หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 160 งานเลี้ยงยามค่ำคืนที่จบลงไม่สวยนัก (3)
“หรงจิ่น! เจ้า…” องค์หญิงไหวหยางถลึงตาจ้องหรงจิ่นด้วยความโกรธจนใบหน้างดงามแดงก่ำ นางเพิ่งถูกหรงเหยี่ยนลากตัวออกไปตำหนิด้านนอกมายกหนึ่งแล้ว ตอนนี้ยังต้องมาถูกหรงจิ่นเยาะเย้ยแดกดันอีก ในเมื่อนางเป็นถึงองค์หญิงสถานะสูงศักดิ์ใช้ชีวิตสุขสำราญมาตลอดแล้วนางจะทนรับได้เช่นไร ครั้นหันไปเห็นหย่งจยาจวิ้นจู่และมู่ชิงอีที่กำลังยืนดูอยู่อีกฝั่ง ไฟโทสะที่สะสมอยู่ภายในใจขององค์หญิงไหวหยางก็ยิ่งสุมทรวงหนักมากกว่าเดิม
ต้องโทษพวกนางสองคน! หากหย่งจยาจวิ้นจู่ไม่ไปรำกระบี่อะไรนั่น นางยังต้องออกไปแสดงด้วยหรือ ส่วนองค์หญิงปลอมๆ นามว่ามู่ชิงอีนี่ก็ยังกล้าเหน็บแนมนางอีกต่างหาก!
องค์หญิงไหวหยางที่กำลังถูกความโกรธครอบงำกลับลืมไปว่าคนอื่นๆ ออกไปแสดงก็ไม่มีใครฉวยโอกาสนี้บอกความในใจกันสักคน หากนางแสดงของนางไปตามกฎแล้วจะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร หากนางไม่ไปท้าทายมู่ชิงอี แล้วมู่ชิงอีจะเหน็บแนมสร้างตัวเป็นศัตรูกับนางไปทำไม
“พวกเจ้ามาทำอะไรตรงนี้”
“ไหวหยาง!” หรงเหยี่ยนเอ่ยอย่างไม่ชอบใจนัก โชคดีที่ก่อนหน้านี้ทะเลาะกับหรงจิ่น พวกเขาสามคนเลยหลบเลี่ยงย้ายมาตรงที่เงียบๆ แทน มิเช่นนั้นคืนนี้แคว้นเย่ว์คงขายหน้าอีกครั้งแน่ ด้วยใบหน้าเกรี้ยวโกรธขององค์หญิงไหวหยางก็ยิ่งทำให้หรงเหยี่ยนรู้สึกว่าตนใกล้บ้าเต็มทีแล้ว ไหวหยางที่แต่ไหนแต่ไรมาเป็นคนฉลาดหลักแหลมกลับเกิดเป็นอะไรขึ้นมา คืนนี้เหมือนถูกสิ่งชั่วร้ายครอบงำจนกัดคนอื่นเขาไปทั่ว หากไม่ใช่เพราะเขาคุ้นเคยกับน้องสาวคนนี้ดี หรงเหยี่ยนคงสงสัยว่าองค์หญิงไหวหยางถูกสลับตัวไปแน่นอน
ไม่แปลกหากหรงเหยี่ยนจะไม่เข้าใจ สำหรับสตรีแล้วมักให้ความสำคัญกับเรื่องความรักมากกว่าบุรุษเสมอ อีกอย่างสำหรับหญิงสาวที่นิสัยหยิ่งผยองคนหนึ่งแล้ว ท่าทีเมินเฉยของคนในใจนางก็พอจะทำให้นางขาดสติได้
