หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 118 ตัวอย่างสตรี ห้องหนังสือหยั่งเชิง (3)
มู่ชิงอีเองก็ทำได้แค่พยักหน้าเอ่ยด้วยท่าทีจริงจังว่า “ตอนนั้นข้า องค์ชายเก้าและหย่งจยาจวิ้นจู่กำลังเดินเล่นในภูเขาปลอม พลันได้ยินเสียงทะเลาะกันจึงเดินเข้าไป แต่…เพราะว่าถูกภูเขาปลอมบังไว้พวกเราเลยมองไม่เห็นว่าคุณหนูตระกูลหลี่ถูกคนจู่โจม ตอนได้ยินบ่าวรับใช้คนนั้นร้องขอความช่วยเหลือถึงได้รู้” คำพูดของมู่ชิงอีอธิบายได้อย่างสมเหตุสมผล ทุกคนเลยพยักหน้าไปตามๆ กัน
ในใจของพระชายาจื้อชิงชังมู่หรงอวี้และจูหมิงเยียนจับใจ แน่นอนว่าต้องอยากให้พวกเขาอับอายเลยรีบยิ้มบาง มองเกอซูปิงแล้วเอ่ยถาม “ถ้าเช่นนั้นหย่งจยาจวิ้นจู่ได้ยินพวกเขาคุยอันใดกันบ้างหรือ”
เกอซูปิงความจำดีไม่น้อย เลยเล่าเรื่องที่จูหมิงเยียนและหลี่จือหมิงทะเลาะกันอย่างไม่มีขาดตกไปสักคำเดียว แถมยังบอกเรื่องที่จูหมิงเยียนและชายคนนั้นคุยกันเรื่องใส่ร้ายหลี่จืออี๋ด้วย ภายใต้การเปรียบเทียบกับเรื่องที่บ่าวใช้พูดก่อนหน้านี้ความผิดของจูหมิงเยียนคงลบล้างไม่ได้แล้ว เดิมทีสีหน้าของหลี่จืออี๋ที่ซีดเซียวอยู่แล้วกลับซีดขาวลงไปอีก นางชี้ไปทางจูหมิงเยียนพร้อมร่างกายที่สั่นเทาเอ่ยเสียงสะอื้นว่า “จืออี๋ล่วงเกินพระชายารองตรงไหนหรือ พระชายารองถึงต้องใช้วิธีการเช่นนี้กับหม่อมฉัน ถึงขนาดต้องใช้วิธีการนี้ทำลายทั้งชีวิตของหม่อมฉัน? ไม่สิ…พระชายารองอยากได้ชีวิตของจืออี๋มากกว่ากระมัง ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นมา หลี่จืออี๋จะมีหน้าใช้ชีวิตอยู่ต่อบนโลกนี้ไปได้อย่างไร สู้ให้หม่อมฉันเอาหัวโขกเสาตายไปเลยดีกว่า พระชายารองทำเช่นนี้…หากพระชายารองเกลียดเรื่องสมรสพระราชทานของฝ่าบาทขนาดนี้…โปรดกงอ๋องทูลฝ่าบาทไปเถิด จืออี๋ยินดีถอดหมั้นกับกงอ๋อง นับจากนี้ไปหม่อมฉันก็ขออยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่แต่งงานกับชายใดอีก!”
