่อต่อหน้าท่านย่า ถ้าหากว่ารังเกียจชิงอีเห็นว่ารกหูรกตา ชิงอียินดีที่จะไปอยู่อารามนอกเมืองและไว้ทุกข์ให้ท่านแม่…”
“ไร้สาระ!” มู่ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเข้ม พอมองไปยังมู่ชิงอีที่ก้มหน้าท่าทางน้อยใจอยู่นั้น มู่ฮูหยินผู้เฒ่าก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ พูดมาดีๆ เอ่ยถึงอารามได้อย่างไร นี่คือสิ่งที่บุตรสาวตระกูลนี้ควรพูดหรือ”
สะใภ้ซุนที่นั่งอยู่ถัดจากมู่ฉังหมิงไปสีหน้าดูไม่ดีเท่าไร รีบยิ้มและเอ่ย “ท่านแม่ เรื่องนี้ข้าจัดการได้ไม่เหมาะสมเอง ก่อนหน้านี้นายท่านบอกว่าอยากให้คุณหนูสี่เปลี่ยนเรือนพำนักอาศัย เป็นข้าเองที่จัดการดูแลไม่ทั่วถึง คุณหนูสี่จึงไม่ชอบเรือนหลังใหม่เท่านั้นเจ้าค่ะ”
มู่ฮูหยินผู้เฒ่าค่อยๆ เหลือบมองนาง สะใภ้ซุนรู้สึกสูญเสียความมั่นใจ แต่ต้องยิ้มรับเอาไว้
มู่ฉังหมิงขมวดคิ้ว “ชิงอี เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ เรือนไม่เหมาะสมก็แค่ย้าย เหตุใดถึงต้องวุ่นวายมาหาท่านย่าของเจ้าถึงที่นี่ เจ้าก็อายุไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ทำไมถึงไม่รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรเช่นนี้”
มู่ชิงอีเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาแดงก่ำ ริมฝีปากแดงนั้นถูกกัดจนซีด ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เรือนที่ลูกอยู่ตอนนี้ เดิมทีคือเรือนที่อนุหลี่เคยอยู่ อนุหลี่ที่ถูกไล่ออกจากจวน ลูกก็ไม่ได้ตัดพ้ออะไร แต่ตอนนี้ท่านพ่อกลับจะให้ลูกไปอยู่ที่เรือนเจี้ยงเสวี่ย เรือนเจี้ยงเสวี่ย…เดิมทีอนุเซวียเคยอยู่และเสียชีวิตที่เรือนเจี้ยงเสวี่ยอย่างไม่รู้สาเหตุแน่ชัด ข้าไม่เข้าใจที่ท่านพ่อทำเช่นนี้…บางทีถ้าลูกไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลยยังจะดีเสียกว่า!”
หลังคำพูดนี้ได้ถูกพูดออกมา สีหน้าของมู่ฉังหมิงและมู่ฮูหยินผู้เฒ่าก็แสดงถึงความรู้สึกแปลกใจขึ้นมา มอบเรือนพำนักที่อนุภรรยาเคยอยู่ให้กับบุตรสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานออกเรือนอยู่อาศัย เดิมทีก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกจารีตประเพณีนัก เพียงเพราะว่าเหตุผลที่ไม่ควรพูดออกมาพวกเขาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นแล้ว แต่ว่าเรือนเจี้ยงเสวี่ยนั่นที่หลายปีมาแล้วที่ไม่มีผู้ใดพักอยู่ ในตอนแรกมีอนุภรรยานางหนึ่งได้ทำการปลิดชีพตัวเองในเรือนหลังนี้ แล้วสถานที่เช่นนี้ยังจะให้บุตรสาวภรรยาเอกของจวนพำนักอยู่? ถ้าคนนอกมารู้เข้า จะเป็นเรื่องใหญ่กว่านี้ และเรื่องนี้อาจทำให้เห็นเจตนาของสะใภ้ซุนได้ชัดเจน
มู่ฮูหยินผู้เฒ่าแท้จริงแล้วไม่ได้อยากพบหน้ามู่ชิงอีนัก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่านางจะชอบสะใภ้ซุน นางจะละเลยมู่ชิงอีได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าสะใภ้ซุนจะมากดขี่บุตรสาวภรรยาเอกแห่งจวนซู่เฉิงโหวได้ตรงๆ เช่นนี้ ที่สำคัญที่สุดถ้าเรื่องมันถูกเผยแพร่ออกไป จวนซู่เฉิงโหวคงจะไม่เหลือเกียรติอะไรอีกแล้ว
“สะใภ้ซุน!” มู่ฮูหยินผู้เฒ่ามีท่าทีไม่พอใจ
ทำให้สะใภ้ซุนตกใจสะดุ้ง เร่งรีบลุกขึ้นด้วยท่าทางที่อ่อนแรง “ฮู…ฮูหยินผู้เฒ่า”
