หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 162 คุณชายอวิ๋นอิ่น (2)
บุรุษสวมชุดดำใส่หมวกเหวยเม่าคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงกลางค่อยๆ เดินเข้ามาพร้อมองครักษ์อีกสองคนเดินตามด้านหลัง หนึ่งในนั้นมีคนหิ้วตะเกียงในมือ แต่เพราะตะเกียงอยู่ต่ำเลยทำให้จูหมิงเยียนมองหน้าตาของพวกเขาทั้งสามคนไม่ชัดนัก
“พวกเจ้า…พวกเจ้าเป็นใคร” จูหมิงเยียนกรีดร้องอย่างหวาดกลัว
“จูหมิงเยียน” บุรุษเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ จูหมิงเยียนชะงักไป ฉับพลันนางก็รู้สึกคุ้นเสียงนี้เหลือเกิน “เจ้า…เจ้าเป็นใครกันแน่ ข้าเคยเจอเจ้า!” บุรุษคนนั้นยิ้มบางๆ เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเคยเจอข้าแน่นอนอยู่แล้ว” พูดจบบุรุษผู้นั้นก็ยกมือขึ้นดึงหมวกเหวยเม่าออก ส่วนองครักษ์ด้านหลังก็ให้ความร่วมมือยกตะเกียงขึ้นมาเล็กน้อย ภายใต้แสงไฟสลัวใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติก็ปรากฏเบื้องหน้าจูหมิงเยียน ครั้นบุรุษผู้นี้หันมาหัวเราะมองนาง จูหมิงเยียนก็อดสูดหายใจเข้าลึกไม่ได้
“เจ้าคือ…เจ้าคือ…” ไม่เพียงแต่บนใบหน้าหล่อเหลานั้นมีรอยแผลน่ากลัว ยิ่งไปกว่านั้นนางยังคุ้นเคยใบหน้านั้นเป็นอย่างดี เหมือนว่าคนในตระกูลกู้มีความพิเศษมาตั้งแต่เกิด ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงต่างหน้าตางดงามโดดเด่นจนชวนให้คนข้างกายรู้สึกอับอายเลยทีเดียว
บุรุษชุดดำพยักหน้ายิ้มบางเอ่ย “ข้าก็คือกู้ซิ่วถิง”
จูหมิงเยียนถอยกรูดอย่างตระหนกไปอยู่มุมหนึ่งของคุกราวกับว่าหันหลังชนกำแพงแล้วจะทำให้นางรู้สึกปลอดภัยขึ้นบ้าง นางย่อมไม่คิดว่าจู่ๆ กู้ซิ่วถิงโผล่มาหานางในเวลานี้ก็เพื่อรื้อฟื้นอดีตแน่นอน กู้ซิ่วถิงมองนางพลางแย้มยิ้มอ่อนโยนสง่าราวกับลมในฤดูใบไม้ผลิเหมือนตอนที่ตระกูลกู้ยังไม่ได้ตายยกครัว “จวิ้นจู่เป็นอันใดไปหรือ ท่านเป็นสหายรักของเกอเอ๋อร์ ข้าในฐานะพี่ชายมาเยี่ยมเยียนสหายรักของน้องสาวเช่นนี้ ทำให้ท่านนึกกลัวขนาดนั้นเชียวหรือ”
จูหมิงเยียนแค่หวาดกลัวเสียเมื่อไร ถ้าทำได้ตอนนี้นางอยากกรีดร้องขอให้ปล่อยนางไปด้วยซ้ำ
“เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ เหตุใดเจ้ายังกล้าปรากฏตัวในเมืองหลวงอีก” จูหมิงเยียนจับจ้องพลางเอ่ยกับกู้ซิ่วถิงอย่างระแวดระวัง
กู้ซิ่วถิงก้มหน้าหัวเราะแล้วกล่าว “ข้าอยู่เมืองหลวงมาตลอด ส่วนที่ว่าเหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้…ก็เพราะได้ยินมาว่าจวิ้นจู่ถูกขังอยู่ในคุกศาลอิงเทียนฝู่ กระหม่อมเลยแวะมาเยี่ยมเยียนแทนเกอเอ๋อร์ก็เท่านั้น”
“อย่าพูดถึงนาง!” จูหมิงเยียนกรีดร้องเสียงแหลม “อย่าพูดถึงนาง! นางตายไปแล้ว!” ครั้นเห็นท่าทีคลุ้มคลั่งของจูหมิงเยียน นัยน์ตาของกู้ซิ่วถิงก็เผยความเย็นชาออกมาเล็กน้อย “นั่นสิ เกอร์เอ๋อร์ตายไปแล้ว คุณหนูจูเป็นสหายรักของเกอร์เอ๋อร์ เหตุใด…ถึงไม่ไปอยู่เป็นเพื่อนนางเล่า”