หลีจืออี๋หุนหันพูดโพล่งออกมาเช่นนี้เลยทำให้ทุกคนต่างตกตะลึง สายตาที่มองไปทางจูหมิงเยียนยิ่งไม่ดีกว่าเดิม พระชายาจื้อรีบดึงหลี่จืออี๋ไว้แล้วยิ้มกล่าว “คุณหนูตระกูลหลี่พูดอะไรเช่นนั้น งานอภิเษกของเจ้ากับน้องหกท่านพ่อทรงประทานเอง บทจะยกเลิกก็ยกเลิกเลยได้อย่างไรเล่า” หลี่จืออี๋ใบหน้าเต็มไปด้วยความขมขื่นเอ่ยว่า “จืออี๋รู้ดีว่าสกุลหลี่ไม่ได้สูงศักดิ์เท่าจวนผิงหนานจวิ้นอ๋อง แต่สกุลหลี่ก็เป็นตระกูลผู้ดีมีความรู้ภูมิหลังใสสะอาดไร้มลทิน ชีวิตเดียวของหลี่จืออี๋ตายไปยังพอช่างมันได้ แต่ถ้าต้องตายพร้อมแบกรับความเสื่อมเสียแปดเปื้อนเช่นนั้น แล้วจะให้หม่อมฉันไม่ละอายใจต่อคนในสกุลหลี่และท่านพ่อท่านแม่ที่เลี้ยงดูมาอย่างยากลำบากได้เช่นไร”
เมื่อพระชายาจื้อและพระชายาฝูเห็นหลี่จืออี๋ร้องคร่ำครวญเสียงขาดห้วงเช่นนั้นก็พลอยรู้สึกปวดใจไปด้วย เลยรีบเกลี้ยกล่อมหลี่จืออี๋พร้อมกัน
เวลานี้มู่หรงเสียกลับไม่ได้ร้อนใจขนาดนั้น เขามองมู่หรงอวี้ท่ามกลางความวุ่นวายอย่างใจเย็นแล้วกล่าวว่า “น้องหก เรื่องนี้…เจ้าเห็นว่าควรทำเช่นใด” มู่หรงเสียไม่เหมือนพระชายาจื้อ พระชายาจื้อโมโหที่งานเลี้ยงวันนี้ทำให้จวนจื้ออ๋องเสียหน้า ทำให้งานเลี้ยงนี้ไม่สมบูรณ์แบบ ทว่ามู่หรงเสียกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น
ความหมายโดยนัยที่สำคัญที่สุดในการจัดงานเลี้ยงครั้งนี้ก็แค่ประกาศว่าเสด็จพ่อโปรดปรานและให้ความสำคัญต่อจวนจื้ออ๋องเท่านั้น ไม่ว่าในงานเลี้ยงจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นก็เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้แล้ว และอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ นี้ไม่ใช่เรื่องของจวนจื้ออ๋อง ถึงแม้เสด็จพ่อทรงทราบย่อมต้องปลอบใจให้อภัยเขา ทั้งยังได้เจอเรื่องขบขันของมู่หรงอวี้อีกต่างหาก แล้วจะไม่ให้มีความสุขได้อย่างไรเล่า
มู่หรงอวี้เอ่ยเสียงขรึม “ขอบพระทัยพี่สี่ ข้าขอพาตัวหญิงสกุลจูผู้นี้กลับไปจัดการก่อน หลี่…คุณหนูตระกูลหลี่ เรื่องนี้ข้าต้องให้คำตอบที่น่าพอใจแก่สกุลหลี่ได้อย่างแน่นอน” หลี่จืออี๋กัดริมฝีปากแล้วมองมู่หรงอวี้อย่างน้อยใจแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้รู้สึกย่ำแย่นักจึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “โปรดท่านอ๋องจัดการได้เลยเพคะ จืออี๋เชื่อว่าท่านอ๋องต้องให้คำตอบกับตระกูลหลี่ได้แน่นอน”
ความจริงคนในเหตุการณ์ต่างรู้ดี จูหมิงเยียนทำผิดขนาดนี้จะทำโทษเช่นใดย่อมไม่เกินไปกว่าเหตุเลย ทว่ามู่หรงอวี้ยังคิดจะพาตัวกลับไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน ซึ่งบ่งบอกว่าเขาคิดจะปกป้องจูหมิงเยียน หรือพูดได้ว่ามู่หรงอวี้ตัดใจจากจวนสกุลจูไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่เห็นได้ชัดว่ากงอ๋องที่ฉลาดหลักแหลมเหนือใครไม่ถนัดจัดการเรื่องความเท่าเทียมของสองตระกูลนี้เลย เกรงก็แต่ไม่ว่าจะตระกูลจูหรือตระกูลหลี่ต่างก็ไม่ได้รับมือได้ง่ายๆ ขนาดนั้น
