หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 131 คลุ้มคลั่ง คิดระแวงไปเองทั้งที่ไม่มีอะไร (2)
“จูหมิงเยียน ตกลงเจ้าคิดจะทำอันใดกันแน่” พระชายาจื้อเอ่ยเสียงเข้ม
ทว่าจูหมิงเหยียนกลับไม่ได้สนใจคำกล่าวโทษของพระชายาจื้อแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่นางทำให้คน ทั้งห้องตกใจกันหมด ท่าทีในเวลานี้กลับเหมือนนางตกใจตนเองยิ่งกว่า จูหมิงเยียนเหม่อมองหลี่จืออี๋ด้วยสายตาล่องลอยพร้อมเอ่ยพึมพำว่า “เจ้าพูดซี้ซั้ว…ไม่เกี่ยวกับข้า! ข้าไม่ได้เป็นคนฆ่านางสักหน่อย!”
พระชายาจื้อและพระชายาฝูขมวดคิ้วพลางสบตากัน
เพราะเรื่องความสัมพันธ์ของจูหมิงเยียนและกู้อวิ๋นเกอ ความจริงคำเล่าลือในเมืองหลวงไม่เคยขาดหายไปเลย แต่ในเมื่อข่าวลือก็เป็นเพียงข่าวลือ ทว่าดูจากท่าทางของจูหมิงเยียนในตอนนี้แล้ว หรือว่านางจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยจริงๆ อย่างนั้นหรือ ไม่ใช่ว่ากู้อวิ๋นเกอลอบฆ่าหนิงอ๋องจนมีจุดจบที่ไม่ดีหรอกหรือ
“ไสหัวไป! อย่ามาหาข้า! ไม่เกี่ยวกับข้า!” จูหมิงเยียนตะโกนออกมาด้วยความหวาดกลัว ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายนางก็กระชากปิ่นปักผมบนหัวโยนใส่หลี่จืออี๋ ครั้นเห็นท่าทีคลุ้มคลั่งของนางเช่นนี้ ภายในใจของทุกคนในห้องก็อดรู้สึกสะท้านเฮือกเพราะความหวาดกลัวไม่ได้ ราวกับวิญญาณของกู้อวิ๋นเกอโผล่มาเอาชีวิตของจูหมิงเยียนในห้องส่วนตัวเล็กๆ นี้ ฉับพลันก็รู้สึกว่าอุณหภูมิในห้องนั้นเยือกเย็น
พระชายาจื้ออดลูบแขนไม่ได้ ขมวดคิ้วเอ่ยด้วยใบหน้าตึง “พอแล้ว คุณหนูจู เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน ยังไม่รีบขอโทษคุณหนูหลี่อีกหรือ”
“ไม่! กู้อวิ๋นเกอเจ้าไปตายเสีย! เจ้าตายไปแล้ว! ไม่ต้องมาหาข้า…”
ภายในห้องทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างตกตะลึง พระชายาฝูนวดขมับด้วยท่าทีหนักใจแล้วรับสั่งว่า “ช่างเถิด พวกเจ้ารีบส่งคุณหนูจูกลับจวน ส่วนเจ้ารีบให้คนตามหมอมาดูอาการคุณหนูหลี่”
พระชายาจื้อถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้มแล้วมองหลี่จืออี๋แวบหนึ่งด้วยความรู้สึกผิด ตั้งแต่เป็นน้องสะใภ้มาก็นับว่าตนปฏิบัติตัวดีมาตลอด แต่วันนี้กลับถูกจูหมิงเยียนผู้นี้ทำให้โกรธจนลืมสิ้นทุกอย่างแล้ว “พี่สะใภ้พูดถูกแล้วเพคะ คุณหนูหลี่เป็นเช่นไรบ้าง”
ทุกคนในตระกูลหลี่ล้วนเป็นบุตรีที่ถูกเลี้ยงดูฟูมฟักมาจากตระกูลใหญ่ย่อมไม่พูดจาแสลงหูใดๆ อยู่แล้ว แต่สีหน้ากลับดูย่ำแย่ เหตุการณ์สองวันก่อนที่เพิ่งเกือบถูกทำให้รู้สึกอัปยศในจวนจื้ออ๋องยังปล่อยวางช่างมันได้ ทว่าเหตุการณ์ในเรือนกุ้ยหลินวันนี้ แม้แต่ชีวิตก็เกือบเอาไม่รอดแล้ว ถึงแม้เรื่องนี้จะไม่เกี่ยวอะไรกับพระชายาจื้อแต่พระชายาจื้อก็ถือเป็นแม่งาน ไม่แปลกใจที่แสดงท่าทีไม่ค่อยชอบใจเท่าไรนัก