“อย่า…อย่าฆ่าข้า! ข้าไม่อยากตาย!…ไม่นะ…”
ใบหน้าหล่อเหลาของกู้ซิ่วถิงปรากฏรอยยิ้มเย็นยะเยือกพาดผ่าน “ท่านไม่อยากตาย…แล้วเกอร์เอ๋อร์อยากตายอย่างนั้นหรือ คนในตระกูลกู้ของข้าใช้ชีวิตจนเบื่อแล้วหรืออย่างไร”
“ไม่…ไม่เกี่ยวกับข้า! เรื่องตระกูลกู้…เรื่องตระกูลกู้เป็นฝีมือของมู่หรงอวี้! มู่หรงอวี้เป็นคนบงการข้า ข้าไม่ได้อยากทำร้ายตระกูลกู้เลย!” บางทีอาจเป็นเพราะบรรยากาศในยามนี้หนาวเหน็บจนน่าใจหาย หรืออาจเป็นเพราะหลายวันมานี้นางทรมานจนทำให้สติใกล้กระเจิงเต็มทีแล้ว นางไม่ได้ดูแน่วแน่เหมือนตอนอยู่ต่อหน้ามู่ชิงอีอย่างครั้งก่อน เดิมทีแทบไม่ต้องให้กู้ซิ่วถิงทำอะไรเลยเพราะนางสติแตกไปก่อนแล้ว แต่สตรีอย่างจูหมิงเยียนย่อมหวังจะให้นางดื้อด้านอดทนโดนเค้นถามพร้อมกลิ่นคาวเลือดอย่างกู้ซิ่วถิงไม่ได้แน่นอน
อีกอย่างสิ่งที่นางเอ่ยออกมาก็มาจากใจจริง บางทีเพราะจูหมิงเยียนอิจฉากระทั่งเกิดความชิงชังกู้อวิ๋นเกอ แต่หากอาศัยนางเพียงคนเดียว ต่อให้จะให้นางหยิบยืมความกล้ามามากเท่าไรก็ไม่กล้าทำร้ายตระกูลกู้และจวนรัชทายาทเช่นนั้นหรอก นางไม่มีความกล้าและนางก็ไม่มีสมองเช่นกัน แต่ถ้าผู้ชายที่นางรักสุดหัวใจเสี้ยมนางละก็ เช่นนั้นคงต่างออกไป
สำหรับปฏิกิริยาของนางนั้นไม่ได้อยู่เหนือคาดกู้ซิ่วถิงเลย ถึงแม้จูหมิงเยียนจะไม่ใช่ตัวการหลักแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นผู้บริสุทธิ์ กู้ซิ่วถิงเพียงจับจ้องนางแน่นิ่งแล้วยิ้มกล่าว “รู้หรือไม่เหตุใดมู่หรงอวี้ถึงเมินท่าน”
จูหมิงเยียนแน่นิ่ง นางนึกว่ากู้ซิ่วถิงมาเพื่อแก้แค้นนางเสียอีก คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดเรื่องนี้กับตน อีกอย่างหัวข้อสนทนานี้ทำให้รู้สึกแย่จับใจ นางเคยเป็นภรรยาของมู่หรงอวี้ แต่ว่า…แม้แต่กู้ซิ่วถิงที่ถูกจองจำอยู่ในคุกมาตลอดก็รู้ว่ามู่หรงอวี้ไม่ชอบนางเหมือนกันหรือ
ใบหน้างดงามมีรอยแผลน่ากลัวชวนให้คนไม่กล้าจับจ้อง รวมถึงรอยยิ้มบนใบหน้าที่น่าหลงใหลนั่น ผสมผสานกับความดิบเถื่อนของคุกอันมืดมิดแห่งนี้ยิ่งขับให้ดูแปลกตาเข้าไปอีก กู้ซิ่วถิงที่สวมชุดดำทั้งตัวเช่นนี้ยิ่งเหมือนผีร้ายที่กลับมาจากขุมนรกคนหนึ่งเสียมากกว่า “เพราะ…ท่านมันโง่อย่างไรเล่า ท่านพูดว่ามู่หรงอวี้เป็นคนบงการมีหลักฐานหรือ เรื่องที่ทำร้ายคนในตระกูลกู้ ตั้งแต่ต้นนั้น…มีเรื่องไหนที่มู่หรงอวี้เป็นคนลงมือทำเองบ้าง เรื่องทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือของจวนผิงหนานจวิ๋นอ๋องทั้งสิ้น ต่อให้…มีคนรื้อคดีแทนตระกูลกู้ สุดท้ายคนที่โชคร้ายที่สุดก็คือจวนผิงหนานจวิ๋นอ๋องไม่ใช่จวนกงอ๋อง กงอ๋องก็แค่…ถูกพวกท่านหลอกเท่านั้นเข้าใจหรือยัง”
