หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 124 เป้าหมายขององค์ชายเก้า (5)
เวลานี้อัครเสนาบดีท่านผู้เฒ่าของตระกูลหลี่มุ่งหน้าเข้าราชสำนักไปกราบทูลต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ ฮูหยินใหญ่ของสกุลหลี่พาตัวเหล่าสะใภ้ที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นเข้าวังไปด้วย จากนั้นก็ร้องขอความเป็นธรรมต่อหน้าพระพักตร์ไทเฮาที่เดิมทีทรงเกษียณตัวออกมาพักฟื้นร่างกายแล้ว
คนสกุลหลี่ใช้วิธีไหนต่อกรกับจวนกงอ๋องและจวนผิงหนานจวิ้นอ๋อง มู่งชิงอีที่พักอยู่จวนซู่เฉิงโหวย่อมไม่มีทางเห็นกับตาอยู่แล้ว รอจนข่าวคราวดังมาถึงจวนซู่เฉิงโหว แม้แต่วิธีการจัดการกับจูหมิงเยียนก็เล่าลือมาพร้อมกันด้วย สำหรับสะใภ้อย่างจูหมิงเยียน ฮ่องเต้ทรงไม่พอพระทัยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ตนเพิ่งประทานงานอภิเษกไปให้ได้ไม่กี่วันก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าไม่พอใจต่อพระราชโองการของเขาอย่างนั้นหรือ
บัดนี้ฮ่องเต้แคว้นหวาไม่สนใจว่าจูเปี้ยนจะวิงวอนเช่นใดก็มีรับสั่งให้ถอดถอนตำแหน่งทุกอย่างของจูหมิงเยียน รวมถึงสถานะพระชายารองกงและผิงหนานจวิ้นจู่ อีกทั้งยังขับไล่ให้กลับบ้านเกิดของฝั่งมารดาไป หากจูหมิงเยียนยังมีสถานะเป็นพระชายาอยู่ก็ถือว่าถูกหย่าขาดแล้วเช่นกัน แต่เพราะนางเป็นแค่พระชายารอง แม้แต่หนังสือหย่าก็ยังไม่มีสักฉบับก็ถูกฮ่องเต้โยนออกจากจวนผิงหนานจวิ้นอ๋อง อีกทั้งก่อนหน้านี้ยังถูกองค์ไทเฮาที่ได้ฟังคำวิงวอนอย่างเกรี้ยวโกรธของเหล่าสตรีจวนสกุลหลี่ สั่งโบยสามสิบทีจนสุดท้ายต้องถูกหามส่งตัวกลับจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องไป และเพราะมู่หรงอวี้เข้าข้างจูหมิงเยียนเลยถูกฮ่องเต้แคว้นหวาด่าทอต่อหน้าคนมากมายอย่างหนักหน่วง และเพราะเหตุนี้ความสัมพันธ์ของจวนกงอ๋องและจวนสกุลหลี่ที่มักไปมาหาสู่กันหลังได้รับสมรสพระราชทานก็จืดจางลงในทันที รวมถึงจวนสกุลหลี่และจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องก็ถือว่าได้ผูกแค้นกันอย่างเป็นทางการ
ยามที่ได้ฟังข่าวนี้ มู่ชิงอีกำลังนั่งเก้าอี้ตากลมนอนกลางวันใต้ร่มไม้ใหญ่ในเรือนหลานจื่ออย่างสบายอารมณ์ พร้อมกับฟังอิ๋งเอ๋อร์หัวเราะเริงร่าพลางเล่าเรื่องความน่าสงสารของจูหมิงเยียนอย่างออกรสซึ่งขาดแค่ทำมือทำไม้เท่านั้น ราวกับเห็นมากับตาตัวเองครึ่งหนึ่ง มู่ชิงอีก็ผุดรอยยิ้มอันน่าหลงใหลออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่
อิ๋งเอ๋อร์ที่เดิมทีกำลังเล่าเรื่องอย่างสดใส พอเห็นคุณหนูที่เอนกายอยู่บนเก้าอี้แย้มยิ้มงดงามออกมาก็อดชะงักไม่ได้
“ทำไมหรือ” ครั้นเห็นว่าจู่ๆ เสียงของอีกฝ่ายนั้นเงียบไป มู่ชิงอีกก็เลิกคิ้วถาม
“คุณหนูช่างงดงามยิ่งนัก” อิ๋งเอ๋อร์เอ่ยชื่นชม “อิ๋งเอ๋อร์ไม่เคยเจอใครที่งดงามได้เท่าคุณหนูมาก่อนเลย น่าจะมีเพียงคุณหนูใหญ่ในตอนนั้นที่งามเหมือนคุณหนู เพียงแต่น่าเสียดายที่อิ๋งเอ๋อร์ไม่เคยได้พบเจอคุณหนูใหญ่ อ้อ…แล้วก็มีองค์ชายเก้าที่หน้าตางดงามอีกคน!”