หลี่จืออี๋กระแอมเสียงเบาส่ายศีรษะเอ่ย “ไม่…ไม่เป็นไรเพคะ ขอบพระทัยในความห่วงใยของพระชายา” เมื่อครู่นี้จูหมิงเยียนใส่แรงไม่น้อยเลยจริงๆ บนคอของหลี่จืออี๋ในยามนี้จึงปรากฏรอยนิ้วให้เห็น ทันทีที่พูดลำคอก็จะแสบร้อนไปหมด สีหน้าก็ซีดขาวตามไปด้วยเช่นกัน
พระชายาจื้อถลึงตาจ้องจูหมิงเยียนที่ยังเลอะเลือนแวบหนึ่งด้วยความชิงชังแล้วเอ่ยเสียงขรึม “มัวนิ่งอะไรกันอยู่เล่า รีบเอาตัวหญิงบ้าคนนี้ไปส่งที่ศาลอิงเทียนฝู่สิ! ประเดี๋ยวข้าค่อยขอให้ท่านอ๋องไปถามวิธีจัดการจากผิงหนานจวิ้นอ๋อง”
“เพคะ พระชายา” หญิงรับใช้รีบลากตัวจูหมิงเยียนออกไปทันที
“คารวะกงอ๋อง คารวะจื้ออ๋อง คารวะอานซีจวิ้นอ๋อง” นอกประตูมีเสียงองครักษ์กล่าวแสดงความเคารพพร้อมด้วยฝีเท้าเร่งรีบดังลอยมา ประตูของห้องส่วนตัวถูกเปิดออก มู่หรงอวี้และมู่หรงเสียก็ปรากฏกายตรงประตู อีกทั้งยังมีจ้าวจื่ออวี้ที่แสดงสีหน้าราบเรียบราวกับไม่สนใจอะไรติดตามมาด้านหลังด้วย
“ท่าน…ท่านพี่?” ครั้นเห็นมู่หรงอวี้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจูหมิงเยียนที่เดิมทีสายตาล่องลอยกลับค่อยๆ ได้สติขึ้นมา ยังไม่ทันเอื้อนเอ่ยใดๆ หยาดน้ำตาเม็ดใสก็ผุดขึ้นตรงหางตาแล้วไหลรินอาบแก้ม ตอนถูกพวกบ่าวรับใช้ฉุดกระชากเมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่าจูหมิงเยียนดูก้าวร้าวบ้าคลั่ง ทว่าในยามนี้กลับดูน่าสงสารและไร้ซึ่งความผิดใดๆ ทั้งสิ้น
“ตกลงเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ” มู่หรงอวี้เอ่ยถามเสียงขรึมเมื่อเห็นฉากวุ่นวายตรงหน้า ทีแรกตอนได้ยินว่าจูหมิงเยียนมาอาละวาดที่เรือนกุ้ยหลินมู่หรงอวี้ไม่คิดอยากมาสักนิด แต่ไหนแต่ไรมา เขาเป็นคนอ่อนโยนมีมารยาท ไม่ว่าจะทำเรื่องใดมักจะรอบคอบเสมอ นับตั้งแต่หลายปีก่อนหน้านี้หลังจากผ่านพ้นเรื่องของอดีตรัชทายาทผิงอ๋อง ก็ไม่เคยเกิดเรื่องอันใดที่ทำให้เขารู้สึกยากจะรับมือได้อีกเลย แต่จูหมิงเยียนผู้นี้กลับท้าทายความอดทนของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า บางครั้งมู่หรงอวี้ยังนึกสงสัยว่าตอนแรกที่เขาเอาตัวจูหมิงเยียนมาใช้ในแผนการของตนนั้นคิดผิดหรือไม่
หญิงไร้สมองอย่างจูหมิงเยียนกลับหลอกลวงกู้อวิ๋นเกอได้ ช่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์เสียจริง
แต่ตอนที่ได้ยินมู่หรงเสียบอกว่าหลี่จืออี๋ก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย มู่หรงอวี้จึงไม่มาไม่ได้แล้วจริงๆ ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจวนตระกูลหลี่ย่ำแย่อย่างมาก หากทั้งๆ ที่รู้ว่าหลี่จืออี๋อาจจะถูกจูหมิงเยียนเล่นงานอยู่ที่เรือนกุ้ยหลินแต่ยังทำเป็นไม่สนใจอีก เกรงว่าจวนตระกูลหลี่คงไปโวยวายต่อหน้าพระพักตร์ท่านพ่ออีกเอาได้
นังโง่เง่า!
