หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 117 ตัวอย่างสตรี ห้องหนังสือหยั่งเชิง (2)
“ดูท่าทางคุณหนูสามสกุลหลี่ก็เป็นตัวละครที่ไม่ธรรมดาเหมือนกัน” ตัวละครที่เหยียบจูหมิงเยียนให้ตายในชั่วพริบตาได้ จะเป็นบุตรสาวจากตระกูลผู้มีอำนาจธรรมดาได้อย่างไรเล่า
มู่ชิงอียิ้มจางๆ แล้วเอ่ย “คุณหนูตระกูลหลี่ผู้นี้ได้รับความชื่นชอบจากองค์ไทเฮาได้ฝีมือย่อมต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว จูหมิงเยียนถูกผิงหนานจวิ้นอ๋องเอาใจจนเสียนิสัยตั้งแต่เด็ก ต่อให้เป็นแผนการของนางสิบคนก็สู้หลี่จืออี๋ไม่ได้”
อีกอย่างตนที่เคยถูกคนอย่างจูหมิงเยียนทำร้ายจนคนทั้งตระกูลต้องเจอหายนะต่างหากถึงจะเป็นคนโง่ที่สุดในใต้หล้าสิ
“เหมือนชิงชิงจะเกลียดชังจูหมิงเยียนน่าดู” หรงจิ่นเอ่ยพลางกวาดตามองสาวน้อยข้างกายด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
เขามองวิธีการรับมือกับจูหมิงเยียนของชิงชิงออกตั้งแต่แรกแล้ว ชิงชิงเกลียดหญิงผู้นี้มาก ไม่สิ…ควรพูดว่าชิงชิงเกลียดหญิงผู้นี้อยู่บ้าง แต่ความเกลียดชังนี้เทียบไม่ได้กับความชิงชังและแค้นใจอันแสนบริสุทธิ์ต่อมู่หรงอวี้และมู่หรงอานได้เลย เขามักรู้สึกว่าในนั้นมีบางสิ่งเพิ่มขึ้นมา ทว่าองค์ชายหรงจิ่นที่ไม่ได้สัมผัสรับรู้ความรู้สึกมากมายมาตั้งแต่เด็กจึงไม่อาจเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าตกลงเป็นความรู้สึกเช่นไร แต่มีอย่างหนึ่งที่มั่นใจได้ก็คือชิงชิงไม่คิดจะฆ่าจูหมิงเยียนแต่อยากให้นางทุกข์ทรมานมากกว่า หากเทียบกันเช่นนี้แล้วหรงจิ่นก็รู้สึกว่า ชิงชิงใส่ความรู้สึกลงบนตัวจูหมิงเยียนมากเกินไป ทั้งๆ ที่ว่ากันว่าแต่ไรมาจูหมิงเยียนและชิงชิงไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์อะไรกันมากมาย แล้วเหตุใดชิงชิงถึงมีความรู้สึกที่ซับซ้อนกับนางมากกว่ามู่หรงอวี้และมู่หรงอานเสียอีกเล่า
มู่ชิงอีเอ่ยพลางผุดยิ้มน้อยๆ “อันที่จริงก็เกลียดอยู่บ้าง”
“ข้าช่วยเจ้าฆ่านางดีหรือไม่” หรงจิ่นเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน
มู่ชิงอีชะงักไปพักหนึ่งแล้วกล่าวอย่างไม่ยี่หระว่า “ไม่ต้องหรอกเพคะ หม่อมฉันชอบเห็นนางค่อยๆ สูญเสียทุกอย่างไปมากกว่า พวกเราเองก็ตามไปดูกันเถิด” องค์ชายหรงจิ่นที่เดินตามหลังเหม่อมองเงาแผ่นหลังของหนุ่มน้อยชุดขาวเบื้องหน้าพลางขบคิดบางอย่าง จากนั้นก็เอ่ยเสียงต่ำ “เป็นเพราะ…กู้อวิ๋นเกอใช่หรือไม่”
จูหมิงเยียนเคยเป็นสหายที่สนิทที่สุดของกู้อวิ๋นเกอ คุณหนูใหญ่ตระกูลกู้ ทว่าคนตระกูลกู้เข้าคุกไปไม่ถึงครึ่งเดือนก็เข้าไปอยู่จวนกงอ๋องแล้ว เรื่องของตระกูลกู้ต้องมีความเกี่ยวข้องกับจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องและจูหมิงเยียนอย่างหนีไม่พ้นแน่นอน สิ่งที่ชิงชิงทำลงไปเหล่านี้เพราะจูหมิงเยียนทรยศกู้อวิ๋นเกอกระมัง
มู่ชิงอีที่เดินอยู่ด้านหน้าชะงักฝีเท้าลงชั่วครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้ตอบกลับอะไรแล้วมุ่งหน้าตรงไปทางเรือนทางตะวันออก
