หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 137 ฉังหนิงจวิ้นจู่ ซิ่วถิงนึกสงสัย (3)
บ่าวรับใช้ในลานต่างตกใจจนนิ่งงันไป ไม่มีใครเคยเห็นคุณหนูสี่ที่เงียบครึมผู้นี้มีฝีปากคมคายและจัดจ้านเช่นนี้มาก่อน แต่พอมองเครื่องประดับทองอร่ามและไข่มุกสุกสกาวในหีบสองใบข้างกายคุณหนูสี่อีกทีก็ต่างพากันอดกลืนน้ำลายไม่ได้
มู่ฮูหยินผู้เฒ่าชี้หน้ามู่ชิงอีด้วยความโกรธจนนิ้วสั่น ทุกคนด้านข้างรีบประคองนางไว้ สะใภ้ซุนเอ่ยเสียงแหลมว่า “คุณหนูสี่ ถึงอย่างไรฮูหยินผู้เฒ่าก็เป็นท่านย่าของเจ้า เลิกทำให้ท่านโมโหสักที”
มู่ชิงอียิ้มเย็นชาในใจ สะใภ้ซุนอยากให้นางยั่วโมโหมู่ฮูหยินผู้เฒ่าแทบใจจะขาดมากกว่ากระมัง มู่ชิงอียิ้มบางกล่าว “ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว พวกท่านก็กลับไปเถิด ข้าต้องเตรียมตัวเข้าวังในวันพรุ่งนี้อีก ขอตัวไม่อยู่เป็นเพื่อนต่อนะเจ้าคะ อิ๋งเอ๋อร์ เรื่องตรงนี้มอบให้เจ้าจัดการแล้วกัน”
อิ๋งเอ๋อร์คลี่ยิ้มกว้าง เอ่ยตอบเสียงใสกังวานว่า “เจ้าค่ะคุณหนู”
“ช้าก่อน!” ครั้นเห็นมู่ชิงอีจะไปจริงๆ สะใภ้ซุนก็อดหวาดหวั่นไม่ได้ พวกนางมาที่นี่ไม่ใช่เพื่อมาทะเลาะกับมู่ชิงอี พอเห็นหีบใส่ของมากมายเรียงรายแน่นขนัดบนพื้น ในใจของสะใภ้ซุนก็ทั้งอิจฉาทั้งชิงชัง คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าฝ่าบาทจะทรงเมตตามู่ชิงอีเช่นนี้ ของมากมายก่ายกองขนาดนี้…ยังมีมากกว่าของในคลังจวนโหวเสียอีก ยิ่งไม่รู้ว่ากล่องที่นังเด็กนามว่าจูเอ๋อร์ข้างกายมู่ชิงอีถืออยู่ในมือนั้นมีตั๋วเงินและโฉนดที่ดินอีกเท่าไร หากของมากมายเช่นนี้ถูกยกไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่ได้อะไร สะใภ้ซุนเกรงว่าแม้แต่ฝันคืนนี้ก็คงนึกเสียใจภายหลังแน่
นี่เป็นข้อแตกต่างระหว่างมู่ฮูหยินผู้เฒ่าและสะใภ้ซุน ถึงแม้มู่ฮูหยินผู้เฒ่าจะอิจฉาตาร้อนอยากได้เครื่องประดับอัญมณีและทรัพย์สินที่ฝ่าบาททรงพระราชทานให้มากมาย แต่นางก็เย่อหยิ่งในสถานะของตนจึงไม่เปิดปากขอมู่ชิงอีแน่นอน ทว่าสะใภ้ซุนไม่เหมือนกัน นางขายตัวมาเป็นบ่าวรับใช้ในตระกูลมู่ อีกทั้งนับตั้งแต่เป็นสาวใช้ห้องข้างจนมามีตำแหน่งในตอนนี้ พูดได้ว่านางให้ความสำคัญเรื่องทรัพย์สมบัติมาก