“พี่สี่!” องค์หญิงไหวหยางเอ่ยเรียกอย่างแค้นเคือง ไม่คิดเลยว่าจะช่วยพวกนางสองคนหักหน้าตนเช่นนี้! หรงเหยี่ยนเอ่ยอย่างหงุดหงิดว่า “ถ้ายังไม่เงียบก็รีบกลับไปเสีย!” สำหรับน้องสาวผู้นี้แล้วความอดทนของหรงเหยี่ยนมิได้มีมากให้เท่าหรงจิ่น ความจริงเรื่องสำคัญเช่นนี้ไม่ควรมอบหมายให้องค์หญิงที่ได้รับการโปรดปรานเหล่านี้มาทำเพราะพวกนางถูกเอาใจจนไม่รู้ว่าอันไหนสมควรไม่สมควรแล้ว อีกอย่างองค์หญิงที่ไม่ได้ถูกเอาใจและเชื่อฟังตามคำสั่งในวังนั้นมีมากมาย
หรงจิ่นมองสองพี่น้องอย่างไม่สบอารมณ์แล้วเลิกคิ้วกล่าว “พี่สี่กับน้องหญิงหกมาหาข้าเพื่อให้ข้ามาดูพวกท่านทะเลาะกันหรือ”
“เปล่า พวกเราเป็นห่วงน้องเก้า…”
“ถวายบังคมองค์หญิง ฝ่าบาทเรียกตัวองค์หญิงไปทางโน้นพ่ะย่ะค่ะ” หรงเหยี่ยนยังพูดไม่ทันจบ ข้าหลวงที่คอยติดตามฮ่องเต้แคว้นหวาก็รีบเดินจ้ำอ้าวเข้ามาหาแล้วเอ่ยกับมู่ชิงอีอย่างนอบน้อม มู่ชิงอีมองแวบหนึ่งก็เห็นฮ่องเต้แคว้นหวา ไทเฮาและฮองเฮาที่นั่งเตะตาอยู่ด้านนอกพระตำหนัก จากนั้นก็พยักหน้าแล้วเอ่ย “เชิญนำทางไปเถิด”
ครั้นเห็นเงาแผ่นหลังของมู่ชิงอีเดินห่างออกไปไกลแล้ว หรงเหยี่ยนก็ทำหน้าขบคิดพลางกล่าวว่า “เหมือนว่าฮ่องเต้แคว้นหวาจะให้ความสำคัญกับองค์หญิงหมิงเจ๋อผู้นี้เป็นพิเศษ” หรงจิ่นแค่นเสียงเบาเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “แล้วเกี่ยวอันใดกับข้าด้วย”
หรงเหยี่ยนไม่ได้ใส่ใจอะไรกับท่าทีไร้มารยาทของหรงจิ่น จากนั้นก็มองหย่งจยาจวิ้นจู่ที่อยู่ด้านหลังเขาแล้วยิ้มกล่าว “พูดก็ถูก ดูท่าความสัมพันธ์ระหว่างน้องเก้ากับหย่งจยาจวิ้นจู่จะดีกว่าเสียอีก” ครั้นได้ยินเช่นนั้น มุมที่พวกเขามองไม่เห็น หรงจิ่นและหย่งจยาจวิ้นจู่ก็เผยสีหน้าบิดเบี้ยวขึ้นมา
ก็ไม่แปลกที่หรงเหยี่ยนจะเข้าใจผิด ตั้งแต่มาถึงเมืองหลวงของแคว้นหวาหรงจิ่นมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นน้อยมาก อีกอย่างตอนที่เขาเจอพวกเขาโดยบังเอิญสองครั้งหรงจิ่นก็อยู่แต่กับหย่งจยาจวิ้นจู่ตลอด ประจวบกับหย่งจยาจวิ้นจู่เองก็เป็นสาวงามที่หาได้ยาก แล้วจะไม่ให้คนอื่นพากันจินตนาการเช่นนั้นได้อย่างไร