จูหมิงเยียนที่หวาดกลัวจนสติหลุดถูกมู่หรงอวี้พาตัวกลับไป ส่วนหลี่จืออี๋ก็อ้างเหตุผลว่าไม่สบายแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น บรรยากาศในงานเลี้ยงเลยดูแปลกๆ ไปสักหน่อย โชคดีที่พิธีเสี่ยงทายจับของที่สำคัญที่สุดของงานเลี้ยงครบหนึ่งขวบเสร็จเรียบร้อยไปตั้งแต่ช่วงกลางวันแล้ว ซื่อจื่อน้อยหยิบหนังสือเล่มหนึ่งและดาบเล่มหนึ่งซึ่งนับว่าสร้างหน้าสร้างตาให้แก่มู่หรงเสียและภรรยาอย่างมาก แม้งานเลี้ยงยามค่ำคืนอาจจะบรรยากาศไม่ดีเท่าไรนักแต่ก็พอจะมองข้ามไม่เก็บมาใส่ใจได้
หลังจากงานเลี้ยงในยามค่ำคืนจบลงแขกเหรื่อก็ทยอยขอตัวกลับ มู่ชิงอีกลับถูกมู่หรงเสียแอบบอกให้อยู่ต่ออีกสักพัก มู่ชิงอีรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเหตุที่มู่หรงเสียเชิญนางมาคงไม่ใช่แค่มาร่วมงานเลี้ยงครบปีของซื่อจื่อตัวน้อยแน่นอน นางไม่สนใจเพราะอย่างไรเสียก็มาคนเดียว คนในเมืองหลวงที่เด่นดังมีไม่มากนัก นอกจากหรงจิ่นแล้วก็ไม่มีใครสังเกตเห็นว่านางไม่ได้กลับออกจากจวนจื้ออ๋องอีก
ณ ห้องหนังสือจวนจื้ออ๋อง
“คารวะท่านอ๋อง พระชายา” มู่ชิงอีเดินเข้ามาพลางมองทุกคนในห้องหนังสือ แล้วโค้งตัวทำความเคารพด้วยท่าทางที่สงบ
มู่หรงเสียพยักหน้ากล่าว “คุณชายจังไม่ต้องพิธีรีตองนัก นั่งลงเถิด” มู่ชิงอีเองก็ไม่ได้เกรงใจแล้วนั่งลงตรงตำแหน่งที่สองทางด้านซ้ายของมู่หรงเสียเหมือนไม่ใส่ใจสายตาของทุกคนที่กำลังกวาดตามองตนอยู่
ในห้องหนังสือนอกจากจื้ออ๋องและพระชายาอ๋อง ทั้งยังมีที่ปรึกษาตระกูลเจิ้งของจวนจื้ออ๋อง เวลานี้คนที่จับจ้องเพื่อประเมินมู่ชิงอีก็คือท่านเจิ้งผู้นี้และพระชายาจื้อ พระชายาจื้อเพียงแค่ประหลาดใจไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านพี่ของตนถึงได้ต้องตาเด็กน้อยอายุเพียงสิบกว่าปีผู้นี้เท่านั้น ทว่าท่านเจิ้งกลับแตกต่างกันออกไป สายตาที่ใช้ประเมินมู่ชิงอีราวกับเข็มด้ามเล็กแฝงการสืบสวนอันเฉียบแหลมไว้ด้วย
มู่ชิงอียกยิ้มมุมปาก เอ่ยขึ้น “ท่านซู่ชิง ข้ามีที่ใดผิดปกติไปอย่างนั้นหรือ”
ได้ยินเช่นนั้น มู่หรงเสียและท่านเจิ้งผู้นั้นก็พลันหน้าเปลี่ยนสี มู่หรงเสียหรี่ตาลงจับจ้องมู่ชิงอีเอ่ยเสียงขรึม “ตกลงเจ้าเป็นใครกันแน่” มู่ชิงอีสีหน้าสงบนิ่งไม่ตื่นตระหนกใดๆ เอ่ยพร้อมยิ้มจางๆ ว่า “กระหม่อมคนอิ๋งโจว สกุลจัง จังชิง”