“เจ้าสร้างเรื่องดีเสียขนาดนี้ เพียงแค่ข้าจัดการเรื่องพวกนี้น้อยลง เจ้าถึงกล้าทำเรื่องแบบนี้ออกมา โชคดีที่ข้าไม่ได้มอบจวนซู่เฉิงโหวไว้ในมือเจ้า ไม่เช่นนั้น ศักดิ์ศรีของจวนซู่เฉิงโหวไม่หายไปหมดหรอกหรือ หลายปีมาแล้วเช่นนี้…มิน่าเล่ายังไม่สามารถโดดเด่นขึ้นมาได้!” มู่ฮูหยินผู้เฒ่าตำหนิสะใภ้ซุนอย่างไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย สะใภ้ซุนทำได้แค่ฟังด้วยสีหน้าซีดเซียว อีกด้านหนึ่ง ซู่เฉิงโหวเริ่มร้อนรนทนไม่ไหว “ท่านแม่ เตี๋ยเอ๋อร์เพียงแค่หละหลวมเท่านั้น… “
ได้ยินคำว่า ‘เตี๋ยเอ๋อร์’ ที่ใช้เรียกสะใภ้ซุนสองคำนี้ไป ริมฝีปากของมู่ฮูหยินผู้เฒ่ากระตุกเล็กน้อย “พอแล้ว! ข้าไม่อยากฟังเจ้าพูดเรื่องพวกนี้ พูดเรื่อง…แผนจัดการเรือนของอีเอ๋อร์เถิด”
มู่ฉังหมิงขมวดคิ้ว ไม่พอใจบุตรสาวที่หลังจากฟื้นขึ้นมาก็ก่อเรื่องซ้ำแล้วซ้ำเล่า พูดอย่างไม่แยแส “ตามแต่ท่านแม่จะจัดการอย่างเห็นควรเถิด”
มู่ฮูหยินผู้เฒ่ากวาดตามองไปที่สะใภ้ซุน พร้อมกับส่ายหน้า “ช่างเถิด ข้าดูแล้วทุกวันนี้ร่างกายของอีเอ๋อร์ก็ดีขึ้นไม่น้อย ก็ให้ย้ายกลับไปที่เรือนเดิมเสีย”
“ท่านแม่?” มู่ฉังหมิงขมวดคิ้ว เรือนที่มู่ชิงอีพักอยู่เมื่อก่อนนั้น ถือเป็นเรือนที่ดีที่สุดในจวนซู่เฉิงโหว หากไม่นับรวมเรือนเต๋ออาน ชื่อว่าเรือนหลานจื่อ หลังจากที่สะใภ้จังได้จากโลกนี้ไป มู่ชิงอีก็มาล้มป่วยนอนติดเตียง ต่อมานักบวชลัทธิเต๋าบอกว่าเรือนหลานจื่อนั้นชงกับมู่ชิงอีจึงได้ย้ายนางให้ไปอยู่ที่เรือนปัจจุบัน ที่สำคัญก็คือเขาได้รับคำกับอวิ๋นหรงไปแล้ว ว่าจะให้นางแต่งในเรือนหลานจื่อ
มู่ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ ส่ายหัวอย่างอิดโรย “หุบปาก! บุตรภรรยาเอกและอนุภรรยานั้นมีศักดิ์ต่างกัน มารดาของมู่ชิงอีนั้นเป็นถึงฉินกั๋วฮูหยิน นางเป็นหญิงที่สูงศักดิ์ที่สุดแล้วในจวนซู่เฉิงโหวของเรา เจ้าเข้าใจชัดเจนแล้วหรือยัง” ถึงแม้ว่าประโยคนี้เอ่ยบอกกับมู่ฉังหมิง ทว่าสายตาของมู่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับมุ่งตรงไปยังสะใภ้ซุน
สะใภ้ซุนอดกลั้นความสั่นสะท้านไว้ไม่ไหว ความรู้สึกอัปยศอดสูซัดกระหน่ำเข้ามากลางใจ ความรู้สึกเกลียดชังมู่ชิงอีก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น นางรู้…หากเทียบกับตอนที่สะใภ้จังยังมีชีวิตอยู่ ตอนนั้นมู่ฮูหยินผู้เฒ่าเกลียดตนกว่านี้ยิ่งนัก ถึงแม้ว่าท่านโหวจะโปรดปรานตน แม้ว่าบุตรชายบุตรสาวของตนจะโดดเด่นมีความสามารถมากเพียงใด ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงได้ว่าฐานะเดิมของตนนั้นเป็นเพียงบ่าวรับใช้ ตลอดชีวิตของมู่ฮูหยินผู้เฒ่าที่หยิ่งทะนงองอาจ จะทนเรื่องที่ลูกสะใภ้ตัวเองเป็นเพียงบ่าวรับใช้ได้เช่นไร ไม่ใช่เพียงท่านโหวโปรดปรานตนเท่านั้น ยังมีโหรวเฟยในวังหลวง และอวิ๋นหรงที่กำลังจะแต่งกับหนิงอ๋อง และยังมีหลิงเอ๋อร์ที่ท่านโหวให้ความสำคัญที่สุด ดังนั้นถึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรตัวเองได้ก็ไม่เป็นไร มู่ฮูหยินผู้เฒ่าตักเตือนและกดดันตนเช่นนี้ ก็ยังดีเสียกว่ายื่นมือช่วยเหลือมู่ชิงอี แต่ว่าเรื่องที่กลับกลายมาเป็นอย่างนี้ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่า เรื่องน่าอัปยศอดสูเช่นนี้นั้นมาจาก มู่ชิงอี!