“ฝ่าบาทเพคะ” มู่ชิงอีถูกข้าหลวงพามาหยุดอยู่ตรงหน้าฮ่องเต้แคว้นหวา จากนั้นนางก็ทำความเคารพอย่างอ่อนช้อย รวมถึงถวายบังคมแด่ไทเฮาและฮองเฮาที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้แคว้นหวาด้วย “ถวายบังคมไทเฮา ถวายบังคมฮองเฮาเพคะ” ถึงแม้ไทเฮาและฮองเฮาจะไม่พอใจที่จู่ๆ ฮ่องเต้แคว้นหวาแต่งตั้งบุตรสาวของขุนนางคนหนึ่งเป็นองค์หญิงแต่มู่ชิงอีปราดเปรื่องมีมารยาท ขยับหรือทำอะไรก็รู้กฏธรรมเนียม อีกอย่างภายในสองวันถูกแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่หรือองค์หญิงโดยกะทันหันแต่กลับไม่เผยสีหน้าได้ใจเลยสักนิดจึงไม่ได้รู้สึกแย่กับนางเท่าไรนัก
ฮ่องเต้แคว้นหวาพยักหน้าคลี่ยิ้มตรัสถามว่า “หมิงเจ๋อไปไหนมาหรือ”
มู่ชิงอียิ้มกล่าว “หย่งจยาจวิ้นจู่ลากหม่อมฉันไปเที่ยวเล่นมาเพคะ บังเอิญเจอคุณชายเว่ยกับแม่นางเชียนหลิงโผล่มาพอดี พวกเราก็เลยหนีกันเพคะ” ฮ่องเต้แคว้นหวาเลิกคิ้วถามอย่างสนใจ “เหตุใดพอเห็นพวกเขาแล้ว พวกเจ้าถึงต้องหนีกันด้วยเล่า หรือว่าจวิ้นจู่แห่งเป่ยฮั่นกับองค์หญิงแห่งแคว้นหวาอย่างพวกเจ้ายังต้องกลัวพวกเขาอีกหรือ”
มู่ชิงอีอมยิ้มแล้วนำความคิดของหย่งจยาจวิ้นจู่บอกเล่าให้ฮ่องเต้แคว้นหวาฟัง จนฝ่าบาทหัวเราะชอบใจยกใหญ่ พระองค์พยักหน้าพลางเอ่ยตรัสด้วยเสียงกลั้วหัวเราะว่า “หย่งจยาจวิ้นจู่พูดถูก เจอคนแบบนี้หนีออกห่างให้ไกลหน่อยจะดีกว่า แต่มีเรื่องหนึ่งนางพูดผิดไปแล้ว ต่อให้เป็นเช่นนั้นจริง เราก็ยังเชื่อมั่นในตัวหมิงเจ๋อ” มู่ชิงอีตกใจกับท่าทีเชื่อใจของฮ่องเต้แคว้นหวาอยู่บ้าง ทว่าทุกคนรอบข้างกลับตกใจกับความรักใคร่เอ็นดูของฮ่องเต้แคว้นหวาที่มีต่อองค์หญิงหมิงเจ๋อที่เพิ่งถูกแต่งตั้งเป็นองค์หญิงได้ไม่นานมากกว่า ภายในใจของแต่ละคนต่างประเมินบุตรสาวภรรยาเอกของจวนซู่เฉิงโหวผู้นี้ใหม่อีกครั้ง
“ฝ่าบาท วันก่อนฝ่าบาททรงตรัสว่าจะเอาจิ่วจ่วนหลิงหลงมาเปิดให้ได้ชมกัน ไม่รู้ว่าพวกกระหม่อมจะมีบุญตาได้ชมหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากจุดพลุเสร็จก็เข้าสู่ช่วงท้ายของงานเลี้ยงยิ่งใหญ่ในค่ำคืนนี้แล้ว พอได้กลับเข้ามานั่งในพระตำหนัก ฉับพลันเกอซูฮั่นก็เปิดปากถามขึ้น ฮ่องเต้แคว้นหวาอารมณ์ดีเป็นพิเศษจึงฉีกยิ้มกว้างกล่าว “เราพูดคำไหนคำนั้นแน่นอนอยู่แล้ว เนี่ยอวิ๋น!”