แต่มู่ฮูหยินผู้เฒ่ากุมอำนาจจวนซู่เฉิงโหวไว้แต่เพียงผู้เดียว สิ่งที่นางได้ก็มีแต่ของที่มู่ฉังหมิงมอบให้เท่านั้น ต่อให้ในระยะสองปีนี้ด้วยเหตุที่ฮูหยินผู้เฒ่าแก่เลอะเลือนแล้วจนต้องมอบหมายเรื่องบางเรื่องให้นางเป็นคนจัดการ แต่สิ่งที่นางได้มากลับมีขีดจำกัด นี่จึงทำให้สะใภ้ซุนยิ่งรู้สึกว่าเงินทองเป็นสิ่งสำคัญ
แม้แต่เงินทองในจวนสะใภ้ซุนยังกล้าลอบลักเล็กขโมยน้อยได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทรัพย์สินมากมายจะถูกเอาไปต่อหน้าต่อตาเลย หากไม่สามารถยึดมาไว้ในมือตนได้ สะใภ้ซุนก็รู้ว่าตลอดหนึ่งปีนี้ตนคงนอนหลับไม่สนิทแน่
มู่ชิงอีหันไปด้วยความรำคาญใจ สะใภ้ซุนดึงผ้าเช็ดหน้าลายปักในมือไปมาพร้อมเอ่ย “ฝ่าบาททรงประทานของตั้งมากมายให้จวนซู่เฉิงโหว เห็นแก่บุญคุณล้นฟ้าของฝ่าบาทและเห็นแก่หน้าของจวนซู่เฉิงโหว หากวางไว้ในลานของคุณหนูสี่คงเกรงว่าจะไม่เหมาะสมเท่าไร ข้าว่าเอาเก็บไว้ในห้องคลังของจวนจะเหมาะสมกว่า หากคุณหนูสี่จะใช้ตอนไหนก็ค่อยให้คนมาเอาไปแล้วกัน”
ครั้นเห็นสะใภ้ซุนดึงข้ออ้างนี้ขึ้นมาเอ่ยด้วยสีหน้าแน่นิ่งเช่นนั้น อิ๋งเอ๋อร์ก็อดตกใจจนพูดไม่ออกไม่ได้
คนเราเพื่อเงินสามารถทำเรื่องไร้ยางอายได้จริงๆ มิน่าเล่า ท่านพ่อถึงมักบอกว่าคนเรายอมตายเพราะเงินและนกยอมตายเพราะอาหารได้จริงๆ
จากนั้นก็เหลือบมองมู่ฮูหยินผู้เฒ่าที่ยืนอยู่ด้านข้าง ถึงนางจะไม่เปิดปากพูดอะไรแต่ก็เห็นได้ชัดว่าเห็นด้วยกับคำพูดของสะใภ้ซุน อิ๋งเอ๋อร์แค่นเสียงเบาด้วยความโกรธในใจ
เห็นว่านางไม่รู้อะไรเลยหรืออย่างไร หลังจากฮูหยินใหญ่จากโลกนี้ไป ลำพังแค่เหล่าแม่นางทั้งหลายในจวนซู่เฉิงโหวแทบไม่ชำนาญเรื่องการค้าเลย รายได้ของจวนซู่เฉิงโหวตลอดหลายปีมานี้ก็แย่ลงทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นมู่ฮูหยินผู้เฒ่า สะใภ้ซุนหรือมู่อวิ๋นหรงต่างก็ไม่รู้จักประหยัดกันเลยสักนิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมู่เฟยหลวนซึ่งเข้าวังไปเป็นพระสนมคนโปรดทำให้ดูเป็นหน้าเป็นตา ทว่าตระกูลมู่กลับต้องส่งเงินตำลึงสองสามหมื่นชั่งไปให้มู่เฟยหลวนจับจ่ายใช้สอยในวัง เดิมทีมู่อวิ๋นหลงต้องอภิเษกกับหนิงอ๋อง เพื่อศักดิ์ศรีสะใภ้ซุนเลยยิ่งต้องทุ่มเทคิดหาวิธีเตรียมเงินสินเดิมให้นาง ตลอดหนึ่งปีมานี้จวนซู่เฉิงโหวชักหน้าไม่ถึงหลังมานานแล้ว
