หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 102 ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร (1)
ในขณะนี้มู่ชิงอีรู้สึกซาบซึ้งในการกระทำของหรงจิ่นอย่างมากที่ไว้ชีวิตของมู่หรงอาน
เหตุใดจะปล่อยให้เขาตายไปอย่างง่ายๆ ได้เล่า นางต้องการที่จะทำลายเขาให้เป็นเสี่ยงๆ ให้เขาอยู่อย่างตายทั้งเป็น!
เมื่อมองไปที่หญิงสาวที่นั่งสงบอยู่บนเก้าอี้แต่กลับมีกลิ่นอายอันเยือกเย็นจนน่าหวาดกลัว เฝิงจื่อสุ่ยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียวสันหลัง ในขณะเดียวกันภายในใจก็แอบรู้สึกผิด
น่าเสียดายที่คุณหนูไม่ใช่เจ้านายตัวจริง ไม่เช่นนั้นก็เกรงว่าอนาคตนั้นก็ยากที่จะเป็นจริง
มู่ชิงอีหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด เกลียดชังตัวเองที่ก่อนหน้านี้ใจร้อนเกินไป
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ตนยัดเยียดหยกแขวนและตระกูลกู้ให้กับพี่ใหญ่เพราะต้องการให้พี่ใหญ่รับผิดชอบหน้าที่ฟื้นฟูตระกูลกู้ ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งมันก็คือการบีบบังคับพี่ใหญ่ต้องเผชิญกับอดีตที่เจ็บปวดเหล่านั้น! กู้อวิ๋นเกอ เจ้ามันสมควรตายเสียจริง!
คุณหนู? เฝิงจื่อสุ่ยเอ่ยเรียกด้วยความเป็นห่วง เขารู้ว่าสิ่งที่ตนเพิ่งพูดไปอาจส่งผลกระทบกับคุณหนูอย่างมาก แต่หากคุณหนูเป็นเช่นนี้ต่อไปต้องไม่ดีแน่ อีกทั้งตัวเขาที่อยู่เคียงข้างก็จะทนไม่ไหวอีกต่อไปเช่นกัน จึงต้องพูดเกลี้ยกล่อม คุณหนูไม่ต้องกังวล คุณชายใหญ่ยังไม่ได้เข้าตาจน เพียงแค่คุณหนูอย่าวู่วามเกินไปก็พอแล้วขอรับ
มู่ชิงอีที่เก้อเขินเพราะความละอายใจ พยักหน้าพลางกล่าวขึ้น ขอบคุณท่านเฝิงมากสำหรับคำแนะนำ
เฝิงจื่อสุ่ยพยักหน้า ยิ้มแล้วกล่าวว่า ในแง่ของความสามารถและกลยุทธ์ ข้าน้อยไม่อาจเทียบคุณหนูได้ แต่เพียงเพราะคุณหนูนั้นยังเยาว์วัยนักอาจมีบางเรื่องที่คาดไม่ถึงจึงยากที่จะหลีกเลี่ยงได้เช่นกัน ในมุมมองของเฝิงจื่อสุ่ยการที่มู่ชิงอีคาดไม่ถึงเรื่องเหล่านี้นั้นเป็นเรื่องปกติอย่างมาก อย่างไรเสียมู่ชิงอีก็ยังคงเป็นบุตรสาวในตระกูลมั่งคั่งและเป็นการยากที่จะเข้าใจผลกระทบบางอย่างที่มีต่อบุรุษ เดิมทีแน่นอนว่ามู่ชิงอีนั้นไม่ได้คิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เลย เฝิงจื่อสุ่ยเชื่อว่าเพราะมู่ชิงอีนั้นห่วงใยกู้ซิ่วถิงอย่างแท้จริงๆ จึงไม่สนใจเรื่องพวกนั้นเลย
มู่ชิงอีที่เขินอายเล็กน้อย กล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆว่า ท่านชมข้าเกินไปแล้ว หลังจากนี้มีอีกหลายเรื่องที่ข้าต้องให้ท่านช่วยชี้แนะ
