หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 129 ความอึดอัดใจของมู่เชิน แอบฟังมุมกำแพง (5)
แต่ตระกูลหลี่กลับไม่ใส่ใจเรื่องนี้เลย ทุกคนในตระกูลหลี่ รวมถึงหลี่จืออี๋ที่อยู่ในวังวนท่ามกลางผู้คนยังคงทำอะไรที่ควรทำทุกวันเช่นเคย กระทั่งยังมีคนเห็นคุณหนูตระกูลหลี่ตามพี่น้องตระกูลหลี่สองสามคนไปดื่มชาซื้อของว่างที่ศาลาชิงอาน จากนั้นจวนกงอ๋องและตระกูลหลี่ต่างก็ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวใดอีก ในทางกลับกันกลับทำเอาเหล่าผู้คนว่างงานที่กำลังรอดูเรื่องสนุกขบขันในเมืองหลวงต่างร้อนใจแทบแย่
“คุณชาย คุณชาย! มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว” ในจวนตระกูลจัง มู่ชิงอีกำลังเอนกายบนเตียงพลางถือหนังสือพงศาวดารเล่มหนึ่งอยู่ บ่าวรับใช้นอกประตูปรี่เข้ามาด้วยความตื่นเต้นพร้อมเรียกอีกครั้ง บ่าวรับใช้ในจวนตระกูลจังมีท่านผู้เฒ่าตระกูลฉินคอยช่วยเหลือและมีเฝิงจื่อสุ่ยแอบช่วยตรวจสอบอีกรอบอย่างลับๆ คนที่เข้ามารับใช้ต่างมีภูมิหลังบริสุทธิ์พื้นเพธรรมดา พวกเขาต่างไม่รู้สถานะของมู่ชิงอี รู้เพียงว่าคุณชายน้อยในจวนนี้อายุยังน้อยและชื่นชอบเรื่องสนุกๆ ดังนั้นหากมีเรื่องสนุกน่าสนใจอะไรก็มักจะวิ่งมาบอกเขาด้วยท่าทีเอาอกเอาใจ
มู่ชิงอีรีบลุกขึ้นนั่งตัวตรงแล้วยิ้มเอ่ย “มีเรื่องสนุกๆ อะไรถึงทำให้เจ้าดีใจถึงเพียงนี้”
บ่าวรับใช้ผู้นั้นปาดเหงื่อที่หน้าผากแล้วยิ้มร่าเริง “เมื่อครู่นี้ ป้าหวังที่ไปซื้อเป็ดย่างห่อกลับจากเรือนกุ้ยหลินให้คุณชาย บอกว่าวันนี้พระชายาจื้อเลี้ยงน้ำชาให้กับบรรดาสตรีของตระกูลหลี่ที่เรือนกุ้ยหลิน เพื่อเป็นการขอขมาคุณหนูตระกูลหลี่ จากนั้นไม่รู้ว่าเป็นมาอย่างไร ได้ยินมาว่าพอคนๆ นั้นของจวนผิงหนานจวิ้นอ๋อง…พอได้ยินข่าวก็บุกไปหาทันที เอ๊ะ…ตอนป้าหวังได้ยินข่าวนี้ คนๆ นั้นยังไปไม่ถึงเรือนกุ้ยหลินเลยนี่นา ไม่แน่คุณชายไปตอนนี้อาจจะทันดูเรื่องสนุกก็ได้นะขอรับ”
มู่ชิงอีนึกสนใจขึ้นมาจริงๆ เลยถือโอกาสตบรางวัลให้บ่าวรับใช้เป็นเศษตำลึงจำนวนหนึ่ง หยัดกายลุกขึ้นแล้วเอ่ยกับอู๋ซินว่า “อู๋ซิน ไปกันเถิด พวกเราไปดูเรื่องสนุกกัน”
อู๋ซินติดตามนางไปเงียบๆ เขาเดินไปกับมู่ชิงอีพลางมุ่นคิ้วเล็กน้อยกระซิบเสียงเบา “จูหมิงเยียนสติฟั่นเฟือนไปแล้วหรือ”
เพิ่งหาเรื่องยังไม่ทันจบดีก็รีบร้อนหาเรื่องใหม่แล้ว อย่าพูดเพียงว่านางเป็นแค่จวิ้นจู่ที่ไม่ได้เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้แคว้นหวาเลย ต่อให้นางจะเป็นองค์หญิงทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าขนาดนี้ก็คงไม่ไหวกระมัง ขนาดองค์หญิงหมิงฮุ่ยเป็นคนเย่อหยิ่งชอบวางอำนาจเอาแต่ใจขนาดนั้นยังไม่ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนจูหมิงเยียนเลย
อู่ซินเหลือบมองหญิงสาวในคราบชายหนุ่มร่างบางที่กำลังโบกพัดในมือไปมาเบื้องหน้าแวบหนึ่ง
เหตุที่จูหมิงเยียนไร้สิ้นสติก็ไม่ใช่เพราะถูกท่านบีบให้เป็นแบบนี้หรืออย่างไร สตรีคนหนึ่งที่เป็นถึงพระชายาสูงส่งจนใครๆ ต่างพากันอิจฉากลับตกต่ำมากลายเป็นหญิงสามัญชนที่ไม่มีอะไรเลยในเวลาอันสั้นแค่ครึ่งเดือน เป็นใครก็สมควรสติฟั่นเฟือน ตกลงแล้วจูหมิงเยียนผู้นี้โชคร้ายขนาดไหนกันถึงกล้ามาหาเรื่องคุณหนูผู้นี้ได้
“เจ้าอย่าแอบก่นด่าข้าอยู่ในใจเลย มีอะไรก็พูดออกมาตรงๆ เถิด” ขณะที่อู๋ซินกำลังขบคิดอย่างจริงจัง จู่ๆ หนุ่มน้อยเบื้องหน้าก็หมุนตัวมามองเขาพร้อมยิ้มตาหยี อู๋ซินรู้สึกตัวสั่นสะท้านขึ้นมาชั่วขณะแล้วปิดปากเงียบไม่พูดอะไรสักประโยค จากนั้นก็ได้ยินนางพูดต่อด้วยท่าทีสบายๆ ว่า “แต่ข้าเป็นคนแค้นฝังใจ เจ้าระวังตัวหน่อยก็แล้วกัน”
ข้าไม่ได้ว่าท่านเสียหน่อย ก็แค่กำลังคิดว่าตกลงหญิงโชคร้ายคนนั้นไม่ดูตาม้าตาเรือขนาดไหนถึงมาล่วงเกินท่านได้ต่างหาก!
เรือนกุ้ยหลินคึกคักเป็นอย่างมาก มู่ชิงอีนึกสงสัยว่าพระชายาจื้อเลือกสถานที่แห่งนี้เลี้ยงน้ำชาเพราะเดาออกว่าจูหมิงเยียนจะมาอาละวาดเลยจงใจทำเพื่อดึงกิจการของตนให้ขายดีขึ้นใช่หรือไม่ อย่างน้อยแค่เห็นผู้คนจับจองที่นั่งกันแน่นขนัดตรงชั้นสองซึ่งแตกต่างจากตอนที่นางมาครั้งที่แล้วอย่างสิ้นเชิง แต่สิ่งที่ทำให้มู่ชิงอีผิดหวังก็คืออยากเห็นเรื่องสนุกๆ ของพวกสาวๆ กับตาตัวเองไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ เพราะ…พวกพระชายาจื้อนั้นอยู่ในห้องส่วนตัว กระนั้น คนที่กำลังสนุกกลับไม่ยอมจากไปไหน ต่อให้จะเห็นเพียงว่าสุดท้ายใครเป็นฝ่ายแพ้ก็นับว่าเป็นหัวข้อสนทนาที่ไม่เลวแล้ว
“น้องชายจัง มานี่เร็วๆ…พี่เก้าเหลือที่ไว้ให้เจ้าแล้ว” ท่ามกลางเสียงดังอึกทึกครึกโครม เสียงขององค์ชายเก้าก็ดังลอยมาเข้าหูมู่ชิงอีโดยมิอาจมีสิ่งใดมาขวางกั้นไว้ได้ มู่ชิงอีเพียงหันไปมองก็เห็นองค์ชายเก้าที่ใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่นกว่าใครจากมุมที่ไม่ไกลนักยืนพิงผนังด้วยท่าทีเกียจคร้านตรงประตูห้องส่วนตัวห้องหนึ่งพลางกวักมือเรียกนางอยู่ ทันใดนั้นแววตาอิจฉาริษยาของผู้คนล้วนจับจ้องมาที่มู่ชิงอี ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะอิจฉาที่มู่ชิงอีได้รับคำเชิญจากบุรุษหน้าตาหล่อเหลา แต่เพราะ…ห้องส่วนตัวที่หรงจิ่นยืนอยู่ก็คือห้องด้านข้างติดกับห้องของพวกพระชายาจื้อ!