“อนุซุนเจ้าคะ เกรงว่าท่านคงได้ยินผิดไปแล้วกระมัง ของพวกนี้ฝ่าบาททรงประทานให้ฉังหนิงจวิ้นจู่ต่างหาก ไม่ได้ให้…ตระกูลมู่สักหน่อย!” อิ๋งเอ๋อร์ฉีกยิ้มพลางกัดฟันกล่าว
ถึงแม้ของตรงหน้าจะมากมายก็จริง แต่ถ้าพูดตามความจริงหากเทียบกับทรัพย์สมบัติของตระกูลกู้แล้วถือว่าสู้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่พอเห็นท่าทีขี้อิจฉาของพวกแม่ลูกสะใภ้ซุนอยากจะรีบแย่งเอาไปไว้ที่เรือนของตนเช่นนั้น อิ๋งเอ๋อร์ก็อดยียวนกวนประสาทพวกนางไม่ได้
สะใภ้ซุนสีหน้าขรึมลงแต่ไม่ได้โวยวายอะไร “นี่พูดอะไรกัน หรือว่าพอคุณหนูสี่ได้เป็นฉังหนิงจวิ้นจู่ก็ไม่ใช่บุตรสาวของจวนซู่เฉิงโหวแล้วอย่างนั้นหรือ จริงๆ เลย…พอมียศมีตำแหน่งแม้แต่บิดาแท้ๆ ก็จำไม่ได้แล้วกระมัง”
มู่ชิงอียิ้มอย่างแผ่วเบา “พอมียศมีตำแหน่งแม้แต่บิดาแท้ๆ ก็จำไม่ได้แล้ว…เหมือนว่าจะไม่ใช่ข้ากระมังเจ้าคะ พี่รองกับพี่หญิงสามเคยเจอหน้าท่านผู้เฒ่าทั้งสองของตระกูลซุนบ้างหรือไม่เล่า…หรือก็คือท่านตาท่านยายของพวกท่านพี่นั่นเอง พูดถึงท่านผู้เฒ่าทั้งสองก็ยังอยู่กันครบ ในเมื่อถือว่าเป็นญาติที่เกี่ยวดองกันแล้วแต่หลายปีมานี้กลับไม่เคยเห็นมาแวะเยี่ยมเยียนที่จวนเลยไม่ใช่หรือ แต่…ข้ากลับจำได้เหมือนว่าปีที่ท่านพี่เข้าวัง ท่านทั้งสองอุตส่าห์ถ่อมาแสดงความเป็นญาติตั้งไกล แต่น่าเสียดายกลับโดนไล่ออกไป อีกทั้งยังเป็นคนเฒ่าอายุหกสิบเจ็ดสิบแล้วอีกต่างหาก จริงๆ เลย…ช่างน่าสงสารนัก” ขณะที่พูดมู่ชิงอีก็ส่ายศีรษะราวกับรู้สึกหดหู่จับใจ
ใบหน้าของสะใภ้ซุนพลันเปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความโมโห สีหน้าของมู่อวิ๋นหรงและมู่หลิงก็ดูไม่ดีเช่นกัน หากพูดถึงจุดอ่อนของสามแม่ลูกสะใภ้ซุนอยู่ที่ไหนคงเป็นเรื่องชาติกำเนิดของสะใภ้ซุน พื้นเพเดิมของสะใภ้ซุนอยู่ในหมู่บ้านห่างไกลขนาดเล็กแถวๆ เมืองหลวงแห่งหนึ่ง ฐานะที่บ้านยากจนเลยเลี้ยงบุตรไม่ไหว ถึงได้เอาตัวสะใภ้ซุนมาขายเป็นบ่าวรับใช้ให้ตระกูลมู่ แต่ถือว่าบิดามารดาตระกูลซุนยังมีจิตใจดีอยู่บ้างเลยไม่ได้ทำสัญญาให้นางรับใช้จนวันตาย สะใภ้ซุนเข้าจวนมาตอนอายุแปดปี หากตามหลักการแล้ว หลังอายุสิบแปดปีไปก็ถือว่าเป็นอิสระ