มู่หรงเสียแค่นยิ้มเย็นชากล่าว “คนอิ๋งโจวสกุลจัง? เจ้าเป็นเพียงเด็กน้อยอายุสิบสามสิบสี่ปีเท่านั้น ใช้ชีวิตที่อิ๋งโจวมาตั้งแต่เด็กแล้วจะรู้จักท่านเจิ้งได้เช่นไร” มู่ชิงอีอมยิ้มมองท่านเจิ้งผู้นั้นราวกับไม่สังเกตเห็นไอสังหารของมู่หรงเสียเอ่ย “แซ่เจิ้ง นามซู่ชิง คว้าอันดับที่หนึ่งในการสอบขุนนางเคอจวี่ ในปีจิ้งอานที่สิบ แต่เพราะไปล่วงเกินจูเปี้ยนผิงหนานจวิ้นอ๋องเลยถูกคนลักพาตัวไปจึงไร้วาสนาได้เข้าไปทดสอบกับฮ่องเต้ หลังจากเอาชีวิตรอดจากความตายมาได้ก็มุ่งหน้าเข้าฟ้องร้องจูเปี้ยนต่อศาลเมืองหลวงไม่สำเร็จ จากนั้นก็บุกจวนพลั้งมือฆ่าบุตรอนุของจูเปี้ยน เฮ้อ…ความจริงก็เป็นแค่บ่าวใช้คนหนึ่งของจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องเท่านั้น แต่สุดท้ายก็ถูกลงโทษส่งตัวไปแถบชายแดน”
มู่หรงเสียและคนสกุลเจิ้งผู้นั้นสีหน้าดูย่ำแย่ขึ้นมาเล็กน้อย ข้อมูลความเป็นมาเรื่องราวชีวิตละเอียดครบถ้วนเช่นนี้ก็ชวนให้พวกเขาสองคนนึกหวาดกลัวหนุ่มน้อยเบื้องหน้าเช่นกัน พอเห็นท่าทีหวาดระแวงของพวกเขามู่ชิงอีก็ฉีกยิ้มเอ่ยอย่างสดใส “ท่านอ๋องและท่านเจิ้งอย่าวิตกไปเลย ในเมื่อกระหม่อมเตรียมจะออกแรงเพื่อท่านอ๋องย่อมต้องสืบดูเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของจวนอ๋องอยู่แล้ว ถ้าเกิด…ท่านอ๋องมีจุดใดผิดปกติคงพลอยทำให้กระหม่อมติดร่างแหไปด้วยไม่ใช่หรือ กระหม่อมเองก็รักชีวิตมากเช่นกัน “
มู่หรงเสียเข้าใจดี เจ้าเด็กหนุ่มนี่กำลังเตือนเขาว่าถ้าทำอะไรบุ่มบ่าม เขาเองก็มีวิธีเอาคืนเช่นกัน มู่ชิงอีมองเขาด้วยใบหน้าที่มีความจริงใจอยู่บ้างกล่าว “ท่านอ๋อง กระหม่อมไม่อยากพูดว่าจะจงรักภักดียอมทุ่มเทแรงกายแรงใจจนชีวิตจะหาไม่เพื่อท่านอ๋องเช่นไรแบบนั้น แต่มีข้อหนึ่ง…ก่อนหน้านี้เคยพูดกับท่านอ๋องไปแล้ว ขอแค่เรื่องนี้สำเร็จ กระหม่อมก็จะรีบออกจากเมืองหลวงไปไม่กลับมาอีกชั่วชีวิตและจะไม่ทำให้ท่านอ๋องลำบากใจแน่นอน”
มู่หรงเสียงพึมพำเสียงต่ำว่า “น้องหกของข้ามีคนหนุนหลังจึงประสบความสำเร็จได้ง่าย ข้าไม่รู้ว่าเขาไปล่วงเกินศัตรูอย่างคุณชายตั้งแต่เมื่อไร”
มู่ชิงอีหัวเราะเริงร่ากล่าว “ถ้าเขาล่วงรู้แล้วกระหม่อมจะยังใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้หรือ” มู่ชิงอีรู้ว่ามู่หรงเสียไม่เชื่อตน แต่นางกลับไร้หนทางจะทำให้องค์ชายที่กลายเป็นปีศาจแล้วเชื่อคนที่จู่ๆ เพิ่งปรากฏตัวคนหนึ่งได้ ดังนั้นนางจึงแค่เอ่ยเสียงเรียบว่า “กระหม่อมไม่อยากรับรู้เรื่องใดในจวนจื้ออ๋องทั้งสิ้น ช่วงหลายวันนี้กระหม่อมยังอยู่ในเมืองหลวง หากท่านอ๋องมีเรื่องใดต้องการใช้งานกระหม่อมก็ส่งคนมาหาที่จวนตระกูลจังได้เลย ถ้าท่านอ๋องไม่อยากให้กระหม่อมเข้าไปแทรกแซงเรื่องใด กระหม่อมก็จะไม่ซักถาม อีกเรื่อง…นี่ถือว่าเป็นของกำนัลที่ได้พบกันสำหรับท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”