เฝิงจื่อสุ่ยพยักหน้าอย่างเคร่งขรึมแล้วกล่าวว่า บุญคุณของตระกูลกู้ที่มีต่อเฝิงจื่อสุ่ยนั้นใหญ่โตราวกับภูเขา แม้จะมีคำสั่งเช่นใดข้าน้อยก็ยินดีน้อมรับ
ทั้งสองอดไม่ได้ที่จะยิ้มให้กัน เพราะหากเกรงใจกันอยู่เช่นนี้ไปเรื่อยๆ จะยิ่งดูไม่จริงใจ มู่ชิงอีที่กำลังต้องการจะถามเกี่ยวกับเรื่องในจวนหนิงอ๋องแต่เสี่ยวเอ้อร์ที่อยู่ภายนอกนั้นก็เข้ามาขัดจังหวะ เถ้าแก่ ด้านนอก…องค์หญิงห้าพาหย่งจยาจวิ้นจู่จากแคว้นเป่ยฮั่นและองค์หญิงไหวหยางจากแคว้นเย่ว์มาที่นี่ขอรับ เฝิงจื่อสุ่ยไม่สนใจพลางขมวดคิ้วไม่พอใจเล็กน้อย มาก็ให้มาไปสิ ดูแลให้ดีก็พอแล้ว เชื้อพระวงศ์มาที่ศาลาชิงอานจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แม้ว่าบรรดาศักดิ์ของสตรีเหล่านั้นจะสูงส่งแต่มันกลับไม่สำคัญถึงขั้นที่เถ้าแก่อย่างเฝิงจื่อสุ่ยนั้นจำเป็นต้องมาต้อนรับด้วยตัวเขาเอง ไม่เช่นนั้นในวันๆ หนึ่งเฝิงจื่อสุ่ยคงไม่ต้องทำสิ่งใดแค่มารอต้อนรับที่หน้าประตูก็หมดวันแล้ว
เสี่ยวเอ้อร์กล่าวอย่างลำบากใจเล็กน้อย แต่…ภายในโถงไม่มีที่นั่งเหลือแล้วขอรับและองค์หญิงห้าก็ยืนกรานที่จะไม่นั่งในห้องด้านข้างด้วย นางต้องการ…ต้องการจะแย่งที่นั่งของอานซีจวิ้นอ๋องให้ได้เลย
อานซีจวิ้นอ๋อง? แต่ในครั้งนี้แม้แต่ท่านเฟิ่งจังที่สุขุมและสงบนิ่งอยู่เสมอก็อดไม่ที่จะแสดงท่าทีปวดหัวกับเรื่องนี้ออกมา มู่ชิงอีอดยิ้มไม่ได้พลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย ท่านเฝิง อานซีจวิ้นอ๋องผู้นี้มีอะไรพิเศษอย่างนั้นหรือ
สำหรับมู่ชิงอีแล้ว อานซีจวิ้นอ๋องผู้นี้ถือว่าไม่ได้คุ้นเคยกันนักแต่ก็รู้จักชื่อเสียงอยู่บ้าง อานซีจวิ้นอ๋องในรุ่นปัจจุบันนี้มีนามว่าจ้าวจื่ออวี้ แตกต่างจากจูเปี้ยนซึ่งเป็นผิงหนานจวิ้นอ๋อง เพราะจ้าวจื่ออวี้ในปีนี้มีอายุเพียงยี่สิบห้าเท่านั้น อานซีจวิ้นอ๋องรุ่นก่อนได้จากโลกนี้ไปด้วยอาการป่วยเมื่อเจ็ดปีก่อนในวัยเพียงสิบแปดปี เด็กหนุ่มที่อายุยังไม่เหมาะแก่การปกครองจึงต้องขึ้นมารับหน้าที่ยิ่งใหญ่นี้แทน เดิมทีหลายคนคิดว่าจวนของอานซีจวิ้นอ๋องนั้นได้ถึงการล่มสลายแล้วแต่คิดไม่ถึงเลยว่าจ้าวจื่ออวี้ในวัยไม่ถึงยี่สิบปีนั้นจะเสนอตัวเองไปปกป้องชายแดน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเขากลับประสบความสำเร็จในด้านการรบอย่างโดดเด่นและได้รับความรักและความไว้วางใจจากฮ่องเต้แคว้นหวาอย่างมาก