พรืด! พอได้ฟังคำพูดของอิ๋งเอ๋อร์ ประโยคก่อนหน้านี้ยังทำให้นางรู้สึกปวดใจอยู่บ้าง แต่ประโยคสุดท้ายกลับทำให้นางต้องหลุดขำออกมา ถึงแม้แต่ไรมาหรงจิ่นจะหลงใหลในความหล่อเหลาของตัวเอง แต่หากรู้ว่าเขาถูกเอามาเปรียบเทียบกับหญิงสาวคนหนึ่งว่าหน้าตางดงามเหมือนกัน…เกรงว่าคนที่หลงตัวเองอย่างองค์ชายหรงจิ่นคงจะไม่ชอบใจนัก
อิ๋งเอ๋อร์ที่เห็นนางขำขันก็กระทืบเท้าอย่างไม่เห็นด้วย “คุณหนูเจ้าคะ! อิ๋งเอ๋อร์พูดความจริงนะเจ้าคะ หรือว่าคุณหนูไม่คิดว่าองค์ชายเก้าหน้าตาดีหรือเจ้าคะ”
มู่ชิงอีพยักหน้ารัวแล้วยิ้มกล่าว “เปล่าหรอก คุณหนูของเจ้าอย่างข้าไม่ได้งดงามที่สุดหรอกนะ เทียบกับองค์ชายเก้าแล้วยังห่างชั้นอีกมาก ครั้งหน้าถ้าเจ้าเจอเขาก็อย่าเอาข้าไปเปรียบกับเขาเชียว เขาจะไม่ชอบใจเอาได้”
“หา?” อิ๋งเอ๋อร์กะพริบตาอย่างสงสัยเพราะไม่เข้าใจว่า องค์ชายเก้าไม่ชอบใจที่เอาเขามาเปรียบกับคุณหนู หรือไม่ชอบใจที่บอกว่าหน้าตาดีกันแน่
มู่ชิงอีปิดปากขำแล้วเอ่ย “เจ้าแค่ยกยอว่าเขาหล่อที่สุดก็พอ เขาต้องชมเจ้าแน่ แต่ถ้าเจ้าบอกว่าเขางดงามเหมือนข้า คำพูดประจบน่าฟังนี่…ก็คงไม่พอแล้วล่ะ”
เวลานี้อิ๋งเอ่อร์ถึงเพิ่งเข้าใจเลยพยักหน้ารับ ทันใดนั้นก็พลันนึกบางสิ่งขึ้นได้เลยยิ้มกล่าว “ที่แท้คุณหนูก็ไม่ชอบใจที่อิ๋งเอ๋อร์เอาคนข้างกายมาเปรียบเทียบกับคุณหนูใช่ไหมเจ้าคะ ใช่ๆ คุณหนูต่างหากที่เป็นสาวงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า คุณหนูงดงามที่สุดแล้วเจ้าค่ะ!”