โถงรับรอง ของเรือนตะวันออกมีคนไม่มากนัก แขกเหรื่อที่แวะเข้ามาร่วมวงด้วยถูกจื้ออ๋องและพระชายาจื้อพาตัวไปที่สวนหน้าเรือนนานแล้ว คนที่นั่งอยู่ในโถงรับรอง จึงมีเพียงพระชายาจื้อ กงอ๋องมู่หรงอวี้และพระชายาฝูที่เหล่าเชื้อพระวงศ์ต่างเรียกเป็นเสียงเดียวกันว่าพี่สะใภ้ รวมถึงองค์ชายเจ็ดมู่หรงจ้าวที่รั้นจะตามมาร่วมวงด้วยและเกอซูปิงที่รั้งเกอซูฮั่นให้อยู่ด้วยกัน นอกจากนี้ยังมีคนที่อยู่ในเหตุการณ์สองคน จูหมิงเยียนและหลี่จืออี๋ที่พันแผลเรียบร้อยแล้วถูกคนประคองออกมานั่งด้านนอก
ตอนที่หรงจิ่นและมู่ชิงอีเดินเข้ามาด้วยกัน หลี่จืออี๋เพิ่งถูกบ่าวรับใช้ช่วยประคองพาตัวมานั่ง บางทีอาจเป็นเพราะได้รับบาดเจ็บหรืออาจะเป็นเพราะเพิ่งเจอเรื่องชวนให้ขวัญเสียมาจึงเห็นได้ชัดว่าใบหน้าอันงดงามสง่าของหลี่จืออี๋ซีดเซียวกว่าปกติและดูไร้เรี่ยวแรงมากกว่าเดิม ครั้นเห็นหรงจิ่นและมู่ชิงอีเข้ามามู่หรงอวี้ก็สีหน้าขรึมลงเล็กน้อย ทว่าหลังจากกวาดตามองพระชายาจื้อที่แสดงท่าทีไม่ใส่ใจ รวมถึงเกอซูปิงที่มีท่าทีตื่นเต้นและมู่หรงจ้าวแวบหนึ่ง สุดท้ายมู่หรงอวี้ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
พระชายาจื้อมองหลี่จืออี๋ด้วยสีหน้ารู้สึกผิดแล้วกล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “อาการบาดเจ็บของคุณหนูตระกูลหลี่เป็นอย่างไรบ้าง ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
หลี่จืออี๋ส่ายศีรษะแล้วมองจูหมิงเยียนที่ยืนทึ่มเซ่อเล็กน้อยอยู่อีกฝั่งแล้วกัดริมฝีปากเอ่ย “ขอบพระทัยในความเป็นห่วงของพระชายาเพคะ จืออี๋ไม่ได้เป็นอะไรเพคะ” พระชายาจื้อถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าที่ดูแลไม่ถี่ถ้วนเองถึงทำให้คุณหนูตระกูลหลี่มาเจอเรื่องอันตรายเช่นนี้ วันพรุ่งนี้ข้าจะไปขอโทษถึงจวนสกุลหลี่ด้วยตัวเอง โปรดคุณหนูตระกูลหลี่เองก็อภัยให้ข้าด้วย”
หลี่จืออี๋เอ่ยว่า “ไม่กล้า” ซ้ำๆ ไม่หยุด นางกล่าวเพียงว่าเป็นอุบัติเหตุแล้วจะโทษจวนจื้ออ๋องได้เช่นไร
พระชายาจื้อพึงพอใจต่อท่าทีรู้ความว่าเมื่อใดควรพุ่งเข้าใส่หรือถอยห่างของหลี่จืออี๋อย่างมาก จากนั้นก็เบือนหน้ามองมู่หรงเสีย มู่หรงเสียพึมพำกับตัวเองครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามว่า “คุณหนูตระกูลหลี่ เกิดอะไรขึ้นระหว่างเจ้ากับพระชายารองกงอย่างนั้นหรือ เหตุใดถึงได้รับบาดเจ็บแล้วสลบอยู่บนพื้นได้เล่า”
หลี่จืออี๋มองมู่หรงอวี้ที่นั่งอยู่อีกฝั่งด้วยสีหน้าราบเรียบ ก่อนที่จะมองไปยังจูหมิงเยียน กล่าวว่า “พระชายารองให้คนมาเชิญข้าไปคุยด้วย จืออี๋คิดว่า…พระชายารองเป็นถึง…คิดว่าคงไม่มีอะไรเลยไปพบ พวกเราคุยกันครู่หนึ่ง ตอนที่ข้าจะไปก็ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ถึงเจ็บแปลบที่ท้ายทอยแล้วก็ไม่รับรู้อะไรแล้ว” หลี่จืออี๋ไม่ได้พูดอย่างละเอียดนัก ดูท่าทางเหมือนไม่ได้พูดอะไรด้วยซ้ำ แต่ฉากในตอนนั้นไม่เป็นผลดีกับจูหมิงเยียนเลยจริงๆ ไม่ว่าหลี่จืออี๋จะพูดเช่นไรทุกคนต่างก็โยงไปถึงจูหมิงเยียนเอง