ในตอนที่กู้อวิ๋นเกอยังคงอยู่ในหอนางโลมชุ่ยหงเคยได้ยินคนกล่าวว่าฮ่องเต้นั้นถึงกับตั้งใจจะแต่งตั้งจ้าวจื่ออวี้ให้เป็นองค์ชายเลยทีเดียว ตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นหวาขึ้นมามีคนเพียงไม่กี่คนที่ได้แต่งตั้งเป็นองค์ชายแม้มีแซ่อื่น ด้วยเหตุนี้ผู้คนต่างก็แตกตื่นตกใจ แต่กลับถูกจ้าวจื่ออวี้ปฏิเสธเสียก่อนไม่เพียงแต่ฮ่องเต้แคว้นหวาจะไม่พิโรธแต่กลับตกรางวัลให้กับจ้าวจื่ออวี้เป็นทองสองหมื่นชั่งพร้อมกระบี่จ้านหลู
บุคคลเช่นนี้ ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าต้องเป็นผู้มากความสามารถแน่นอน แม้แต่องค์ชายก็ยังไม่กล้าที่จะยั่วโมโหเขาเลย จ้าวจื่ออวี้มักจะไม่ลงรอยกับหนิงอ๋องมู่หรงอานอยู่เสมอ มีหลายครั้งที่ทะเลาะวิวาทกันต่อหน้าฮ่องเต้ แต่เนื่องจากฮ่องเต้นั้นเห็นแก่หน้าจ้าวจื่ออวี้เป็นส่วนมากจึงเข้าข้างเขาและมีน้อยครั้งที่จะว่ากันไปตามผิดโดยไม่เลือกปฏิบัติ มู่หรงอานแม้จะเป็นถึงองค์ชายแต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาได้เปรียบไปกว่าจ้าวจื่ออวี้เลยและสิ่งนี้ก็ทำให้จ้าวจื่ออวี้นั้นเย็นชาต่อมู่หรงอานอยู่เสมอ
ถ้าองค์หญิงห้าผู้นี้สมองไม่ได้มีปัญหาก็จะรู้ว่าบุคคลเช่นนี้ไม่ควรที่จะไปยั่วโมโห หรือเพราะองค์หญิงห้าคิดว่านางเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ พระองค์จะต้องเข้าข้างนางโดยไร้เงื่อนไข?
องค์หญิงห้ากับอานซีจวิ้นอ๋องมาเที่ยวพักผ่อน? มู่ชิงอีถาม
เฝิงจื่อสุ่ยพยักหน้า ผู้หนึ่งเป็นองค์หญิงที่พำนักอยู่ในราชฐานชั้นในและอีกผู้หนึ่งเป็นจวิ้นอ๋องที่ประจำการอยู่ที่แคว้นชายแดนมาเป็นเวลานานซึ่งเป็นการยากที่จะได้มีวันพักผ่อน มู่ชิงอีหรี่ตาลงพลางครุ่นคิดในใจเล็กน้อยและหัวเราะออกมา ไม่ใช่ว่าองค์หญิงห้านั้นชอบอานซีจวิ้นอ๋องอย่างนั้นหรอกหรือ
เฝิงจื่อสุ่ยอึ้งไปพักหนึ่ง เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา ถามกลับด้วยความสงสัย นี่…ไม่น่าเป็นไปได้ใช่หรือไม่ เหมือนข้าได้ยินว่าองค์หญิงห้านั้นไม่ได้ชอบผู้บัญชาการทหารนะขอรับ องค์หญิงห้า…ไม่ได้ชื่นชอบคุณชายเว่ยอย่างนั้นหรอกหรือ
มีเรื่องเช่นนี้ด้วย? มู่ชิงอีอดไม่ได้ที่จะสงสัยบ้างเช่นกัน ดูเหมือนว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีสิ่งที่น่าสนใจเกิดขึ้นมากมายภายในเมืองหลวงที่นางพลาดไป เฝิงจื่อสุ่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ปรบมือพลางหัวเราะออกมา ข้าลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรกันนะ!