มู่ชิงอีส่ายศีรษะอย่างจนใจพลางฉีกยิ้ม
หลังจากคุยเรื่องสนุกๆ ผ่านไป อิ๋งเอ๋อร์ถึงเอ่ยอย่างเศร้าใจว่า “น่าเสียดายที่ตอนนี้คุณหนูออกไปข้างนอกไม่ได้ ไม่เช่นนั้น…พวกเราคงออกไปดูละครงิ้วได้ หลายวันนี้ในเมืองหลวงคงคึกคักน่าดู”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วเอ่ยถาม “หลายวันนี้คนๆ นั้นในจวนไม่อาละวาดบ้างงั้นหรือ”
มู่หรงอานเหมือนคนอาการปางตาย เห็นๆ อยู่ว่าการแต่งงานของมู่อวิ๋นหรงจะล่าช้าออกไปอีก สะใภ้ซุนจะอดกลั้นความโกรธไม่อาละวาดออกมาได้?
อิ๋งเอ๋อร์เอ่ยพลางอมยิ้ม “จะไม่อาละวาดได้เช่นไรเจ้าคะ หลายวันมานี้เกือบอาละวาดจนจวนแตกแล้ว เพียงแต่นายท่านโหวไม่อนุญาตให้ผู้ใดรบกวนเรือนหลานจื่อของพวกเรา อีกอย่างในเรือนของเราเองก็ไม่ได้มีใครเลยไม่มีข่าวคราวเข้ามาก็เท่านั้น แต่หากนางจะอาละวาดแล้วจะทำอะไรได้ หนิงอ๋องยังไม่สิ้นพระชนม์เสียหน่อย ต่อให้นางอาละวาดนายท่านโหวก็ไม่กล้ายกเลิกเรื่องงานอภิเษกหรอกเจ้าค่ะ” ยกเลิกงานอภิเษก ซู่เฉิงโหวย่อมไม่มีความกล้านั้นอยู่แล้ว แต่หากไม่ยกเลิกแล้วรอจนมู่หรงอานสิ้นพระชนม์ มู่อวิ๋นหรงไม่ทันแต่งออกเรือนก็คงกลายเป็นหม้ายจริงๆ แล้ว
“ก็ไม่รู้ว่าคุณหนูสามผู้นี้ดวงซวยหรือไร้วาสนากับคนในเชื้อพระวงศ์ ที่ผ่านมาไม่เคยราบรื่นเรื่องอภิเษกเลยสักครั้ง” อิ๋งเอ๋อร์ยิ้มกล่าวราวกลับไม่รู้เลยสักนิดว่าเหตุที่มู่หรงอวิ๋นอับโชคเรื่องการแต่งงานเช่นนี้ล้วนเป็นฝีมือของคุณหนูของนางเองทั้งสิ้น แต่เรื่องการแต่งงานเป็นของคุณหนูของตนมาตั้งแต่แรก ต่อให้คุณหนูไม่ต้องการก็ใช่ว่ามู่อวิ๋นหรงจะเก็บมาตามใจชอบได้ “คุณหนูคิดว่า คุณหนูสามจะทนหนิงอ๋องแล้วแต่งออกเรือนไปเป็นพระชายาหนิงหรือจะอยู่รอหาใครสักคนที่จวนต่อไปในวันหน้าเจ้าคะ?”