มู่ฉังหมิงมองสะใภ้ซุนอย่างรู้สึกผิด ถอนหายใจเบาๆ “ช่างเถิด ฟังท่านแม่เถิด”
มู่ฮูหยินผู้เฒ่าถึงได้พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เอ่ยกับมู่ชิงอี “อีเอ๋อร์ ไปทำความสะอาดแล้วย้ายเข้าเรือนหลานจื่อเถิด แล้วก็นางหวังเจิ้งซื่อนั่น ให้ลงโทษหนักโบยนางยี่สิบไม้” มู่ชิงอีพยักหน้าอย่างน่าเอ็นดู ทำความเคารพด้วยท่าทางนอบน้อม “ชิงอีขอบพระคุณท่านย่าอย่างสุดซึ้ง ขอบพระคุณท่านพ่อ ชิงอีขอตัวลาเจ้าค่ะ”
มองมู่ชิงอีที่เดินจากไป มู่ฮูหยินผู้เฒ่าก็เอ่ยขึ้นเบาๆ “ชิงอีฟื้นขึ้นมาคราวนี้ นางรู้ความขึ้นมากนัก”
หน้าประตู มู่ชิงอีแววตาเป็นประกาย สาวเท้าก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดแม้แต่น้อย
ในเรือนเต๋ออานที่เงียบสงบ เหลือเพียงมู่ฮูหยินผู้เฒ่ากับมู่ฉังหมิงสองคน มู่ฉังหมิงนั่งลง มองมู่ฮูหยินผู้เฒ่าอย่างไม่สบายใจ เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ท่านแม่ มีเรื่องอันใดจะพูดหรือ”
มู่ฮูหยินผู้เฒ่าค่อยๆ กวาดสายตาไปที่เขา “เมื่อครู่นี้ข้าแค่ฉีกหน้าของซุนเตี๋ยไป เจ้าไม่ก็ไม่พอใจแล้ว?”
มู่ฉังหมิงรีบเอ่ย “ลูกไม่บังอาจ ท่านแม่พูดเกินไปแล้ว เตี๋ยเอ๋อร์นาง…นางเองก็ไม่ได้ตั้งใจ ท่านแม่อย่าได้ถือสาหาความกับคนความรู้น้อยอย่างนางเลย”
“เหลวไหล!” มู่ฮูหยินเฒ่าจ้องเขม็งไปที่บุตรชาย “ไม่ได้ตั้งใจเช่นนั้นหรือ คงมีแค่เจ้าที่คิดเช่นนี้ เจ้าคิดหรือไม่ว่า เหตุใดข้าถึงยืนกรานที่จะให้เจ้าหนูสี่ย้ายกลับไปที่เรือนหลานจื่อกันเล่า”
“ท่านแม่โปรดชี้แจงให้เข้าใจ” มู่ฉังหมิงก้มหน้าลง
มู่ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจ “อย่าพูดถึงเรื่องอื่น เจ้าหนูสี่เป็นถึงบุตรสาวภรรยาเอก ฮูหยินแห่งจวนซู่เฉิงโหว มารดาของนางก็มียศบรรดาศักดิ์ที่ฮ่องเต้แต่งตั้งให้เป็นถึงฉินกั๋วฮูหยิน เจ้าก็อย่าโทษข้าที่ดูแคลนสะใภ้ซุนเช่นนี้ หลังจากที่สะใภ้จังจากไป ตระกูลจังก็ไม่มีใครแล้ว ควรมีแม่เลี้ยงที่มีประสบการณ์เลี้ยงดูบุตรสาวภรรยาเอกคนนี้ให้ดี ต่อไปเพียงหาคนดีๆ มาแต่งกับนางก็พอแล้ว เท่านี้ก็จะได้ไม่ต้องเกี่ยวข้องอะไรกับตัวเองมากแล้ว คนนอกใครบ้างเล่าที่จะไม่ชื่นชมในคุณงามความดีนี้ แต่เจ้าดูสิ่งที่สะใภ้ซุนทำสิ หลายปีมานี้เจ้าหนูสี่ต้องผ่านอะไรมาบ้างในแต่ละวัน ถูกนางเลี้ยงดูเช่นไร ข้าก็บอกเจ้าตั้งนานแล้วว่าฐานะสาวใช้นั้นเชิดหน้าชูตาไม่ได้ พอข้าจะหาคู่ที่เหมาะสมทางฐานะมาแต่งให้เจ้าตั้งแต่เนิ่นๆ เจ้าก็ดื้อไม่ยอมฟัง เจ้าคงคิดว่าจวนซู่เฉิงโหวของพวกเรานั้นชื่อมีชื่อเสียงในทางที่ดีนักกระมัง”
ใบหน้าของมู่ฉังหมิงยังคงมีสีหน้าที่ไม่เห็นด้วย