มู่ชิงอีเลิกคิ้ว เฝิงจื่อสุ่ยจึงกล่าวขึ้นว่า วันนี้ดูเหมือนจะเป็นวันที่คุณชายเว่ยจะเข้ามาในเมืองหลวงขอรับ เพราะคุณชายเว่ยนั้นก็เป็นหนึ่งในแขกรับเชิญของฮ่องเต้เช่นกัน แต่คราวนี้ดูเหมือนคุณชายเว่ยจะไปที่อานหนานเลยกลับมาค่อนข้างช้า กระนั้น…ทุกครั้งที่คุณชายเว่ยเข้ามาที่เมืองหลวงในวันแรกก็จะมาที่ศาลาชิงอานเพื่อดื่มชา
มู่ชิงอีอดยิ้มไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นองค์หญิงห้าก็กำลังวางแผนที่จะรอผลประโยชน์โดยไม่ทำอะไรเลยอย่างนั้นหรือ ถึงกระนั้นมันก็ไม่คุ้มที่จะแย่งที่นั่งกับอานซีจวิ้นอ๋องหรอกกระมัง องค์หญิงห้าหากต้องการจะนั่งล่ะก็ย่อมมีผู้คนมากมายที่เต็มใจสละที่นั่งให้นาง แต่…จ้าวจื่ออวี้ที่มีบุคลิกที่เยือกเย็นและเย่อหยิ่งอาจไม่ใช่หนึ่งในนั้น
เฝิงจื่อสุ่ยจำได้ว่าวันนี้จ้าวจื่ออวี้นั่งในตำแหน่งใดก็ถอนหายใจออกมา คุณชายเว่ยได้กำหนดตำแหน่งที่นั่งในศาลาชิงอานของพวกเราไว้แล้วไม่ว่าคุณชายเว่ยจะมาหรือไม่ก็ตาม ตำแหน่งนี้ก็ต้องว่างเว้นเอาไว้ และตำแหน่งนั้นก็คือ…ด้านหลังโต๊ะของอานซีจวิ้นอ๋อง ให้เสี่ยวเอ้อร์ไปดูก่อนแล้วกัน
เมื่อเฝิงจื่อสุ่ยออกไปข้างนอกแล้ว มู่ชิงอีก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตามออกไป ตอนนี้นางไม่กังวลเลยว่าตนจะถูกจำได้อีกต่อไปแล้ว ชายหนุ่มรูปงามอายุประมาณสิบสามสิบสี่ปีกำลังอยู่ในวัยที่แยกแยะความผิดถูกอยู่ ถ้าอย่างนั้นก็ฉวยโอกาสนี้ในการร่วมสนุกก็แล้วกัน
ที่โถงชั้นสองมีบรรยากาศที่ค่อนข้างแปลกประหลาด มู่ชิงอีค่อยๆ กวาดตามองยังมีตำแหน่งที่ว่างอยู่เจ็ดแปดแห่ง บางทีอาจมีคนจากไปทันทีหลังจากเห็นข้อพิพาทที่เกิดขึ้นนี้ ท้ายที่สุดแล้วไม่ใช่ทุกคนที่ชอบดูความตื่นเต้นและความตื่นเต้นบางอย่างนั้นยากที่จะมองดู มู่ชิงอีหาตำแหน่งที่นั่งที่ไม่สะดุดตาผู้คนและนั่งลง เมื่อนางมองไปที่อีกด้านหนึ่งที่ใกล้กับหน้าต่างนางก็เข้าใจทันทีว่าเหตุใดองค์หญิงห้านั้นจึงยืนกรานในตำแหน่งของจ้าวจื่ออวี้ให้ได้ ตำแหน่งของโต๊ะที่คุณชายเว่ยกำหนดไว้นั้นดีมาก มันใกล้กับหน้าต่างแต่ด้านในก็ใกล้กับเสาต้นหนึ่งเช่นกันซึ่งล้อมรอบด้วยฉากวาดภาพทิวทัศน์หลายภาพ แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะทักทายกับผู้มาเยือนที่โรงน้ำชาแห่งนี้เลย เมื่อนั่งในตำแหน่งนั้นจะสามารถเห็นทัศนียภาพที่สวยงามที่สุดของเมืองหลวงได้ในพริบตาและยังสามารถได้ยินเสียงของคนส่วนใหญ่ในบริเวณใกล้เคียงแต่ด้านหน้ากลับสามารถเห็นได้เพียงที่นั่งของจ้าวจื่ออวี้เท่านั้น หากองค์หญิงห้ามาที่นี่เพราะคุณชายเว่ยจริงๆ แน่นอนว่าจะต้องอยากได้ตำแหน่งที่นั่งนี้อย่างแน่นอน