มู่ชิงอีเงยหน้ามองนางเอ่ยเสียงเรียบว่า “ทำไมหรือ ด้านนอกมีข่าวลืออะไรอีก”
เฝิงอิ๋งยิ้มกล่าว “เหมือนได้ยินมาว่าไทเฮาจะให้หนิงอ๋องอภิเษกก่อนเวลาที่กำหนดไว้ ความหมายก็คือจัดงานมงคลมาลบล้างเรื่องเลวร้ายนั่นเองเจ้าค่ะ” ส่วนตัวเลือกที่จะเอามาลบล้างเรื่องเลวร้ายย่อมเป็นมู่อวิ๋นหรงคู่หมั้นหมายของหนิงอ๋องอยู่แล้ว
มู่ชิงอีเงียบไปชั่วขณะแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “เกรงว่าคงไม่ อย่าลืมสิว่าตอนนี้โหรวเฟยเป็นคนโปรดอยู่ ถ้านางกราบทูลต่อหน้าฮ่องเต้แคว้นหวา อาจจะช่วยมู่หรงอวิ๋นหลบหลีกเคราะห์กรรมครั้งนี้ไปได้”
“ไอ๊หยา” เฝิงอิ๋งผิดหวังขึ้นมาชั่วขณะ “งั้นก็เป็นการเสียเปรียบนางแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
มู่ชิงอีแค่นเสียงเบา เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “มู่อวิ๋นหรงเป็นเช่นไรไม่สำคัญเพราะก็เป็นแค่คนไม่สำคัญอะไร ถ้าโหรวเฟยสอดมือเข้ามายุ่งจริงๆ ข้าก็หวังว่านางจะทำสำเร็จ”
“หา?” เฝิงอิ๋งมองมู่ชิงอีอย่างไม่เข้าใจ มู่ชิงอีกล่าวเสียงเรียบ “ถ้าเรื่องนี้เป็นความตั้งใจของไทเฮาจริงๆ แต่โหรวเฟยกลับทูลเกลี้ยกล่อมให้ฝ่าบาทขัดพระราชโองการของไทเฮา ต่อให้ไทเฮาทรงเมตตาโปรดปรานแค่ไหนก็ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ในร่างมนุษย์ ช่วยคนที่สวยแต่รูปแต่ไร้สมองแล้วยังชื่อเสียงเสื่อมเสียอย่างมู่อวิ๋นหรงจนล่วงเกินไทเฮาที่อำนาจสูงสุดเหนือใคร ข้ากลับแปลกใจและสงสัยมากกว่า…ว่าโหรวเฟยจะทำเช่นไร”
เฝิงอิ๋งมองคุณหนูที่เอนกายด้วยท่วงท่าสบายๆ อย่างตกตะลึง ท่านพ่อพูดไม่ผิดเลยจริงๆ สติปัญญาและความปราดเปรื่องของคุณหนูต่อให้นางได้เรียนรู้เป็นสิบปียี่สิบปีเกรงว่าก็คงได้ไม่ถึงสามส่วนของคุณหนู ถึงแม้นางจะหลงตัวเองว่ามีไหวพริบและฉลาดหลักแหลม แต่เรื่องพวกนี้ต่อให้นางทำความเข้าใจสามวันห้าวันก็ไม่บรรลุแน่นอน
“คุณหนูช่างเก่งกาจนัก”
มู่ชิงอียิ้มน้อยๆ หยัดตัวนั่งตรงแหงนหน้าทอดมองแสงอาทิตย์ที่สาดส่องร่มเงาต้นไม้ผ่านช่องว่างตรงรูต่างๆ ลงมา ดวงตาก็เป็นประกายและสงบลง “เห็นมามาก คิดมามากย่อมเข้าใจเป็นธรรมดา เจ้ายังเด็กนัก อู๋ซิน”
อู๋ซินที่นั่งหลับตาพักผ่อนตรงกิ่งไม้บนต้นไม้ เมื่อได้ยินเสียงของมู่ชิงอีก็พุ่งตัวเบาหวิวดิ่งลงพื้นมาทันทีแล้วยืนรอรับคำสั่งอยู่เบื้องหน้าของมู่ชิงอี มู่ชิงอีกล่าวเสียงเรียบ “คืนนี้เจ้าไปเตือนจื้ออ๋องที่จวนของเขาสักหน่อย หญิงชราอย่างไทเฮาชอบปกป้องหลานย่อมต้องกังวลเรื่องงานอภิเษกของหนิงอ๋องอยู่แล้ว จื้ออ๋องควรแบ่งเบาความกังวลของไทเฮา นี่ถึงจะตรงตามหลักความกตัญญูของบุตรหลาน”
อู๋ซินพยักหน้ารับด้วยท่าทีนอบน้อม “น้อมรับคำสั่งขอรับ”