แต่น่าเสียดาย ตอนที่สะใภ้ซุนอายุสิบสามปีก็คบกับมู่ฉังหมิงแล้ว จากนั้นก็ไม่ได้คุยเรื่องออกจวนอีกต่อไป หลังจากได้เป็นอนุของมู่ฉังหมิง สะใภ้ซุนก็รังเกียจที่จะเอ่ยถึงบ้านเกิดของตน มีหลายครั้งที่คนจากตระกูลซุนมาหานางแต่ก็ถูกนางไล่ตะเพิดกลับไปหมด ตอนนั้นแทบเป็นเรื่องขบขันของจวนตระกูลมู่ก็ว่าได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมหลายปีมานี้คนของตระกูลซุนถึงไม่มาเลย ดังนั้นหลายปีมานี้ มู่ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นสะใภ้ซุนไม่เข้าตานักก็ใช่จะไม่มีเหตุผลเสียทีเดียว คนเราก็มักเป็นเช่นนี้ เรื่องที่ตนทำผิดกลับไม่ใช่ความผิดแต่ก็ชอบเอามาตรฐานของคนดีมาวัดคนอื่น ในสายตาของมู่ฮูหยินผู้เฒ่าสะใภ้ซุนที่ลืมแม้กระทั่งบุพการีย่อมไม่ใช่คนดีอะไรแน่นอน
มู่เชินที่ดูเรื่องสนุกอยู่ด้านข้าง ครั้นเห็นสีหน้าของพวกแม่ลูกสะใภ้ซุนก็อดก้มหน้าหัวเราะเสียงเบาไม่ได้ แม้ต่างก็เป็นบุตรอนุก็จริง แต่ท่านแม่ของเขาก็เป็นคุณหนูตระกูลขุนนาง แต่เพราะภูมิหลังของครอบครัวท่านแม่ไม่ดีนักทั้งยังเป็นบุตรอนุเช่นกัน เลยทำได้แค่เป็นอนุภรรยาของคนอื่น แต่อย่างน้อยก็ผ่านพิธีกรรมยกเกี้ยวเข้ามาในจวน แต่สะใภ้ซุนกลับเป็นสาวใช้ที่ไต่เต้ามาเป็นอนุภรรยา
น้องหญิงสี่ผู้นี้…ดูเหมือนจะอ่อนโยนสง่างามแต่ฝีปากกลับร้ายไม่เบา
มู่ชิงอีกลับหัวเราะขำขันไม่สนใจสีหน้าใครทั้งนั้นแล้วเอ่ย “ท่านพ่อ ท่านพ่อเองก็อยากได้ของพวกนี้ด้วยหรือ ของเหล่านี้…ที่ฝ่าบาททรงพระราชทานให้ฉังหนิงจวิ้นจู่น่ะเจ้าคะ”
‘ฉังหนิง’ สองคำนี้ที่มู่ชิงอีเปล่งออกมากลับแฝงนัยยะประหลาดอยู่บ้าง ครั้นทุกคนหันไปกลับก็เห็นมู่ฉังหมิงยืนตรงหน้าประตูเรือนหลานจื่อตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ กำลังจ้องมองพวกเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ท่านโหว…” สะใภ้ซุนร้องเรียกเสียงเศร้าแล้วคิดจะพุ่งเข้าอ้อมอกของมู่ฉังหมิงเพื่อคร่ำครวญเรื่องความไม่เป็นธรรมที่ตนได้รับ แต่มู่ฉังหมิงกลับเร่งฝีเท้าเดินออกห่างจากนางไปโดยไม่แม้แต่จะหยุดเลยสักนิด ท่าทีอ่อนโยนดั่งน้ำเช่นนี้ของสะใภ้ซุนเลยเหมือนแสดงให้คนตาบอดดูเท่านั้น