มู่ชิงอีค้นพบว่าทุกครั้งที่เจอหรงจิ่นนางอยากจะพุ่งเข้าไปตบใบหน้าอันงดงามที่มักนำพาหายนะมาให้นางเสียทุกที นางกลอกตาใส่แล้วเดินไปหาหรงจิ่น
ใครใช้ให้ตนมาเพื่อดูเรื่องสนุกกันเล่า อีกอย่างใครใช้ให้ในเรือนกุ้ยหลินที่ใหญ่โตขนาดนี้ไม่มีที่นั่งแม้แต่ที่เดียวกัน
ห้องส่วนตัวของหรงจิ่นอยู่ติดกับห้องพระชายาจื้อก็จริง ทว่าผนังของห้องส่วนตัวในเรือนกุ้ยหลินกลับไม่แย่เลยสักนิด พวกเขานั่งอยู่ที่นี่แต่กลับได้ยินเสียงพูดของห้องด้านข้างเพียงรำไรเท่านั้น หรงจิ่นและอู๋ซินอาจได้ยินว่าห้องด้านข้างคุยอะไรกันบ้าง แต่คนที่ไม่มีกำลังภายในอย่างมู่ชิงอีกลับไม่ได้ยินอะไรเลย
โชคดีที่นิสัยแก่นแท้ขององค์ชายเก้าเป็นคนที่เอาใจใส่คนหนึ่ง ดังนั้นเขาเลยเคาะผนังทั่วทุกมุมอย่างเบามือ จากนั้นก็ล้วงหยิบมีดสั้นที่มีแสงไอเย็นยะเยือกออกมาจากแขนเสื้อแล้วขูดเข้าที่ผนังเบาๆ ด้วยมีดสั้นอันแหลมคมด้ามนั้นที่แม้แต่เสียงก็ไม่มีเล็ดลอดดังออกมาให้ได้ยิน ผนังถูกองค์ชายเก้าเจาะเป็นรูขนาดเท่าแท่งทองแดง หลังจากนั้นองค์ชายเก้าก็พังผนังของเรือนกุ้ยหลินโดยไม่ลังเลใจสักนิด ส่วนผนังด้านบนสุดก็เจาะรูหลายรูซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าหน่อย ทันใดนั้นเสียงจากห้องด้านข้างก็ดังลอยมาอย่างปิดไว้ไม่อยู่อีกต่อไป
ครั้นดวงตาเหลือบไปเห็นองค์ชายเก้าเจาะรูเล็กเพื่อใช้มองอีกฝั่ง ชั่วขณะหนึ่ง มู่ชิงอีก็รู้สึกว่าตนเหมือนคุณชายร่ำรวยทำตัวเหลาะแหละหื่นกามกำลังเป็นพวกถ้ำมองส่องหญิงสาวตระกูลผู้ดีหน้าตางดงามก็ไม่ปาน พอหันกลับไปมองหรงจิ่นที่กำลังจับจ้องตนพลางยิ้มตาหยี มู่ชิงอีก็ตระหนักได้ทันที
ไม่ว่าใครก็ตามหากอยู่กับองค์ชายเก้า นานวันเข้าก็คงเปลี่ยนนิสัยเป็นคนไร้ยางอายเหมือนเขา ตามหลักการที่ว่าคบคนพาลพาลพาไปหาผิดจริงๆ
“พอข้าได้ยินเรื่องนี้ก็ส่งคนมาจองห้องส่วนตัวนี้ทันที เป็นอย่างไรเล่า ชิงชิงรู้สึกว่าข้าช่างเป็นคนวางแผนรอบคอบมากใช่หรือไม่” หรงจิ่นเอ่ยหยอกเย้า กระซิบข้างหูมู่ชิงอี