มู่หรงจ้าวยู่ปากกล่าว “ทั้งๆ ที่บ่าวรับใช้คนนั้นบอกว่านางได้ยินเสียงคนทะเลาะกัน ทำไมพอมาถึงเจ้าถึงกลายเป็นการสนทนากันธรรมดาๆ ได้เล่า”
หลี่จืออี๋หลุบตาเอ่ยเสียงเบา “บางทีตอนที่ข้ากับพระชายารองสนทนากันคงตื่นเต้นไปหน่อยเลยทำให้คนเข้าใจผิดก็เป็นได้”
พระชายาจื้อจับจ้องนางแล้วเอ่ย “กล่าวเช่นนี้เจ้าเองก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ” หลี่จืออี๋พยักหน้าเบาๆ มุมปากของพระชายาจื้อยกยิ้มบางๆ กล่าว “โชคดีที่บ่าวรับใช้เรียกคนได้ทันท่วงที องครักษ์ประจำจวนจับชายผู้หนึ่งได้ตอนเกิดเรื่อง”
หลี่จืออี๋สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย นิ้วเรียวงามที่วางอยู่ข้างเข่ากำแน่น เสียงที่เปล่งออกมาสั่นเครือเล็กน้อย “จืออี๋ จืออี๋ไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น”
คนที่อยู่ในนั้นอดลอบถอนหายใจให้หลี่จืออี๋ไม่ได้ พวกเขาย่อมไม่เชื่ออยู่แล้วว่าหลี่จืออี๋ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือกลัวล่วงเกินมู่หรงอวี้จึงไม่กล้าพูดความจริงออกมา ถึงแม้จูหมิงเยียนจะเป็นเพียงพระชายารองของจวนกงอ๋อง ต่อให้มู่หรงอวี้ต้องการแรงสนับสนุนจากบ้านสกุลหลี่แต่คงไม่มีทางตัดจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องทิ้งอย่างแน่นอน
พระชายาอ๋องยื่นมือออกไปลูบมือหลี่จืออี๋อย่างเห็นใจ “ไม่ต้องกลัว ยังไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นเลย”
“ขอบพระทัยพระชายาเพคะ” หลีจืออี๋พยักหน้าพร้อมน้ำตาที่รินไหลออกมา
เกอซูปิงที่นั่งอยู่ข้างกายเกอซูฮั่นขมวดคิ้ว “ทั้งๆ ที่หญิงผู้นั้นให้คนตีคุณหนูตระกูลหลี่จนสลบแท้ๆ”
ครั้นพูดจบ สายตาของทุกคนในโถงใหญ่ก็จับจ้องมาทางเกอซูปิง เกอซูฮั่นมองน้องสาวผู้รักในความยุติธรรมเกินไปอย่างเอือมระอาแล้วถอนหายใจ เกอซูปิงเองก็ค้นพบว่าตัวเองบุ่มบ่ามเกินไป นี่เป็นเรื่องในครอบครัวของเหล่าเครือญาติเชื้อพระวงศ์แคว้นหวา ตนเป็นคนนอกไม่ควรเข้าไปวุ่นวาย แต่คำพูดที่เปล่งออกไปแล้วย่อมกลืนกลับเข้าไปไม่ได้ อีกอย่างเกอซูปิงก็เห็นว่าหลี่จืออี๋น่าสงสารจริงๆ เลยเอ่ยออกไปว่า “ข้าไม่ได้พูดปด ตอนนั้นไม่ใช่มีเพียงข้าเท่านั้นที่ได้ยิน”
จูหมิงเยียนที่เดิมทีพรูลมหายใจนึกว่าสถานการณ์พลิกผันไปแล้วก็มีสีหน้านิ่งชะงักไป จากนั้นก็ขึงตามองเกอซูปิงอย่างเคียดแค้น หากนางไม่ขึงตาใส่ยังดีอยู่บ้าง ทันทีที่นางขึงตาใส่เกอซูปิงก็ยิ่งไม่ชอบใจ กัดฟันกล่าว “ตอนนั้นองค์ชายเก้าแคว้นเย่ว์และน้องจังก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย พวกเขาได้ยินทุกอย่าง”
หรงจิ่นส่งสายตาจนปัญญาไปให้มู่ชิงอี แต่สายตาที่ใช้มองคนอื่นกลับวางมาดเย่อหยิ่ง “ใช่แล้ว ข้าได้ยินจริงๆ ดังนั้นถึงมาดูว่าต้องการข้าเป็นพยานหรือไม่” เดิมทีคิดทำตัวไร้ยางอายแวะมาร่วมวงดูด้วยเท่านั้น ฉับพลันก็ถูกเขาสร้างภาพกลายเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมออกโรงพูดความจริงอย่างตรงไปตรงมาแทน