“เจ้าพูดเหลวไหล!” จูหมิงเยียนกรีดร้องเสียงดัง แต่สีหน้าที่เผยออกมากลับเห็นได้ชัดว่าในใจนางใช่ว่าจะไม่เชื่อกู้ซิ่วถิงเลยอย่างท่าทีที่แสดงออกมาขนาดนั้น กู้ซิ่วถิงไม่โกรธเลยสักนิดกลับเอ่ยเพียงว่า “พูดเหลวไหลหรือไม่ ท่านคงรู้แก่ใจดี หลายวันมานี้ข้าหาหลักฐานเจอไม่น้อยคงเพียงพอ…ที่จะทำให้จวนผิงหนานจวิ้นอ๋องถูกสังหารทั้งตระกูลได้ แต่กลับ…หาหลักฐานของจวนกงอ๋องไม่เจอสักนิด ท่านว่าเรื่องจวนผิงหนานจวิ้นอ๋อง…ควรทำเช่นใดดีเล่า”
กู้ซิ่วถิงหยิบกระดาษปึกหนาออกมาชุดหนึ่งแล้วโยนเข้าไป จูหมิงเยียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็อดไม่ได้คว้าขึ้นมาอ่านภายใต้แสงไฟสลัวนั้น ยิ่งอ่านสีหน้าก็ยิ่งซีดลงเรื่อยๆ ในนี้จดบันทึกเรื่องมากมายที่จวนผิงหนานจวิ้นอ๋องเคยแอบช่วยจวนกงอ๋องกำจัดศัตรูทางการเมืองและทุจริตเรื่องเงินทอง กระทั่งยังมีเรื่องที่หลังจากจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องตรวจสอบคดีทุจริตตระกูลกู้แล้วจงใจสร้างหลักฐานปลอมเอาผิดตระกูลกู้ด้วย รวมถึงแอบครอบครองทรัพย์สินของตระกูลกู้ ทว่าในนี้กลับไม่มีตรงไหนกล่าวถึงมู่หรงอวี้เลย เป็นไปตามที่กู้ซิ่งถิงกล่าว หากหลักฐานเอาผิดฉบับนี้โผล่อยู่ในราชสำนัก สุดท้ายคนที่โชคร้ายที่สุดก็มีแต่จวนผิงหนานจวิ้นอ๋องและไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับจวนกงอ๋องทั้งสิ้น
มู่หรงอวี้หลอกใช้นาง! เรื่องนี้จูหมิงเยียนรู้มาตลอด ในเมื่อเดิมทีระหว่างพวกเขามู่หรงอวี้อยากหลอกใช้นางและนางก็เต็มใจให้เขาหลอกใช้มาตั้งแต่แรกแล้ว แต่จูหมิงเยียนคิดไม่ถึงว่ามู่หรงอวี้จะหลอกใช้นางได้ถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังไม่ลืมลบร่องรอยที่จะลามไปถึงตัวเขาออกจนเกลี้ยง เห็นได้ชัดว่านางกลายเป็นหมากที่เขาพร้อมสลัดทิ้งได้ทุกเมื่อมาตลอด
ครั้นเห็นสีหน้าย่ำแย่ของนาง กู้ซิ่วถิงก็เอ่ยต่อขึ้นว่า “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดตอนนี้มู่หรงอวี้ถึงปล่อยท่าน เพราะตอนนี้จวนผิงหนานจวิ้นอ๋องอยู่ในมือของเขาเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้จะไม่มีพระชายาอย่างท่าน จูเปี้ยนก็ต้องฟังคำสั่งของเขา แม้ในมือของข้ามีหลักฐานพวกนี้แต่ในมือเขาก็มีหลักฐานชิ้นนี้อีกฉบับเช่นกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้เหตุใดเขาต้องให้ท่านอยู่ในตำแหน่งพระชายาด้วยเล่า สถานะพระชายาช่วยทำให้เขาดึงตระกูลที่สูสีพอๆ กับจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องเข้ามาเป็นพวกได้ อีกอย่าง…คุณหนูหลี่เองก็คุณสมบัติเพียบพร้อมใจกว้าง แม้แต่ไทเฮายังชื่นชมโปรดปรานนางเลย เช่นนี้จะไม่ใช่ตัวเลือกว่าที่ฮองเฮาในภายภาคหน้าที่ดีที่สุดได้เช่นไร”
“หุบปาก! ไม่ต้องพูดแล้ว!” ในที่สุดจูหมิงเยียนก็ทนไม่ไหวเอามือปิดหูแล้วคำรามด้วยความโมโห เวลานี้นางชิงชังคนในตระกูลกู้จับใจ อีกทั้งยังเกลียดชังบุรุษหล่อเหลาตรงหน้าด้วย คำพูดของเขาเปรียบเสมือนหนามอาบพิษที่ทิ่มแทงใจนางจนทำให้เกิดรอยแผลขึ้นมาเต็มไปหมด ทว่ากลับแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าหัวใจได้ถูกฉีกขาดจนเลือดไหลอาบไปแล้ว