เนี่ยอวิ๋นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในแคว้นหวาที่คอยติดตามคุ้มครองฮ่องเต้แคว้นหวามาตลอดพยักหน้าอย่างนอบน้อมแล้วหมุนตัวไปเอาจิ่วจ่วนหลิงหลงมา ช่วงเวลานั้นทุกคนในพระตำหนักต่างพากันสุมหัวพูดคุยกันเสียงเบา ส่วนคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าก็ตั้งตารอการมาเยือนของสมบัติล้ำค่าที่ไม่มีสิ่งใดเทียบเทียมได้ด้วยท่าทีสงบ
มู่ชิงอีมองฮ่องเต้แคว้นหวาที่นั่งอยู่ตำแหน่งสูงสุดในพระตำหนักอย่างลำพองใจพร้อมเริ่มรู้สึกเห็นใจเขาขึ้นมาแล้ว จิ่วจ่วนหลิงหลงนั่นนางเป็นคนสั่งทำเองย่อมรู้อยู่แล้วว่าเป็นเช่นใด
ผ่านไปสักพัก เนี่ยอวิ๋นก็ถือกล่องผ้าแพรออกมากล่องหนึ่งอย่างระมัดระวังแล้วถวายเบื้องหน้าฮ่องเต้แคว้นหวา จากนั้นพระองค์ก็หยัดกายลุกขึ้นเปิดกล่องด้วยตัวพระองค์เอง ชั่ววินาทีที่เปิดกล่องฮ่องเต้แคว้นหวาแน่นิ่งไปก่อนจะแสดงสีหน้าเกรี้ยวโกรธออกมา
ครั้นทุกคนเบื้องล่างเห็นฝ่าบาทมีท่าทีเช่นนั้นก็นึกกังวลขึ้นมา ไม่นานพอฮ่องเต้แคว้นหวาได้สติก็ตรัสด้วยสีหน้าดุดันว่า “เนี่ยอวิ๋น นี่มันอะไรกัน”
เนี่ยอวิ๋นชะงักไปแล้วมองไปยังจิ่วจ่วนหลิงหลงตัวต้นเรื่องเบื้องหน้าของฮ่องเต้แคว้นหวา ไม่รู้ว่าทำไมจิ่วจ่วนหลิงหลงที่เดิมทีส่องแสงประกายงดงามดั่งนพเก้าถึงสีเข้มสนิทไร้แสงแวววาวเช่นนี้ ดูเหมือนไพฑูรย์ด้อยค่าชิ้นหนึ่งมากกว่า ถึงแม้ไพฑูรย์วางไว้เช่นนี้จะดูราคาสูงลิ่ว แต่หากเทียบกับจิ่วจ่วนหลิงหลงที่เล่าลือกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าในใต้หล้าคงแตกต่างกันราวกับฟ้ากับเหวเลยทีเดียว
จิ่วจ่วนหลิงหลงถูกคนสลับไปอย่างนั้นหรือ นี่เป็นความคิดแรกของเนี่ยอวิ๋น แต่ไม่นานความคิดนี้ก็ถูกตัดทิ้งไป ตั้งแต่นำจิ่วจ่วนหลิงหลงกลับมาก็ถูกเก็บไว้ในคลังสมบัติซึ่งถูกอารักขาอย่างเข้มงวดที่สุดในวังแล้ว คนที่เข้าใกล้ได้นอกจากฮ่องเต้แคว้นหวาแล้วก็มีเพียงตัวเนี่ยอวิ๋นเองที่รับหน้าที่อารักขาคุ้มกันเท่านั้น ในฐานะยอดฝีมืออันดับหนึ่งในแคว้นหวา เนี่ยอวิ๋นมั่นใจว่าไม่มีใครกล้าสับเปลี่ยนของโดยเล็ดลอดสายตาตนไปได้แน่นอน
เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวคือของสิ่งนี้…เป็นของปลอมมาตั้งแต่แรก! แต่เวลานี้เนี่ยอวิ๋นกลับไม่กล้ากล่าวข้อสันนิษฐานของตนต่อหน้าเหล่าทหารขุนนางในราชสำนักและขุนนางทูตแคว้นอื่น เขาทำได้แค่คุกเข่าลงบนพื้น “กระหม่อม…กระหม่อมหารู้ไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“สารเลว!” ฮ่องเต้แคว้นหวาคว้าจิ่วจ่วนหลิงหลงที่อยู่ในกล่องผ้าแพรส่องภายใต้แสงเทียนอย่างช้าๆ แต่ทำเช่นใดก็ไม่เปล่งแสงแวววาวออกมาเหมือนวันที่เพิ่งได้มาในตอนนั้น ฮ่องเต้แคว้นหวาจับจ้องของในมืออยู่นาน ในที่สุดก็ทนไม่ไหวเอาของในมือสลัดทิ้งลงพื้นจนเกิดเสียงเพล้งดังขึ้น จิ่วจ่วนหลิงหลงที่หน้าตาเหมือนไพฑูรย์แตกละเอียดเป็นชิ้นๆ เวลานี้ทุกคนล้วนรู้แล้วว่าของตรงหน้าเป็นของปลอม เพราะในเมื่อจิ่วจ่วนหลิงหลงที่เล่าลือกันในตำนานนั้นดาบฟันไม่ขาดไฟเผาไม่พังแข็งแรงยิ่งกว่าเหล็กกล้าเสียอีก