มู่หรงอวี้ลอบสบถอยู่ในใจ
“ท่านพี่…” จูหมิงเยียนมองมู่หรงอวี้ทั้งน้ำตาคลอเบ้าแล้วเอ่ยเสียงปนสะอื้น
มู่หรงอวี้แววตาเป็นประกายเล็กน้อยแวบหนึ่ง มองพระชายาฝูที่อยู่ด้านใน เอ่ยขึ้น “พี่สะใภ้ นี่มันเรื่องอันใดกันหรือ” พระชายาฝูเองก็ไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก จึงแสดงท่าทีเหมือนน้อยใจต่อหน้ามู่หรงอวี้
ถ้าไม่ใช่เพราะว่ารอยแผลรอบคอของหลี่จื่ออียังอยู่ เกรงว่าคนนอกคงคิดว่าพวกนางรังแกจูหมิงเยียนมากกว่า
พระชายาฝูแค่นเสียงเอ่ย “เกิดอันใดขึ้นอย่างนั้นหรือ น้องหกถามจูหมิงเยียนผู้นี้ก็ได้แล้ว จริงๆ เลย…ข้าอภิเษกเข้าราชวงศ์มาก็หลายปีแล้ว แต่ไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน…”
พระชายาจื้อหลุดยิ้มเยาะเหลือบมองพระสวามีที่ยืนอยู่ข้างกายมู่หรงอวี้แวบหนึ่ง เอ่ยเสียงเรียบ “พี่สะใภ้อย่าเพิ่งกริ้วไปเลยเพคะ บัดนี้คุณหนูจูผู้นี้ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นคนในราชวงศ์แล้ว จะทำเช่นไรก็คงมาขัดขวางเราไม่ได้ เพียงแต่น่าเห็นใจคุณหนูหลี่…น้องหก คุณหนูหลี่ก็ถือว่าเป็นว่าที่พระชายากงที่ท่านพ่อประทานให้เองกับมือ เจ้าก็ใส่ใจบ้างเถิด คุณหนูหลี่ได้รับความไม่เป็นธรรมหลายครั้งติดกันเช่นนี้ มิน่าเล่าคนในตระกูลเขาถึงไม่ชอบใจกันนัก”
คำพูดนี้ฟังดูแล้วเหมือนกำลังโน้มน้าวมู่หรงอวี้ แต่ในอีกแง่หนึ่งเป็นการบ่งบอกว่าบัดนี้ความสัมพันธ์ระหว่างจวนกงอ๋องและตระกูลหลี่กำลังตึงเครียดและน่าอึดอัด มู่หรงอวี้มองไปทางหลี่จืออี๋ถึงได้เห็นรอยนิ้วที่ชวนให้น่าตกใจบนลำคอของนาง เหล่าหญิงสาวทั้งหลายของตระกูลหลี่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร สะใภ้ของตระกูลหลี่ที่กำลังนวดคอให้หลี่จืออี๋ก็เอ่ยขึ้นทั้งน้ำตาว่า “น้องหญิงสามผู้น่าสงสาร นี่มันเรื่องอันใดกันแน่นะ”
คงไม่มีใครก็ตามที่ได้เห็นรอยนิ้วบนคอหลี่จืออี๋แล้วจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง มู่หรงเสียมองแววตาของจูหมิงเยียนด้วยความรู้สึกโกรธยิ่งกว่าเดิม หากวันนี้จูหมิงเยียนบีบคอหลี่จืออี๋จนตายจริงๆ เรื่องที่เดิมทีไม่ได้เกี่ยวข้องกับจวนจื้ออ๋องเกรงว่าก็คงพลอยติดร่างแหตามไปด้วย มู่หรงเสียแค่นเสียงเย็นชา มองมู่หรงอวี้พลางกล่าว “น้องหก ต่อให้จะเป็นชายอกสามศอกก็อย่าใจอ่อนเลย โชคดีที่วันนี้ไม่เป็นอะไร แต่หากเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ ทุกคนคงจนปัญญาจะชดใช้ได้”
“ท่านพี่…ท่านพี่…ไม่เกี่ยวกับหม่อมฉันนะเพคะ” จูหมิงเยียนมองมู่หรงอวี้ด้วยท่าทีนิ่งชะงักราวกับเพิ่งได้สติว่าตนเองเพิ่งทำอะไรลงไปในเวลานี้ จากนั้นก็ส่ายศีรษะด้วยท่าทีสับสน “ไม่เกี่ยวกับข้า! ท่านพี่…ฮือๆ…”
พระชายาจื้อยิ้มเย็นชากล่าว “ไม่เกี่ยวกับเจ้า? หรือเป็นพวกข้าที่บีบคอคุณหนูหลี่จนเกือบตายอย่างนั้นหรือ”
จูหมิงเยียนพูดพึมพำกับตัวเองด้วยท่าทีตื่นตระหนก ฉับพลันนางก็รู้สึกว่าตนไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น
ตนไม่ได้คิดอยากบีบคอหลี่จืออี๋ให้ตายเลย ตนไม่รู้เลยสักนิดว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ ไม่รู้อะไรเลย…