มู่ชิงอีมองเขาแวบหนึ่งอย่างหมดคำพูดแล้วเบือนหน้าไปมองอีกทาง นางมาช้าเกินไปเลยไม่ทันเห็นว่าเรื่องราวเริ่มต้นเช่นไร ยามที่นางเห็น ละครสนุกๆ ห้องส่วนตัวด้านข้างก็อยู่ในบรรยากาศร้อนแรงดุเดือดแล้ว จูหมิงเยียนอาละวาดอยู่ในห้องนั้นราวกับคนไร้สติ ในทางกลับกันคุณหนูตระกูลหลี่ก็ถูกพวกสตรีตระกูลหลี่คอยปกป้องไว้อยู่ ยามนั่งดูทุกอย่างอยู่อีกฝั่งด้วยท่าทีสงบก็พลอยทำให้รู้สึกเหมือนเอาตัวเองออกมาอยู่เหนือเรื่องวุ่นวายโดยไม่มีความข้องเกี่ยวใดทั้งสิ้น ทว่าพระชายาจื้อและพระชายาฝูที่ถูกเชิญมาเป็นเพื่อนรับแขกต่างมีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจและโกรธเคือง
จูหมิงเยียนไม่รู้จักสำรวมเลย ตกอับถึงขั้นนี้แล้วยังอาละวาดเช่นนี้อีก จะทำให้ทุกคนตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกหรือไรกัน
“จูหมิงเยียน เจ้าอาละวาดพอแล้วหรือยัง!” พระชายาจื้อเอ่ยอย่างเกรี้ยวโกรธ
วันนี้นางเป็นคนเชิญแขกมาเอง สถานที่นี้ก็เป็นของจวนจื้ออ๋อง จูหมิงเยียนอาละวาดเช่นนี้ก็เหมือนเป็นการตบหน้านาง เมื่อก่อนนางหมดหนทางจะทำอะไรจูหมิงเยียนได้ แต่ตอนนี้นางต้องกลัวอยู่อีก?
“ดูท่าแล้วที่เสด็จย่าสั่งโบยสามสิบทีคงปราณีเกินไป นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน เจ้าก็ออกมาอาละวาดได้แล้วหรือ”
พอคำพูดนี้หลุดออกมา ใบหน้าอันสะอาดหมดจดงดงามของจูหมิงเยียนก็เป็นสีเขียวม่วงเพราะความโกรธในทันที สำหรับสตรีที่เกิดมาจากตระกูลสูงศักดิ์ ความหมายของการถูกสั่งโบยเทียบกับความเป็นจริงแล้วยิ่งทำให้นางรู้สึกแย่ ในเมืองหลวงตระกูลหญิงสาวที่พอมีสถานะจะไม่ถูกลงโทษเช่นนี้ ต่อให้ครอบครัวจะสั่งสอนเข้มงวดเพียงใดการลงโทษสตรีก็แค่ตีมือ ถูกโบยเป็นวิธีการลงโทษของพวกบ่าวรับใช้ ครั้นถูกลงโทษเช่นนี้ก็ถือได้ว่าจูหมิงเยียนมีความพิเศษกว่าใครทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านี่เป็นถึงคำสั่งขององค์ไทเฮาอีกต่างหาก